หลินฟู่อินพยักหน้า “แน่นอนว่าจำได้เ้าค่ะ ฮูหยินตัดสินใจแล้วหรือเ้าคะ?”
“ใช่ พอเ้าไปข้าก็คุยกับสามีคืนนั้นเลยว่าจะส่งลูกๆ ไปบ้านเดิมใน่ปีใหม่ สามีข้าดีใจยิ่งนัก กล่าวว่าอยากทำเช่นนี้มานานแล้ว แต่กลัวว่าข้าจะไม่พอใจ” หลี่ฮูหยินยิ้มเขินอาย “เกรงว่าทำให้เ้าขบขันแล้ว ตอนนั้นในใจข้ามีแต่ความโกรธแค้นต่อบ้านเดิมสกุลหลี่ ข้าย่อมไม่้าส่งลูกที่เลี้ยงดูมาเพียงลำพังไปใช้เวลากับคนที่บ้านเดิม…”
หลี่ฮูหยินหวนระลึก เล่าเื่ที่เคยเกิดขึ้นอีกครั้ง หลินฟู่อินนั่งฟังนางเงียบๆ ทำให้เข้าใจความขัดแย้งของทั้งหมอหลี่และหลี่ฮูหยิน รวมถึงบ้านเดิมสกุลหลี่มากยิ่งขึ้น
นางไม่ขัดคำของหลี่ฮูหยิน ปล่อยคนพูดอยู่นานจนอีกฝ่ายรู้สึกตัว ตบหน้าตักตัวเองแล้วยิ้ม “ดูข้าสิ เล่าเื่เดิมๆ น่าเบื่อๆ ให้เ้าฟังอีกแล้ว”
หลินฟู่อินยิ้ม “ไม่เป็ไรเ้าค่ะ เื่บางเื่หากได้ระบายออกมาจะดีกว่า เก็บทุกเื่ไว้ในใจไม่ดีหรอกเ้าค่ะ”
“เพราะเช่นนี้เอง ตอนนี้ได้พูดออกมาแล้วก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก” หลี่ฮูหยินเห็นด้วย “โอย มัวแต่พูดอยู่นานจนลืมเื่สำคัญไปเลย สามีและข้าตั้งใจจะทำตามที่เ้าแนะนำ ให้ลูกๆ ไปติดตามนายท่านผู้เฒ่าสักพักจนถึงปีใหม่ อย่างไรอีกไม่นานก็จะสิ้นปีแล้ว แค่ไม่กี่เดือนเท่านั้นเอง
“ฮูหยินใจกว้างถือเป็เื่โชคดีเหลือเกินเ้าค่ะ” หลินฟู่อินยิ้ม คนใจกว้างย่อมต้องได้ผลตอบแทนที่ดีกลับมามาก
“เพราะได้คำแนะนำดีๆ ของฟู่อินนี่แหละ ข้าเองยังไม่เคยคิดมาก่อนเลย…” หลี่ฮูหยินปิดปากหัวเราะอีกครั้ง พูดกับหลินฟู่อินด้วยท่าทีสนิทสนมราวพูดกับสหาย “โอ ตอนนั้นสามีข้ามีความสุขยิ่งนัก รีบลุกจากเตียงไม่ทันสวมเสื้อคลุมก็หากระดาษพู่กันมาเขียนจดหมายแล้ว ถึงกับปลุกลูกๆ ข้ามากลางดึกเพื่อแจ้งเื่นี้ด้วย”
เห็นอีกฝ่ายพูดถึงสามี หลินฟู่อินก็ไม่สะดวกจะตอบรับอะไร ได้แต่เม้มปากยิ้มเท่านั้น
“ลูกข้าสามคนยังจำท่านปู่ได้ แต่ไม่ค่อยอยากแยกจากพวกข้านัก แต่อย่างไรนายท่านผู้เฒ่าก็แก่ตัวลงทุกวัน ให้เด็กๆ ได้ใช้เวลากับท่านบ้าง… ข้าก็เห็นด้วย จึงบอกเด็กๆ ไปว่าไม่ต้องเป็ห่วงข้ากับพ่อเขานัก ท่านปู่แก่ตัวลงทุกปี มีโอกาสได้ใช้เวลากับหลานๆ น้อยลงเรื่อยๆ ต้องเอาใจใส่ให้มาก พวกเขาถึงได้ยอมตกลง” หลี่ฮูหยินสูดลมหายใจลึก ก่อนจะหัวเราะออกมา “จดหมายที่สามีข้าเขียนก็ส่งถึงบ้านเดิมของสกุลหลี่วันนั้นเลย ครึ่งเดือนต่อมาสกุลหลี่ก็ส่งรถม้าอย่างดีมารับลูกข้า พร้อมกันก็นำชาิเฉียนหลงจิ่งที่นายท่านผู้เฒ่าหวงแหนนักหนานี้มาให้ข้าด้วย”
ถึงแม้ว่าผู้เฒ่าสกุลหลี่มิได้ตอบจดหมายหรือฝากคำพูดมา แต่แค่มอบใบชาล้ำค่านี้ให้หลี่ฮูหยินก็นับว่าเป็การแสดงท่าทีแล้ว
“แสดงว่านายท่านผู้เฒ่าชื่นชมความกตัญญูของฮูหยิน เป็เื่ดีเ้าค่ะ!” หลินฟู่อินคิดว่าที่หลี่ฮูหยินทำถูกต้องแล้ว นายท่านผู้เฒ่าแก่แล้วย่อมต้องชอบลูกหลานตัวเองมากที่สุด แม้ก่อนหน้านี้จะโมโหมาก แต่พออายุมากเข้า ความโกรธก็เลือนหายไปตามกาลเวลา
“เื่นี้จะว่าเป็เพราะหลายปีก่อนข้าเป็คนหัวแข็งก็ได้ หากทำเช่นนี้ั้แ่ก่อนหน้า บางทีนายท่านผู้เฒ่าคงจะยอมให้อภัยตั้งนานแล้ว…” หลี่ฮูหยินถอนหายใจอีกครั้ง
“จะคิดเช่นนั้นก็ไม่ได้เ้าค่ะ สุดท้ายเรือลอดใต้สะพานได้ฉันใด ทุกเื่ราวต่างก็มีหนทางของตัวเองฉันนั้น” หลินฟู่อินปลอบประโลม
หลี่ฮูหยินอารมณ์ดีขึ้นมาอีกครั้ง พยักหน้า “ฟู่อินพูดถูกแล้ว ดื่มชาเถอะ ดื่มชากัน!” จากนั้นสีหน้าคนก็ดูจริงจังขึ้นมา นางมองหน้าหลินฟู่อินก่อนจะขอร้อง “ฟู่อิน ข้ายังมีเื่ด่วนอีกเื่ให้เ้าช่วย”
หลินฟู่อินวางถ้วยชาลง แผ่นหลังเหยียดตรง มองหลี่ฮูหยิน “ฮูหยินบอกข้าเถอะเ้าค่ะ”
“ที่จริงพ่อสามีของข้าเพิ่งจะมีบุตรสาวคนหนึ่งที่เพิ่งเกิดมาตอนท่านอายุสี่สิบเจ็ด เป็แม่เลี้ยงของสามีข้าที่คลอดออกมา น่าเสียดายตอนคลอดลูกคนนี้มีอาการตกเืจนทิ้งเด็กน้อยคนหนึ่งเอาไว้…” หลี่ฮูหยินทอดถอนใจ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความสงสาร
หลินฟู่อินเองก็ถอนหายใจ เป็สตรียุคโบราณยามคลอดลูกล้วนขาเหยียบประตูผีไปแล้วข้างหนึ่ง ไม่ว่าจะรอดหรือไม่ก็แล้วแต่บุญแต่กรรมที่ทำมา
“พ่อสามีเกรงว่าจะผิดต่อน้องสามีตัวน้อยของข้าจึงได้ตั้งใจเลือกแม่นมสองคนเลี้ยงเด็กเอาไว้ข้างกาย จะบอกว่าน้องสามีคนนี้เหมือนไข่มุกในอุ้งมือท่านพ่อก็ว่าได้ ดูแลจนอายุสิบแปดก็หาลูกเขยได้เป็สกุลโจวในเมืองชิงเหลียน ตระกูลนี้เป็บัณฑิตมาห้ารุ่น น้องเขยดีต่อน้องสามีมาก พ่อแม่สามีใจดีต่อนาง น้องสามีข้าเองก็มีความสุข ระหว่างน้องคนนั้นกับพี่สะใภ้น้องสามีด้วยกันก็ไม่มีเื่คาวอะไร เป็ที่ริษยาของสตรีทุกคน น่าเสียดายที่นางกลับต้องมานั่งกังวลเื่มีลูก!” หลี่ฮูหยินนิ่วหน้า ชัดเจนว่าเสียใจแทนน้องสามีคนนี้
ทันทีที่ได้ยินคำว่าลูก หลินฟู่อินก็เดาได้แล้วว่าหลี่ฮูหยินคงจะมีเื่อยากพูดกับนาง เหตุที่ต้องเล่าเื่มากมายขนาดนี้หนึ่งคือหาเื่คุย สองคือให้นางได้รู้สถานการณ์ของน้องสามี
หลินฟู่อินถือโอกาสถาม “น้องสามีของหลี่ฮูหยินลำบากหรือเ้าคะ?”
“ไม่ลำบากหรืออย่างไรเล่า! คนแต่งงานมาตอนอายุสิบแปด ตั้งท้องตอนอายุสิบเก้า บ้านสกุลโจวดีอกดีใจกันถ้วนหน้า แต่สองเดือนเด็กก็จากไปเสียแล้ว ตาแก่บ้านข้าเป็หมอ ข้าจึงเป็คนเขียนใบสั่งยาให้น้องสาวบำรุงร่างกาย กดดันสกุลโจวให้รับปากว่ารออีกหนึ่งปีค่อยมีลูกอีกครั้ง โชคดีที่สกุลโจวตกลง พออายุยี่สิบปีน้องสาวคนนี้ก็ตั้งครรภ์อีกครั้ง แต่ก็แท้งอีก เด็กอยู่ได้ไม่ถึงสองเดือน น้องสาวคนนี้ร้องไห้จนตาแทบบอดแล้ว” หลี่ฮูหยินส่ายหน้า แต่ก็รู้สึกเสียใจแทนจริงๆ
หลินฟู่อินนิ่วหน้า หลี่ฮูหยินสนทนากับนางอยู่นาน ผ่านไปครึ่งค่อนวันก็จับประเด็นไม่ได้ แต่คนกลับเล่าเื่น้องสามีคนนี้ให้ฟังเสียมาก กระทั่งเื่สกุลโจวก็ยังรู้ไปด้วย
ดูก็รู้ว่าอีกฝ่ายตั้งใจทำ หลินฟู่อินจึงไม่เร่งเร้า นั่งฟังนางเล่าต่อไป
“อยู่ๆ เด็กก็แท้งไปไม่มีเหตุผลเช่นนี้ท่านพ่อจึงเป็กังวลยิ่งนัก พาสามีข้าที่เชี่ยวชาญด้านโรคสตรีของสกุลหลี่ไปหาน้องสาวเพื่อตรวจและรักษา จับชีพจรดูแล้วไม่มีอะไรผิดปกติแต่ต้องใช้เวลาพักร่างกายถึงสองปี กระทั่งเมื่อฤดูใบไม้ผลินี้เอง น้องสาวท้องอีกครั้ง ทั้งสกุลโจวสกุลหลี่ต่างก็ระมัดระวังใส่ใจเด็กคนนี้ยิ่งนัก นอกจากเชิญหมอสกุลหลี่ไปจับชีพจรตามปกติแล้วยังจ้างคนมาอยู่ทั้งปี น้องสาวมีหมอคอยเฝ้าระวัง กลัวอุบัติเหตุต่างๆ ยิ่งนัก สุดท้ายเด็กคนนี้ก็อยู่ได้เก้าเดือน ครึ่งเดือนก่อนคลอดก่อนกำหนด แม่นมเห็นว่าเด็กไม่ยอมกลับหัว ใช้วิธีใดก็แก้ไขไม่ได้ เื่นี้วุ่นวายยิ่งนัก!”
ฟังเื่การตั้งท้องและการคลอดของน้องสามีหลี่ฮูหยินแล้วหลินฟู่อินก็ได้แต่ถอนใจเฮือกไม่หยุด โชคดีที่เด็กคนนั้นได้แต่งเข้าครอบครัวดีๆ นับเป็โชคลาภในบรรดาโชคร้าย
แต่เด็กในท้องน้องสามีหลี่ฮูหยินตอนนี้อยู่ในลักษณะ ‘ติดไหล่’ เป็ท่าอันตรายที่เด็กกางขาอยู่ในท้องแม่ มีโอกาสสูงที่จะนำไปสู่การคลอดยาก ยิ่งในยุคโบราณที่การแพทย์ล้าหลังเช่นนี้โอกาสคลอดยากก็ยิ่งสูงขึ้นเป็เงาตามตัว ส่วนอายุครรภ์ก็ถึงเก้าเดือนแล้ว ก็คงจะประมาณสามสิบแปดสัปดาห์ ดูแล้วไม่น่าจะเปลี่ยนไปอยู่ในท่าหัวได้ แทบจะแน่ใจได้เลยว่าเด็กจะต้องคลอดยากแน่นอน
แต่ครั้งหนึ่งนางเคยเห็นผู้อำนวยการแผนกจัดแจงเด็กที่อยู่ใน ‘ท่าก้น’ ให้กลายเป็ท่าหัวได้ก่อนแม่จะคลอดเด็ก ทำให้การคลอดเป็ไปได้อย่างราบรื่น
ดังนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนไม่แน่นอน แต่ตอนนี้นางจะฟังไปก่อนว่าหลี่ฮูหยินอยากให้นางทำอะไร
“ฮูหยิน สามีท่านทราบความหมายใช่หรือไม่เ้าคะ?” หลินฟู่อินครุ่นคิดสักครู่ก็ถามออกไป
สีหน้าหลี่ฮูหยินบิดเบี้ยวขึ้นมา แต่นางก็คิดถึงสิ่งที่สามีกล่าวว่า ‘เกรงว่าน่าจะเหมือนมารดา เก้าในสิบส่วนคงจะคลอดยาก’
“เหตุใดจะไม่ทราบเล่า ล้วนแต่เป็หมอกันมานานแล้ว” หลี่ฮูหยินส่ายหน้า “น้องสาวน่าสงสาร อายุยังไม่มาก เป็คนอ่อนโยนจิตใจดี ขนาดข้าไม่ชอบนายท่านผู้เฒ่า ไม่ได้ให้ลูกๆ สามคนไปเยี่ยมเยียนสักครั้ง นางก็ยังเกลี้ยกล่อมนายท่านผู้เฒ่าให้ละวางความแค้นยอมรับข้า… แต่ตอนนี้นางกลับคลอดยากเหมือนมารดา เื่นี้ข้าทนไม่ไหวจริงๆ”
หลินฟู่อินพอจะเข้าใจความรู้สึกของหลี่ฮูหยินอยู่บ้าง แม้จะเป็คนนอกก็ยังไม่สบายใจ
“ฮูหยิน้าให้ข้าทำอะไรหรือเ้าคะ?” หลินฟู่อินถาม
หลี่ฮูหยินดูสงบลง ดวงตาจับจ้องเด็กสาว “ฟู่อิน ตอนนั้นสะใภ้ใหญ่สกุลวังคลอดยาก เ้าก็ช่วยเอาไว้ได้ ข้าจะขอร้องเ้า หากเป็ไปได้ ช่วยข้าเดินทางไปชิงเหลียน ตรวจดูน้องสามีข้าสักหน่อยได้หรือไม่?”
หลินฟู่อินคิดเอาไว้แล้วว่าหลี่ฮูหยินน่าจะ้าอะไรทำนองนี้
แต่ว่าตอนนี้นางยุ่งมากจริงๆ หากเดินทางไปชิงเหลียนตอนนี้ ดูจากสถานการณ์แล้วคงไม่ได้กลับเมืองชิงหยางจนกว่าคนจะคลอดลูก
“ฟู่อินไม่ต้องกังวล ข้ารู้สิ่งที่ข้า้าดี ข้ายังไม่ได้พูดเื่เ้ากับสกุลหลี่ ทั้งยังไม่ได้พูดกับสามี ข้าตั้งใจจะพาเ้าไปเงียบๆ บอกว่าข้าไปเยี่ยมน้องสามีแต่เช้า หาโอกาสแยกคนพวกนั้นออกไป ให้เ้าได้ลองตรวจนางเงียบๆ” หลี่ฮูหยินเงยหน้าขึ้น ขยับเข้าใกล้หลินฟู่อินแล้วจับสองมือของเด็กสาวเอาไว้ด้วยสองมือของตัวเอง
หลินฟู่อินมองสายตาอ้อนวอนนั่นแล้วก็ใจอ่อน
ั้แ่โบราณมา แม่สามีลูกสะใภ้ก็เหมือนน้ำกับน้ำมัน ยิ่งความสัมพันธ์ระหว่างพี่สะใภ้กับน้องสามีให้สนิทสนมเหมือนหลี่ฮูหยินยิ่งหายาก คนที่ยอมเหน็ดเหนื่อยเช่นนี้นับว่าจริงใจโดยแท้จริง
อีกอย่าง ถึงหลินฟู่อินจะรักเงินมากแค่ไหน แต่สองชีวิตที่เสียไปก็ยังเป็ชีวิต นางไม่อาจเมินเฉยได้
ส่วนเื่ธุรกิจ นางคงต้องหาทางหาคนมาช่วยดูแลให้ แค่ครึ่งเดือนเท่านั้นคงไม่มีผลกระทบอะไรมาก
หลินฟู่อินดีดลูกคิดในใจเสร็จก็ตัดสินใจตกลงรับปาก
เห็นเด็กสาวเงียบไป หลี่ฮูหยินก็แทบจะอ้อนวอนแล้ว “ฟู่อิน หากเ้าช่วยน้องสาวคนนี้ สกุลหลี่สกุลโจวจะขอขอบคุณเ้าทั้งชีวิต เื่นี้อย่างไรก็เกี่ยวพันกับชีวิตน้องสาว ข้าย่อมไม่ทำให้เ้าลำบากแน่!”
“ฮูหยินไม่ต้องกังวลเ้าค่ะ ข้ารับปาก แต่ตามที่ฮูหยินกล่าว เราต้องไปกันแบบเงียบๆ ไม่เปิดเผย” หลินฟู่อินเรียกร้อง เกรงว่าหากป่าวประกาศออกไปคนจะยิ่งคาดหวัง ยิ่งคาดหวังมากก็ยิ่งผิดหวังมาก
แม้ชาติก่อนจะทำงานในแผนกนรีเวชเป็นางพยาบาลผดุงครรภ์ แต่นางก็ไม่มีทางรู้ว่าสถานการณ์เป็อย่างไรจนกว่าจะได้เห็นคนท้อง จึงไม่มีความมั่นใจแม้แต่น้อย
ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้มีความมั่นใจอยู่บ้าง แต่ระหว่างการรักษาก็สามารถเปลี่ยนแปลงไปได้ร้อยแปดพันเก้า อาจพบปัญหาตรงไหนก็ได้ จึงยากจะออกปาก
เห็นหลินฟู่อินตกลง หลี่ฮูหยินก็ซึ้งใจจนน้ำตาร่วง “ขอบใจ ขอบใจเ้าเหลือเกินฟู่อิน! เ้าเป็หมอที่ใจดีจริงๆ…”
หลี่ฮูหยินย่อมรู้ว่าคนมีน้องๆ อายุสองเดือนอยู่ที่บ้าน
หลี่ฮูหยินยังสนทนาเื่นู้นเื่นี้อีกมากมาย หลินฟู่อินเองก็อยู่ฟังด้วย
หลังจากคุยกันเสร็จพวกนางก็ตกลงกันว่าจะออกเดินทางในวันพรุ่งนี้ หลินฟู่อินไม่มีอะไรให้ต้องเตรียมการ ทุกอย่างเป็หลี่ฮูหยินจัดการให้
พอหลินฟู่อินกลับ หลี่ฮูหยินก็เป็คนเดินมาส่งนางด้วยตัวเองอีกครั้ง ยังบอกว่าพรุ่งนี้จะไปรับแต่เช้า เพื่อให้เด็กสาวได้จัดการเื่ที่บ้านให้เรียบร้อย
แน่นอนว่าหลินฟู่อินตกลง เื่น้องชายน้องสาวที่หมู่บ้านหูลู่ไม่น่ากังวล แค่ต้องคุยกับย่าหลี่และแม่นมฉินให้ดูแลเด็กทั้งสองให้ดีๆ
กิจการขายถั่วปากอ้ากับถั่วงอก นางลองคิดๆ ดูแล้วยังหาคนที่เหมาะสมมาช่วยไม่ได้
ตอนแรกนางยังคิดจะให้หลิวฉินมาช่วยดูให้ชั่วคราว แต่เขามีเพื่อนเยอะเกินไป มีเื่บันเทิงให้เที่ยวเล่นเยอะเกินไป ซ้ำยังต้องดูภัตตาคารของที่บ้าน เกรงว่าคงไม่มีเวลา
หลินฟางตอนนี้ยังดูแลสถานการณ์ไม่ได้ เฟิงซื่อยิ่งไม่ต้องพูดถึง อย่างไรก็ต้องคอยดูลุงรองหลินต้าซานอยู่
นางคิดไปมาในใจ พอถึงบ้านหยิบกุญแจขึ้นมาเปิดประดู จากนั้นก็ลงกลอนจากด้านในแบบงงๆ ก้มหน้าก้มตาคิดไปตลอดทาง
พอเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ชนเข้ากับกำแพงมนุษย์จนต้องผงะเล็กน้อย
แน่นอนว่าพอเงยหน้าขึ้นก็พบหวงฝู่จิน
“เหม่ออะไรของเ้า?” หวงฝู่จินกำลังถือหนังสือปกสีน้ำเงินอยู่ในมือ บนนั้นมีตัวอักษรเขียนไว้ ‘บันทึกการเดินทางท่องเที่ยวเป่ยหรง’
หลินฟู่อินประหลาดใจ บันทึกการเดินทางเช่นนี้จดเื่ราวธรรมเนียมประเพณีและภูมิศาสตร์ของหลากหลายสถานที่ นับเป็หนังสือท่องเที่ยวก็ว่าได้ คนอย่างหวงฝู่จินอ่านหนังสือเช่นนี้ด้วย?
“จ้องหนังสือข้าทำไม? เ้าก็อยากอ่านหรือ?” หวงฝู่จินยกหนังสือในมือขึ้นแล้วพูดเสียงอบอุ่น “ประเดี๋ยวข้าอ่านเสร็จจะเอาให้เ้า”
ท่าทีอ่อนโยน น้ำเสียงอ่อนโยนราวกับเป็พี่ชายข้างบ้าน
หลินฟู่อินเหมือนโดนผีหลอก จ้องหน้าเขา พยายามดูว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่กันแน่
แต่ก็ต้องผิดหวัง หวงฝู่จินยิ้ม เห็นนางเงียบก็ถาม “ไม่อยากอ่านหรือ? เช่นนั้นเ้าชอบหนังสือแบบไหน? ข้าจะไปหามาให้”
หลินฟู่อินที่คิดอยากจะแก้แค้นเขาจึงโพล่งออกมา “คุณชาย ข้าอยากเห็นภาพวสันต์ หามาให้ข้าได้หรือไม่?”
วสันต์… ภาพวสันต์?
ดี ดียิ่งนัก!
“ดูอะไรั้แ่ยังเด็ก? ไว้เ้าอายุสิบแปดปีเมื่อไรข้าจะหามาให้เ้าดูจนพอใจ” หวงฝู่จินยังคงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนคล้ายกับบิดามารดาที่ค่อยๆ สั่งสอนบุตรชายดื้อๆ คนหนึ่งอย่างมีเหตุผล
นางอดจับหัวตัวเองไม่ได้ ไม่นึกเลยว่าเขาจะตอบโต้กลับมาเช่นนี้
เอาเถิด รู้ว่าเถียงสู้เขาไม่ได้แล้วเหตุใดต้องเหนื่อยใจด้วย
“ก็ได้ ไว้ค่อยคิดตอนข้าถึงสิบแปดแล้วกัน” หลินฟู่อินยอมแพ้
หวงฝู่จินยกยิ้ม คิดถึงน้องสิบสามของตนที่กล่าวได้ว่ารวบรวมสุดยอดภาพวสันต์เอาไว้มากมาย ถึงตอนนั้นนางจะไม่ผิดหวังแน่นอน…
พอหลินฟู่อินพ่ายแพ้ก็หงุดหงิดขึ้นมา หัวคิ้วขมวดมุ่น
หวงฝู่จินเดินตามนางเข้าไปถึงในห้องแล้วถามเสียงเบา “เจอเื่ยากมาหรือ?”
เหตุใดกลับจากโรงหมอสกุลหลี่แล้วจึงหน้านิ่วคิ้วขมวด หรือสกุลหลี่ทำอะไรให้นางยุ่งยาก?
ดวงตาของชายหนุ่มเรืองขึ้นวูบหนึ่ง ก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็วจนแทบมองไม่เห็น
ใช่แล้ว หวงฝู่จิน!
เขามีคนนี่!
โดยเฉพาะตวนมู่เฉิงนั่น ถึงนางจะเห็นอีกฝ่ายเป็สหาย แต่นางก็ยังไม่ลืมครั้งก่อนที่แม่นางเยว่อะไรนั่นเพ่งเล็งนาง เห็นได้ชัดว่าตวนมู่เฉิงรับคำสั่งหวงฝู่จินมาจึงจัดการแม่นางคนนั้นให้ แต่ก็ยังแอบปกป้องอยู่ นางมีหรือจะไม่รู้?
มีเื่น่าหงุดหงิดให้บ่น มีความแค้นต้องแก้แค้น กับตวนมู่เฉิงจริงๆ แม้จะไม่ใช่ความแค้นใหญ่หลวงอะไรแต่ก็ยังมีเื่เล็กๆ น้อยๆ ให้โมโห
เช่นนั้นนางก็ให้ตวนมู่เฉิงมาดูกิจการให้นางสักหลายวันหน่อยแล้วกัน แต่เื่นี้ต้องให้หวงฝู่จินรับปากก่อน
หลินฟู่อินเงยหน้าขึ้นกะทันหัน มองชายหนุ่มด้วยสายตาเร่าร้อน
หวงฝู่จินเลิกคิ้ว แน่นอนว่าไม่พลาดสายตาคิดคำนวณของนาง
แต่ช่างเถิด ไม่ว่านางอยากจะก่อปัญหามากเพียงใด หลังจากตอนนั้นที่เขากัดปากนาง ก็ถือว่าเขาได้ยืนยันความตั้งใจของตัวเองแล้ว
แม้นางจะยังเด็ก ก็ถือเสียว่าตามใจนางเหมือนตามใจบุตรสาวไปสักหลายปีหน่อยแล้วกัน
ดังนั้นยามนี้ต่อหน้าบุตรสาว ก็ปล่อยให้นางเล่นให้เต็มที่ตามใจอยาก
เขาชะงัก รอให้นางกล่าว
“คุณชาย ให้ข้ายืมท่านตวนมู่สักครึ่งเดือนได้หรือไม่?” หลินฟู่อินตัดสินใจพูดเข้าประเด็นทันที
“จะยืมไปทำอะไรกัน?”
หลินฟู่อินเล่าให้เขาฟังว่าจะต้องไปพบน้องสามีของหลี่ฮูหยินที่เมืองชิงเหลียนครึ่งเดือน ยังเล่าว่าคนผู้นั้นมีภาวะคลอดยาก หลี่ฮูหยินขอให้นางไปดู
“เมืองชิงเหลียนหรือ? เ้าจะไปเมื่อไร?” หวงฝู่จินไม่ได้รับปาก แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ สิ่งแรกที่ถามคือวันที่นางจะออกเดินทาง
“ออกเดินทางพรุ่งนี้เช้า เื่ที่บ้านจัดการไว้หมดแล้ว ถั่วปากอ้าสดกับถั่วงอกที่บอกไว้เมื่อครั้งก่อนก็จะพร้อมแล้ว ตรงนั้นข้าหาคนมาทำงานได้แล้ว แต่ยังต้องขอให้ท่านตวนมู่ช่วยมากำกับดูแลและช่วยจ่ายค่าจ้าง ประเดี๋ยวข้าจะมอบเงินให้ท่านตวนมู่ล่วงหน้าเอาไว้ก่อน ค่าแรงพวกนี้จ่ายวันละรอบ” หลินฟู่อินอธิบายให้ชายหนุ่มฟังชัดเจน
นางไม่เคยคิดจะปิดบังอะไรอยู่แล้ว อย่างไรก็ปิดไม่อยู่ เช่นนั้นเหตุใดต้องปิดด้วยเล่า
หวงฝู่จินรู้ว่าหลินฟู่อิน้าให้ตวนมู่เฉิงดูแลคนแค่สิบเอ็ดคนก็อดสงสารลูกน้องขึ้นมาไม่ได้
ไม่ใช่เื่อื่นใด เพียงแต่เป็การลดตัวเกินไปแล้ว
ที่จริงนับว่ามีแค่สิบคนด้วยซ้ำหากหลินฟู่อินไม่นับต้ายาเข้าไปด้วย
“ได้ ข้าจะให้ตวนมู่เฉิงอยู่ช่วยเ้าสักครึ่งเดือน” หวงฝู่จินไม่รู้เลยว่าเขาอยากหัวเราะอะไรกันแน่ อาจเพราะคนตรงหน้าเขาคงเดาได้ว่าตวนมู่เฉิงแอบเข้าข้างแม่นางเยว่เมื่อครั้งก่อนกระมัง ช่างเป็เด็กจอมแก้แค้นนัก
แต่ว่าวันนี้เขากัดปากนางไปแล้ว น่าสงสัยจริงๆ ว่านางจะแค้นเขาหรือไม่ แล้วคิดจะแก้แค้นอย่างไร?
พอหวงฝู่จินคิดถึงจุดนี้ สีหน้าก็แข็งทื่อไป
เด็กตรงหน้าเขาปลอมตัวเป็หมูมากินเสือ โค้งงอได้ ยืดหยุดได้ ทั้งยังอดทนเป็ โอกาสที่จะมาแก้แค้นเขานับว่าไม่น้อยเลย
หวงฝู่จินผู้ไม่เคยกลัวใครเลิกคิ้วมองหลินฟู่อิน เห็นใบหน้าเล็กเต็มไปด้วยความยินดี อืม เขาควรสวดมนต์ให้ตัวเองมากกว่านี้อีกสักหน่อยแล้ว!
“เช่นนั้นก็ขอขอบคุณท่านมากเ้าค่ะ ข้ายังมีเื่ต้องคุยกับคุณชายหลิวของภัตตาคารหลิวจี้อีก ท่านก็คงยุ่งกระมัง” หลินฟู่อินจำได้ว่ายังมีคนอีกสามคนที่หลี่เจิ้งยัดเข้ามาให้นางทำงาน สามคนนี้ต้องจัดแจงให้ไปที่ภัตตาคารหลิวจี้ ดังนั้นก็ต้องคุยกับเถ้าแก่หลิวเื่ส่งอาหารเสียก่อน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้