เสิ่นม่านอาละวาดอยู่พักหนึ่ง ส่วนหนิงโม่ก็ไม่ได้ถือสานาง
หลังจากนางกลับไป เขาจับพิราบสื่อสารตัวนั้นมา แล้วแกะจดหมายจากช่องอย่างคล่องแคล่ว
ในจดหมายเขียนไว้อย่างกระชับ:
‘คุณชาย ข้อมูลผิดพลาด เบาะแสขาดหาย ข้าน้อยกำลังเร่งเดินทางกลับ’
ข้อมูลผิดพลาด?
นิ้วมือเรียวยาวของหนิงโม่ออกแรงกำจดหมายไว้แน่นอย่างไม่รู้ตัว
เบาะแสขาดหาย
ค้นหามาตั้งนาน ท้ายที่สุดก็ยังหาตัวนางไม่พบ สันนิษฐานว่านางคงไม่มีชีวิตอยู่แล้ว?
หนิงโม่ปิดประตูห้องแล้วเดินไปยังตะเกียงน้ำมัน ปลายนิ้วคีบจดหมายจ่อใส่เปลวไฟ ยามที่ไฟลามเลียเผาไหม้กระดาษ เกิดเป็แสงสว่างวาบขึ้นชั่วขณะ เผยให้เห็นความเศร้าใจกลัดกลุ้มอยู่เลือนราง…
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น หนิงโม่ตื่นสายเล็กน้อย เมื่อมาถึงที่โต๊ะ เด็กทั้งสามกำลังกัดเนื้อกินกันอยู่
เขาขมวดคิ้ว “เหตุใดตื่นเช้ามาก็กินเนื้อสัตว์?”
เสิ่นม่านคีบขานกพิราบใส่ถ้วยของเขา กลิ่นน้ำแกงหอมหวาน ดวงตากลมโตยิ้มจนตาโค้ง น้ำเสียงแฝงด้วยความภาคภูมิใจ
“นี่ไม่ใช่แกงนกพิราบธรรมดา สิ่งนี้คือของขวัญจากธรรมชาติ! ข้าจัดการปลิดชีพมันและตุ๋นทั้งคืน น้ำแกงนี้หอมยิ่งนัก!”
เด็กทั้งสามซดน้ำแกงและพยักหน้าเห็นด้วย
หนิงโม่จ้องมองขานกพิราบในถ้วย หลังจากอึ้งไปหลายวินาที ปฏิกิริยาต่อมาก็ราวกับตนเองถูกคนหั่นเศียรเอามาทำอาหารกิน
“ตุ๋นแล้ว?”
นกพิราบสื่อสารที่ได้รับการฝึกมาอย่างดี ราคาตัวละห้าสิบตำลึง ถูกตุ๋นเป็น้ำแกงเช่นนี้หรือ?!
หญิงล้างผลาญคนนี้!
“อะไรกัน ไม่พอใจหรือ? หากไม่ใช่เพราะมีเวลาไม่พอ ข้าตั้งใจจะผัดมาเพิ่มอีกสักจาน แต่น้ำแกงนี้สดใหม่ยิ่งนัก เ้าเลิกเลือกมากเสียที มีน้ำแกงให้ซดก็ไม่เลวแล้ว”
เสิ่นม่านตักน้ำแกงใส่ถ้วยให้เขา จากนั้นรอคำชมเชย
“ไม่ต้องกังวล นกพิราบตัวนี้ผ่านการปรุงพิเศษจากข้า ไม่มีรสชาติแปลกประหลาดแน่นอน ไม่เชื่อเ้าลองชิมดู?”
ดวงตาของนางยิ้มโค้งจนกลายเป็จันทร์เสี้ยวทั้งยังมีประกายระยิบระยับ
หนิงโม่อดไม่ได้ที่จะตะลึง เกิดอะไรขึ้น เหตุใดเขาจึงรู้สึกว่ารอยยิ้มที่ชั่วช้านี้น่ารัก?
เมื่อตระหนักถึงความคิดอันน่าหวาดหวั่นนี้ หนิงโม่ก็รีบถอนสายตาและยกถ้วยขึ้นมาชิม
สุดท้าย…
น้ำแกงนกพิราบหม้อนี้ เขาดื่มพร้อมน้ำตาไปสองถ้วยถ้วน
เนื่องจาก่นี้ที่บ้านกำลังสร้างโรงทำเต้าหู้ หนิงโม่เห็นเสิ่นม่านยุ่งจนเท้าไม่ติดพื้นอยู่คนเดียว จึงให้เด็กๆ ที่โถงบรรพชนหยุดเรียนยาว จากนั้นพาต้าเป่ากับหลานๆ ช่วยงานในบ้าน
ต้าเป่าและหลานฝาแฝดดีใจที่เป็เช่นนี้ เพราะถึงอย่างไรเด็กที่มาเรียนก็มีไม่กี่คน พวกเขาแม้นจะชอบเรียน แต่ก็สามารถเรียนกับลุงหนิงที่บ้านได้
กลางวันเสิ่นม่านพาเด็กๆ ไปขายเต้าฮวยที่ตำบล ส่วนหนิงโม่เป็คนว่างงานอยู่ที่บ้าน เขาหยิบตำรามานั่งอ่านที่ลานบ้าน หาได้สนใจไม่ว่ามีสาวน้อยใหญ่มาเดินวนเวียนอยู่หน้าประตูบ้านเขากี่รอบ
ในที่สุดก็มีคนทนไม่ไหวและเคาะประตู
หนิงโม่เปิดประตูและเห็นเหอยวนยางที่มัดผมด้วยเชือกสีแดง ขณะนี้กำลังถือคัมภีร์หลุนอวี่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูและขบริมฝีปากล่าง
พอเห็นเขา ประกายในดวงตาของเหอยวนยางสว่างวาบ
“อาจารย์หนิง ข้าไม่เข้าใจเนื้อหาบางส่วนในตำราเล่มนี้ ท่านช่วยอธิบายได้หรือไม่?”
หนิงโม่ไม่ตอบหรืออธิบายให้นางเหมือนเช่นเคย กลับกันคือสำรวจมองนางแวบหนึ่ง
ชุดกระโปรงสีชมพูดอกท้อ เนื้อผ้าดูเหมือนใหม่ ทรงผมที่มักจะถักเปียสองข้างในยามปกติ วันนี้ถูกเกล้าขึ้นเป็ทรงเหมือนกับเด็กสาวในตำบลทั้งหลาย ตกแต่งด้วยมาลาเล็กๆ บนเส้นผมดำขลับ ทั้งยังเสียบด้วยปิ่นเงินทรงดอกไม้
วันนี้ใบหน้าของเด็กสาวถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องแป้ง แก้มแดงระเรื่อราวกับดอกท้อที่ผลิบานในวสันตฤดู
น่าเสียดายที่หนิงโม่ได้ยลดอกโบตั๋นอันงดงามในเมืองหลวงมาแล้วมากมาย สำหรับดอกท้อชนบทอันไกลโพ้นนี้ จึงไม่รู้สึกสนใจแม้แต่น้อย
เขาเบนสายตาออกช้าๆ
“คุณหนูเหอ ได้ยินว่าท่านพ่อเ้าเป็บัณฑิตซิ่วไฉไม่ใช่หรือ? คำถามเหล่านี้ เ้าสามารถไปถามเขาได้ เหตุใดยังต้องลำบากมาถามข้าเล่า?”
เหอยวนยางหน้าแดง นางไม่ทันเข้าใจในสิ่งที่เขา้าสื่อจึงรีบตอบ “พ่อของข้าเป็เพียงซิ่วไฉ ความรู้ยังห่างไกลจากอาจารย์หนิง ข้า...”
“หาได้เป็เช่นนั้นไม่ ข้ายังไม่เคยไปสอบ ไม่แน่ว่าจะมีความรู้ระดับเดียวกับท่านพ่อของเ้า นอกจากนี้เ้าเล่าเรียนมานานหลายปี เดาว่าคงรู้เื่ความเหมาะสมระหว่างบุรุษและสตรีใช่หรือไม่? เพื่อรักษาชื่อเสียงอันดีงามของเ้า ข้าคิดว่าพึงใกล้ชิดชายหนุ่มให้น้อยจะดีกว่า”
“ข้า... วันนั้นเสิ่นม่านเหนียงบอกว่าท่านมีหญิงในดวงใจแล้ว จริงหรือไม่? หรือเพราะอาจารย์หนิงไม่ได้มีใจให้ข้า จึงหาข้ออ้าง?”
เหอยวนยางไม่ยอมแพ้ง่ายๆ นางขบริมฝีปากล่าง จากนั้นทอดมองชายหนุ่มผู้แสนเ็าด้วยความคาดหวัง “ท่าน... น่าจะมีใจให้ข้าไม่ใช่หรือ? มิเช่นนั้นเหตุใดจึงอ่อนโยนต่อข้านัก และไม่เคยรังเกียจที่จะช่วยข้าคลี่คลายความสงสัย?”
หนิงโม่ไม่แม้แต่จะเหลือบตามอง สีหน้ายังคงเ็าไร้ความรู้สึก
“เสิ่นม่านเหนียงพูดความจริง นอกจากนี้ ข้าไม่ได้มีใจให้เ้า ส่วนเื่ที่ช่วยเ้าคลายความสงสัย เป็เ้าไม่ใช่หรือที่มาถามข้าเอง?”
คำพูดนี้ทำให้เหอยวนยางอึ้งไป จากนั้นน้ำตาคลอเบ้าอย่างรวดเร็ว
ชายคนนี้ เวลาอ่อนโยนก็แสนอ่อนโยน ทว่าเมื่อเ็าก็เ็าไม่มีผู้ใดเกิน
เขาปล่อยให้เหอยวนยางทั้งหน้าทั้งขอบตาแดงก่ำอยู่อย่างนั้น กระทั่งนางทนไม่ไหวเอามือปิดหน้าร้องไห้และวิ่งจากไป
ไม่รู้เพราะเหตุใด ตอนที่เหอยวนยางร้องไห้อยู่ข้างเขา สมองพลันปรากฏภาพที่เสิ่นม่านนั่งอยู่บนตัวเขาและจูบเขาเต็มแรง หนิงโม่ตัวสั่นจนอ่านตำราในมือต่อไม่ไหว
เกิดอะไรขึ้น? กลางวันแสกๆ เหตุใดถึงได้มีภาพหลอนเยี่ยงนี้?
นางจางที่กำลังยืนแทะเมล็ดทานตะวันอยู่ข้างบ้าน นางมองดูบ้านสกุลเสิ่น แล้วมองดูเหอยวนยางที่ร้องไห้โศกเศร้า จากนั้นก็หัวเราะมีความสุขบนความทุกข์ผู้อื่น แสร้งลากเสียงเอ่ย
“เฮ้อ… คนบางคน ทั้งที่เป็แค่ไก่บนเขา แต่ชอบทำตัวเป็หงส์ ไม่ดูตนเองเสียบ้างเลย น้ำหน้าแบบนี้ ยกให้คนอื่นเปล่าๆ ก็คงไม่มีผู้ใดเอา! หึ ขืนบ้านไหนได้เหอยวนยางไป คงดวงซวยไปแปดชั่วโคตร!”
ไม่รู้ว่าเหอยวนยางได้ยินหรือไม่ แต่นางวิ่งเร็วขึ้นกว่าเดิม
หลังจากยั่วโมโหเหอยวนยางจนวิ่งหนีไป นางจางก็ถุยเมล็ดทานตะวันออกมา สมัยก่อนนางชื่นชอบเด็กสาวแซ่เหอผู้นี้ ก็ใครใช้ให้นางมีหน้าตางดงามกันล่ะ? นางถือเป็สาวงามอันดับต้นๆ ของหมู่บ้านละแวกนี้
แม้ว่าพ่อของเหอยวนยางจะเป็พ่อหม้าย แต่อย่างน้อยก็เป็ถึงบัณฑิตซิ่วไฉ นางจางเคยคิดอยากให้โก่วเซิ่ง ลูกชายของนางไปสู่ขอที่บ้านเหอซิ่วไฉ รอเหอยวนยางอายุครบสิบหกปีเมื่อใดจะได้แต่งนางเข้ามา
แต่เหอยวนยางกลับไม่รู้ผิดชอบชั่วดี พอได้ยินว่าโก่วเซิ่งจะมาสู่ขอ ก็ด่าโก่วเซิ่งต่อหน้าคนในหมู่บ้านไปหนึ่งยก แล้วยังบอกว่าตนเองถึงตายก็ไม่ยอมแต่งกับชายเกียจคร้านอย่างโก่วเซิ่ง ทำให้นางจางโมโหจนกินข้าวไม่ลงไปสามวัน
เด็กสาวนั่นมีอะไรดี? โก่วเซิ่งของนางแม้ว่าอายุสิบแปดยังไม่ได้แต่งงาน แต่อย่างน้อยก็มีแขนขาครบ มีบ้านเรือนและที่นาในหมู่บ้าน ต่อให้ไปสู่ขอคุณหนูในตำบลก็ยังทำได้!
สกุลเหอที่มีเพียงพ่อหม้ายลูกติด กลับไม่เห็นครอบครัวนางอยู่ในสายตา? คราวนี้ต้องมาเจอคำปฏิเสธจากหนิงโม่ สมควรแล้ว!
นางจางเดินเข้าบ้านตนเองและสะดุดเข้ากับธรณีประตู พอล้มก้นจ้ำเบ้า สมองของนางก็เกิดประกายความคิดบางอย่างแวบเข้ามา
ตอนนี้โก่วเซิ่งยังไม่แต่งงาน… เหตุใดจึงไม่สู่ขอเสิ่นม่านเข้าบ้านเสียเล่า?
-----
