สำหรับสัตว์อสูรทั่วไปนั้นในการเลื่อนระดับพลังิญญานั้นจะสามารถเพิ่มระดับในขั้นถัดไปด้วยการดูดซับแก่นพลังธาตุได้ อีกทั้งระดับของพลังิญญาที่เพิ่มขึ้นของนายแห่งพันธะย่อมส่งผลต่อสัตว์อสูรในเช่นกัน แต่ถึงอย่างนั้นแล้วสำหรับเจียวซิ่นด้วยสิ่งเหล่านี้นับได้เลยว่ายังไม่เพียงพอสำหรับการเลื่อนระดับพลังิญญาของมันได้สักเท่าไหร่นัก ด้วยเพราะตัวของเจียวซิ่นนั้นได้เกิดการกลายพันธ์ขึ้นจนผิดแปลกกว่าสัตว์อสูรสังกัดปราณธาตุพฤกษาทั่วไป อีกทั้งแต่เดิมนั้นสัตว์อสูรตำนานนับได้ว่าเป็ตัวตนของสัตว์อสูรที่เต็มไปด้วยความลึกลับและอยู่เหนือการรับรู้ความเข้าใจของคนทั่วไปอยู่แล้ว
ดังนั้นในการเลื่อนระดับของเจียวซิ่นจึงต้องใช้ทุกสิ่งที่มีพลังลมปราณหรือพลังเวทย์นำมาดูดซับโดยตรง ซึ่งในร่างกายของสัตว์อสูรและผู้ฝึกตนนั้นต่างเต็มเปี่ยมไปด้วยคุณสมบัติเช่นนี้ไม่ต่างกัน
แม้สัญชาติญาณดิบเถื่อนของเจียวซิ่นจะยังคงมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยมด้วยเพราะยังไม่ได้อยู่ในระดับที่สูงมากพอจนสามารถเปิดสติปัญญาให้มีความรู้สึกนึกคิดเช่นเดียวกันกับผู้ฝึกตน แต่ถึงอย่างนั้นด้วยความรักเอาใจใส่ของหนิงอ้ายที่มีต่อเจียวซิ่นได้ค่อย ๆ ทำลายสัญญาณญาณเดิมของนักล่าในตัวของเจียวซิ่นไปได้แล้วบางส่วน
ดังนั้นในตอนนี้ซากของสัตว์อสูรและร่างไร้ิญญาของผู้ฝึกตนฝั่งศัตรูนับว่าเป็สิ่งที่จำเป็ต่อเจียวซิ่นยิ่งนักในการเลื่อนระดับในขั้นถัดไปและด้วยปกติธรรมชาติของสัตว์อสูรสังกัดพฤกษานั้นนอกจากจะหาได้ยากกว่าสัตว์อสูรประเภทอื่นแล้วนั้นในเื่ของการเลื่อนระดับพลังิญญาก็มีความล่าช้ากว่าสัตว์อสูรทั่วไปหลายเท่า
อีกทั้งยังสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างล่าช้าจนเกินไปและไร้ซึ่งความโดดเด่นในหลากหลายด้านทั้งการโจมตีและการป้องกัน ดังนั้นในการที่สัตว์อสูรสังกัดธาตุพฤกษาต้องรับมือสัตว์อสูรอื่นในธรรมชาติจึงไม่สามารถทำได้ง่ายและมักจะเป็ฝ่ายพ่ายแพ้ในที่สุด ด้วยเหตุนี้สัตว์อสูรสังกัดธาตุพฤกษาจึงแทบจะสูญพันธ์ไปหมดสิ้นในมหาพิภพแห่งนี้
และด้วยสิ่งต่าง ๆ นี้แม้ว่าการพบเจอสัตว์อสูรสังกัดธาตุพฤกษาจะพบเจอได้ยากมากเพียงใดในปัจจุบันเเต่เมื่อพบเจอในแต่ละครั้งนั้น ด้วยขีดจำกัดต่าง ๆ และจุดด้อยเหล่านี้สัตว์อสูรสังกัดธาตุพฤกษาจึงถูกมองว่าเป็เพียงสัตว์อสูรที่ไร้ค่าและไม่สมควรอย่างยิ่งในการนำมาผูกพันธะรับใช้ และมีประโยชน์เพียงใช้ในการไล่ล่าสังหารเพื่อฆ่าเวลายามเบื่อหน่ายหรือเพื่อความสนุกสนานของชนชั้นสูงก็เพียงเท่านั้น
แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้ฝึกตนในมหาพิภพแห่งนี้ยังไม่รู้นั้นก็คือสัตว์อสูรระดับสูงแม้ว่าจะเป็สัตว์อสูรสังกัดธาตุพฤกษาก็ตาม หาใช่เป็เหมือนกันกับสัตว์อสูรสังกัดธาตุพฤกษาทั่วไปไม่ แล้วยิ่งกับเจียวซิ่นที่เป็สัตว์อสูรสังกัดธาตุพฤกษาที่เกิดการกลายพันธ์ พลังที่แต่จริงที่ซ่อนอยู่ในสายเืาในตัวตนของเจียวซิ่นนั้น กล่าวได้ว่าคงไม่ต่างไปจากสัตว์อสูรสายโจมตีสังหารที่ทรงพลังและน่าหวั่นเกรงกว่าสัตว์อสูรเผ่าพันธ์อื่นอย่างแน่นอน
สำหรับคำกล่าวที่ว่า 'โลกใบนี้คำว่าบังเอิญนั้นไม่มีอยู่จริง' นับว่าเป็สิ่งที่ถูกต้องยิ่งนักเพราะว่าทุกสรรพสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นล้วนต่างถูกกำหนดขีดเขียนเอาไว้แล้วด้วยกงล้อแห่งโชคชะตาและพวกเราทุกคนนั้นต่างได้ถูกชักนำไปในทางนั้นในที่สุดแต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าจะไม่มีเส้นทางอื่นให้เลือกเดินเสียหน่อย
เช่นเดียวกันกับเื่ราวความเป็มาของเจียวซิ่นที่ใครจะไปคาดคิดว่าสัตว์อสูรสังกัดธาตุพฤกษาในหอประมูลที่รอคอยวันตายที่ใกล้เข้ามาอย่างช้า ๆ แต่ในที่สุดแสงแห่งความหวังอีกครั้งก็ได้เกิดขึ้นเมื่อเจียวซิ่นกลับถูกซื้อตัวจากหนิงอ้ายคุณชายที่ตัวของมันััได้เพียงพลังิญญาระดับก่อเกิดิญญาเพียงเท่านั้น
แต่ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นที่มองมาคงไม่ผิดใช่หรือไม่ที่มันจะขอคาดหวังกับเด็กหนุ่มคนนี้ ท้ายที่สุดทั้งคู่ต่างเป็เ้านายและสัตว์อสูรแห่งพันธะซึ่งกันและกัน ไม่ว่าจะเป็เหตุผลใดก็ตามแต่ ในวันข้างหน้าโลกของผู้ฝึกตนในมหาพิภพแห่งนี้ย่อมมีบันทึกถึงความเป็มาอันยิ่งใหญ่ของสัตว์อสูรสังกัดธาตุพฤกษานามเจียวซิ่นอย่างแน่นอน...
แสงสีทองประกายส้มอันเป็แสงแรกของเช้าวันใหม่โผล่พ้นจากขอบฟ้าสาดส่องไปทั่วทั้งบริเวณสุดสายตา นับว่าเป็ความงดงามของธรรมชาติที่หาชมได้ยากยิ่ง แว่วยินเสียงของสรรพสิ่งมีชีวิตน้อยใหญ่ที่อาศัยอยู่ในผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์แห่งนี้ ดังขึ้นจากทุกสารทิศโดยรอบที่ต่างพากันส่งเสียงร้องรับสอดประสานกันได้อย่างลงตัวชวนให้รู้สึกเบิกบานใจผ่อนคลายยิ่งนัก
อีกทั้งยังเป็ดั่งสัญญาณการเริ่มต้นอีกครั้งของการเดินทางให้เป็ไปตามจุดประสงค์ที่ตั้งใจไว้ั้แ่แรกก่อนออกเดินทางจากตระกูลหวังนั่นคือการเดินทางเพื่อเข้าร่วมการทดสอบเป็ศิษย์ของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ซึ่งได้ตั้งอยู่ในเขตแดนเหนือของมหาทวีปแห่งนี้นั่นเอง
หลังจากเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ที่เหล่านักฆ่ามือสังหารได้ปลอมตัวเป็โจรป่าเข้าดักซุ่มโจมตีขบวนรถม้าของพวกเขานั้นแม้ท้ายที่สุดแล้วถึงจะไม่สามารถหาหลักฐานผู้จ้างวานที่อยู่เื้ัของเหตุการณ์ลอบฆ่าในครั้งนี้ได้ก็ตามแต่สำหรับสำนักหมาป่าทมิฬแล้วนั้นอีกฝ่ายคงเกิดความเสียหายไปไม่มากก็น้อยด้วยเพราะว่าเหล่านักฆ่ามือสังหารทั้งยี่สิบคนที่ถูกส่งมาล้วนต่างเป็ผู้ฝึกตนระดับสูงที่มีพลังิญญาอยู่ในระดับจักรพรรดิิญญาและระดับเทวะิญญาทั้งสิ้น
กล่าวได้ว่าการที่สำนักหมาป่าทมิฬจะสร้างมือสังหารที่มากไปด้วยฝีมือและมีระดับพลังิญญาสูงได้สักคนเช่นนี้ได้นั้นนอกจากจะต้องทุ่มเทใช้เวลาไปหลายสิบปีแล้วแน่นอนว่ายังคงต้องสูญเสียทรัพยากรในการบ่มเพาะฝึกตนไปจำนวนมากอย่างแน่นอน
ดังนั้นสำหรับภารกิจลอบฆ่าสังหารในครั้งนี้ที่ทางสำนักหมาป่าทมิฬรับมาจากผู้จ้างวานนั้นแม้ผลตอบแทนจะล้ำค่ามากเพียงใด แต่ถึงอย่างไรแล้วนั้นอาจกล่าวได้ว่าการสูญเสียเหล่านักฆ่ามือสังหารทั้งยี่สิบคนที่มีระดับพลังิญญาสูงคงทำให้ทางสำนักหมาป่าทมิฬขาดทุนไปไม่น้อยเลยทีเดียว
การปะทะต่อสู้กันของทั้งสองระหว่างฝ่ายของหนิงอ้ายกับเหล่านักฆ่ามือสังหารก่อนหน้านี้ที่จบไปแล้วนั้นถึงแม้ว่าพวกเขาทั้งหกคนจะไม่ได้รับาเ็จนถึงแก่ชีวิตหรือได้รับผลกระทบต่อการเลื่อนระดับพลังิญญาในวันข้างหน้าก็จริง แต่ถึงอย่างนั้นแล้วทุกคนต่างมีาแกันบ้างเล็กน้อยเท่านั้นซึ่งาแต่าง ๆ เหล่านี้สามารถใช้โอสถภายนอกรักษาได้
แต่ถึงอย่างไรก็ตามนับได้ว่าทุกคนนั้นต่างสูญเสียพลังลมปราณในร่างกายไปไม่น้อยกว่าที่จะสามารถฟื้นคืนมาเต็มสิบส่วนได้ดังเดิมแม้จะมีเคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆาที่คอยดูดซับปราณฟ้าดินเข้าสู่ร่างกายแล้วก็ตามเมื่อเป็เช่นนั้นแล้วเช้าวันนี้ของการเดินทางหนิงอ้ายจึงบอกความ้าของตนในทันทีและไม่รอช้าเข้าจัดการวัตถุดิบเพื่อทำอาหารมื้อเช้าให้ทุกคนในทันที
หลังจากที่ทุกคนได้กินอาหารมื้อเช้าฝีมือของคุณชายเล็กหรือหนิงอ้ายเสร็จแล้วนั้นต่างแยกย้ายกันไปเพื่อจัดการตัวเองให้พร้อมที่จะเดินทางต่อไปเพื่อทำเวลาให้ดีที่สุด ซึ่งเหล่าองครักษ์ทั้งสี่คนนั้นต่างรู้สึกประหลาดใจและชื่นชมนายน้อยของตนเป็อย่างมากในใจต่างมีความเห็นที่ตรงกันว่ายังมีสิ่งใดอีกหรือไม่ที่คุณชายหนิงอ้ายผู้นี้ยังทำไม่ได้ช่างเพียบพร้อมไปเสียทุกด้านอย่างแท้จริง
ทว่าสำหรับลู่ซีนั้นแม้จะไม่บ่อยครั้งนักที่ตนจะได้กินอาหารฝีมือของหนิงอ้ายแต่อาหารที่เด็กหนุ่มเป็คนทำนั้นนอกจากจะมีรสชาติที่ดีเยี่ยมแล้วหน้าตาและสีสันของอาหารนั้นช่างน่าทานกว่าอาหารที่ขึ้นชื่อของเหลาอาหารชื่อดังประจำแคว้นเสียด้วยซ้ำ
เกือบสองชั่วยามให้หลังในที่สุดพวกเขาทั้งหกคนก็มาถึงเขตเทือกเขาที่ติดกับเมืองหมอกทมิฬเสียที เมืองแห่งนี้ตั้งอยู่ตรงรอยต่อระหว่างแคว้นเต่าดำและเขตทางเหนือที่ถือว่าเป็อาณาเขตของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ นับได้ว่าเมืองหมอกทมิฬนั้นเป็เมือง ที่อยู่อยู่ในเขตการปกครองของสำนัก ดังนั้นสำหรับผู้ฝึกตนที่้าเข้าร่วมเป็ศิษย์ของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ต่างล้วนที่จะมาหยุดพักที่เมืองหมอกทมิฬแห่งนี้ด้วยกันทั้งสิ้นก่อนที่จะเดินทางต่อไป
สำหรับเมืองหมอกทมิฬนั้นเ้าเมืองปกครองครั้งหนึ่งเคยเป็ถึงศิษย์สายในของผู้าุโในสำนักศึกษา นอกจากนั้นแล้วผู้คนในเมืองนี้ไม่ว่าจะเป็ชาวบ้านทั่วไปที่ไร้ซึ่งพลังิญญาหรือผู้ฝึกตนจากตระกูลน้อยใหญ่ที่ตั้งรกรากอยู่ในเมืองหมอกทมิฬแห่งนี้ต่างให้ความเคารพนับถือศิษย์ของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์เป็อย่างมากเนื่องจากว่าพวกเขาเหล่านี้ต่าง้าผู้ฝึกตนที่มากฝีมือในการปกป้องพวกตนนั่นเอง
ถึงแม้ว่าเมืองหมอกทมิฬแห่งนี้จะอยู่ในการปกครองของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์เเต่ถึงอย่างนั้นแล้วกล่าวได้ว่ายังเป็เมืองเเรกที่อยู่ด้านหน้าสุดของอาณาเขตปกครอง หรือสามารถเรียกได้ว่าเมืองหมอกทมิฬนั้นเป็เมืองหน้าด่านของสำนักได้ไม่ต่างกัน ดังนั้นแล้วจึงมีผู้คนจำนวนมากที่เข้าออกเมืองนี้อย่างสม่ำเสมอในทุกปี
สำหรับเื่ของการดูแลปกครองนั้นค่อนข้างที่จะดีมากเลยทีเดียวเพราะว่ามีผู้ฝึกตนระดับสูงของสำนักศึกษาอยู่ประจำการที่เมืองหมอกทมิฬนี้เป็จำนวนมาก และแม้ว่าเมืองนี้จะมีพื้นที่ติดกับเขตเทือกเขาเร้นลับอสูรที่ขึ้นชื่อในเื่ของความลี้ลับอันตราย แต่อย่างไรก็ตามคนที่เดินทางเข้ามาในเมืองนี้หรือประชาชนของเมืองเองต่างมีความมั่นใจว่าพวกเขาเหล่านี้นั้นสามารถพักอาศัยอยู่ในเมืองหมอกทมิฬได้อย่างปลอดภัยแน่นอน
"ก่อนถึงยามเซินน่าจะถึงเมืองหมอกทมิฬพอดีใช่ไหมขอรับ ลู่เกอ??" หนิงอ้ายเอ่ยถามลู่ซีเพื่อความแน่ใจอีกครั้งเพราะว่าก่อนออกเดินทางในครั้งนี้อีกฝ่านนั้นหาข้อมูลที่จำเป็หรือเกี่ยวข้องกับสำนักศึกษาไปไม่น้อยเลยทีเดียว
"เป็เช่นนั้น แต่พวกเราจะต้องผ่านเขตป่าของเทือกเขาเร้นลับอสูรเสียก่อน..." ลู่ซีเอ่ยตอบกลับไปด้วยความเป็กังวลอยู่ไม่น้อย
การสนทนาเพียงสั้น ๆ ของสองพี่น้องได้จบลงพร้อมกับที่ทางฝั่งของหัวหน้าองครักษ์ได้เร่งควบม้านำขบวนนี้ให้เดินทางไปถึงเมืองหมอกทมิฬที่อยู่ติดกับเทือกเขาเร้นลับอสูรให้เร็วที่สุดให้ทันก่อนตะวันตกดิน เพราะไม่เช่นนั้นแล้วหากต้องติดอยู่ในเขตเทือกเขาเร้นลับอสูรใน่กลางคืน กล่าวได้ว่าคงไม่ค่อยน่าดูสักเท่าไหร่นัก ด้วยเพราะพวกเขาทั้งหกคนต่างเป็ผู้ฝึกตนกันทั้งสิ้นดังนั้นพวกเขาจึงรีบเร่งเดินทางเร็วที่สุดและเมื่อถึงยามเว่ยพวกเขานั้นก็เข้าสู่เขตป่าชั้นนอกของเทือกเขาเร้นลับอสูรเสียที
"เทือกเขาเร้นลับอสูรช่างมีความแปลกประหลาดลึกลับเสียจริง" หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นเบา ๆ ราวกับว่าเอ่ยกับตนเองแต่ถึงอย่างนั้นแล้วด้วยเพราะทุกคนในที่นี้ต่างล้วนเป็ผู้ฝึกตนทั้งสิ้น ดังนั้นแม้เสียงที่เอื้อนเอ่ยออกมาดังกล่าวจะแ่เบาเพียงใดก็ต่างได้ยินอย่างชัดเจน
"เ้าััอะไรได้เช่นนั้นรึ?? " ลู่ซีเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มนั้นทอดสายตาไปยังข้างในของผืนป่าอย่างไม่ละสายตา
"เทือกเขาเร้นลับอสูรต่างถูกปกคลุมไปด้วยไอหมอกหนายิ่งนักแต่ถึงอย่างนั้นข้ายังััได้ถึงสัตว์อสูรที่ทรงพลังและแข็งแกร่งหลายตัวอาศัยอยู่ภายในที่แห่งนี้ อีกทั้งไอหมอกหนาต่างถูกประสานไปกับปราณฟ้าดินที่เข้มข้นไม่ต่างไปจากม่านปราการที่แข็งแกร่งอีกทั้งส่วนพื้นที่เขตป่าชั้นในสุดยังถูกร่ายกำกับด้วยบทเวทย์โบราณที่แม้กระทั่งเนตรแห่ง์ของข้ายังไม่อาจมองทะลุได้อย่างแจ่มแจ้งขอรับ" หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นด้วยความแปลกใจ เพราะเขาไม่สามารถรับรู้ข้อมูลอะไรไปมากกว่านี้ แต่ก็สามารถเข้าใจได้ด้วยเพราะระดับพลังิญญาจักรพรรดิิญญาขั้นสูงของเขาในตอนนี้ย่อมไม่อาจสำแดงอาณุภาพของเนตรแห่ง์ได้อย่างเต็มสิบส่วนเท่าไหร่
"แม้จะเป็เพียงเขตป่าชั้นนอกของเขตเทือกเขาเร้นลับอสูรแต่ข้ายังััได้ถึงสัตว์อสูรหลากหลายสายพันธ์เลยทีเดียวที่มีพลังิญญาสูงสุดอยู่ในระดับขุนนางเท่านั้นแต่ข้าเชื่อว่าสัตว์อสูรที่ระดับสูงมากกว่านี้คงอยู่ในเขตป่าชั้นกลางเป็ต้นไป ขอเพียงแค่ไม่เข้าไปในอาณาเขตบริเวณของมันนั้นคงไม่มีปัญญาอะไรขอรับ..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นถึงสิ่งที่ตนรับรู้จากการใช้เนตรแห่ง์ให้กับทั้งห้าคนที่จ้องมองมายังตนอยู่ในขณะนี้
ถึงแม้ว่าสัตว์อสูรระดับสูงสุดในเขตป่าชั้นนอกของเทือกเขา เร้นลับอสูรนั้นจะเป็เพียงระดับขุนนางิญญาแต่หากต้องปะทะกันในคราวเดียวครั้งละสิบตัวหรือครั้งละร้อยตัวพร้อมกันนั้น
ต่อให้เป็ผู้ฝึกตนระดับสูงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพร์และฝีมือมากเพียงใด ยังกล่าวได้ว่าค่อนข้างที่จะเสียเปรียบอยู่ไม่น้อยเพราะในธรรมชาติของสัตว์อสูรนั้นแม้จะถูกลำดับขั้นระดับพลังิญญาเฉกเช่นเดียวกับผู้ฝึกตนก็จริงแต่ถึงอย่างไรแล้วนั้นความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายสัตว์อสูรหากเทียบกันแล้วยังเหนือกว่าผู้ฝึกตนไปสองถึงสามขั้นเลยทีเดียว
"คุณชายหนิงอ้ายท่านทำสิ่งใดรึขอรับ??" หัวหน้าองครักษ์เอ่ยขึ้นเมื่อััได้ถึงพลังอันแข็งแกร่งสายหนึ่งพัดผ่านตัวของเขาไปเมื่อครู่
"ข้าร่ายบทเวทย์ป้องกันให้กับขบวนรถม้า เพราะอย่างไรป้องกันไว้ก่อนเป็การดีที่สุด..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นพร้อมกับยกยิ้มเล็กน้อย
ท่ามกลางความตกตะลึงของเหล่าองครักษ์ทั้งสี่คนเป็อย่างมาก ต้องบอกว่าโดยปกติสำหรับการร่ายบทเวทย์ป้องกันในแต่ละครั้ง จำเป็จะต้องมีความแม่นยำและต้องถ่ายเทพลังลมปราณให้มั่นคงอยู่เสมอเพื่อรักษาสมดุลเอาไว้ อีกทั้งยังต้องจำกัดพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งหาใช่เป็การร่ายบทเวทย์ในขณะที่มีการเคลื่อนไหวหรือเดินทางเช่นนี้ ไม่รู้ว่าท่านประมุขตระกูลหวังได้ถ่ายทอดสิ่งใดให้แก่นายน้อยเพราะแต่ละสิ่งที่เกิดขึ้นในเวลาเพียงสองสามวันของการเดินทางครั้งนี้ถือว่าได้เปิดหูเปิดตาแก่พวกตนยิ่งนัก...
ยิ่งเดินทางเข้าไปในเขตป่าชั้นนอกของเทือกเขาเร้นลับอสูรมากเท่าใด ญาณััในร่างกายของพวกเขาทั้งหกคนนั้นต่างถูกรีดเค้นออกมาแผ่ไปโดยรอบบริเวณอย่างระมัดระวังเป็อย่างยิ่งแม้ว่าทางที่พวกเขาต้องเดินทางนั้นถือว่าเป็เพียงป่าชั้นนอกเท่านั้น แต่อย่างไรแล้วย่อมมีสัตว์อสูรอยู่อาศัยในเขตนี้เช่นกันเเต่มว่าส่วนมากนั้นเมื่อพวกมันััได้ถึงระดับพลังิญญาที่เหนือชั้นกว่าย่อมที่จะหลีกเลี่ยงที่จะเผชิญหน้าโดยตรงด้วยเพราะสัญชาตญาณที่เต็มเปี่ยมนั่นเอง
ขบวนรถม้าได้มุ่งตรงเข้าไปในเขตป่าชั้นนอกที่ลึกมากยิ่งขึ้น ป่าในบริเวณด้านในนั้นมีความผิดแปลกไปจากป่าส่วนด้านนอกเป็อย่างมาก ด้วยเพราะว่าต้นไม้ในเขตด้านในนี้เริ่มมีจำนวนที่เพิ่มขึ้นหลายเท่าและมีขนาดที่ใหญ่หลายคนโอบได้เลยทีเดียว อีกทั้งมีเครือเถาวัลย์น้อยใหญ่ที่ห้อยระโยงระยางค์ไปทั่วแสดงให้เห็นถึงว่าเขตป่าเทือกเขาเร้นลับอสูรนั้นมีความอุดมสมบูรณ์มากเพียงใด
'มีบางสิ่งอยู่ด้านหน้า เพิ่มการป้องกันระดับสุงสุด!!!' หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นผ่านกระเเสจิตให้ทั้งห้าคนได้รับรู้
'มีสิ่งใดเกิดขึ้นงั้นรึ?? ' ลู่ซีถามขึ้นมาด้วยความสงสัยเพราะตนนั้นยังไม่สามารถััสิ่งใดได้
''ตอนนี้พวกเราได้ถูกล้อมไปด้วยฝูงสัตว์อสูรเตรียมตัวให้พร้อม!!'' หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นอย่างไม่ทุกข์ร้อนใดใดทั้งสิ้น
''พวกมันเข้ามาถึงแล้วจัดการได้'' หนิงอ้ายประกาศก้องในทันที!!
สิ้นเสียงของเด็กหนุ่มนั้นกลุ่มสัตว์อสูรขนาดย่อมได้เข้าล้อมพวกเขาทั้งหกคนอย่างช้า ๆ เบื้องหน้าของพวกเขานั้นพบว่าเป็สัตว์อสูรที่มีนับสิบกว่าตัว มีลักษณะคล้ายคลึงกับวานรทั่วไปเพียงแต่ว่ามีขนาดที่ใหญ่กว่าสองถึงสามเท่าและมีสีดำสนิท จากข้อมูลที่เนตรแห่ง์บอกให้หนิงอ้ายได้รับรู้นั่นก็คือสัตว์อสูรเหล่านี้มีชื่อว่าอสูรวานรพันตะนิลกาฬที่มีความสามารถในการพลางตัวและเคลื่อนไหวที่ว่องไวดุจสายลมจนยากที่จะััได้โดยง่าย
"อสูรวานรพันตะนิลกาฬเช่นนั้นรึ?? " ชายชุดดำหัวหน้าองครักษ์เอ่ยขึ้นแม้ว่าพวกตนจะเคยรับมือกับสัตว์อสูรวานร เเต่ใช่ว่าจะมีจำนวนที่มากมายเช่นนี้ซึ่งต่อให้เขาเองที่เป็ผู้ฝึกตนระดับเทวะิญญาขั้นสูง แต่หากต้องรับมือในคราเดียวสามถึงสี่ตัวนั้นยังนับว่าตึงมืออยู่ไม่น้อยแม้อาจจะไม่เพลี่ยงพล้ำจนเกิดอันตรายถึงชีวิตก็ตามที
"อสูรวานรพันตะนิลกาฬสัตว์อสูรสายโจมตีสังกัดธาตุลม แม้ว่าระดับพลังิญญาจะด้อยไปบ้างแต่ถึงอย่างนั้นกระดูกิญญาย่อมสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลายยิ่งนัก..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นพร้อมกับยกยิ้มตรงมุมปากอย่างเ้าเล่ห์ ใบหน้างามนั้นจะถูกปลอมแปลงด้วยบทเวทย์ระดับเทวะแล้ว แต่สำหรับผู้ที่ลอบติดตามแอบดูอยู่ในเงามืดนั้นช่างเป็รอยยิ้มที่ชวนให้รู้สึกอยู่ในใจไม่น้อย...
