เจิ้งหยวนหิ้วตะกร้าอาหารเดินลงมายังห้องพักผู้ป่วยที่เจิ้งเทียนิรักษาตัวอยู่ เฝิงิเยว่เองก็อยู่ด้วย แต่เธอต้องรีบกลับไปทำงานที่กลุ่มเย็บปักหลังกินข้าวเสร็จ เธอบอกว่าต้องรีบคืนเงินค่าสินสอดของเจิ้งหยวนให้เร็วที่สุด จะพยายามหาเงินเพิ่มเท่าที่จะหาได้ แม้เจิ้งหยวนจะบอกว่าไม่เป็ไรก็ตามที
เจิ้งหยวนหยิบอาหารออกมาให้พวกเขาแล้วยื่นตะเกียบให้ ก่อนเอ่ยถามพี่สะใภ้ “สองวันนี้เจิ้งเทียนหู่มาหาพี่อีกไหม?”
เฝิงิเยว่รับตะเกียบไป สีหน้าดูไม่สู้ดีนัก “มาหา”
ครั้นได้ยินคำตอบ แววตาคนฟังพลันทอประกายปลาบ ่นี้เจิ้งหยวนถามเฝิงิเยว่แบบนี้ทุกครั้งเมื่อพบหน้ากัน เพราะตามแผนการที่วางไว้ก่อนหน้าคือต้องรอเจิ้งเทียนหู่มาหาถึงที่
ทว่าเจิ้งเทียนิกลับขมวดคิ้ว สายตาที่มองมายังเฝิงิเยว่ฉายชัดถึงความกังวล
เฝิงิเยว่เลียริมฝีปากแห้งผากของตนเอง เธอเหลือบมองสามีแล้วเอ่ยกับเจิ้งหยวนต่อ “เหมือนกับที่เธอบอกไว้ เขาได้ยินว่าเทียนิผ่าตัดเสร็จแล้วก็มาหาฉันด้วยความโมโห ฉันบอกเขาว่าต่อไปเทียนิยังต้องนอนโรงพยาบาลอีกนาน แถมยัง้าเงินมากมาซื้อยา”
เจิ้งหยวนพยักหน้ารับรู้ ทั้งหมดนี้เธอเป็คนวางแผนเอง คนอย่างเจิ้งเทียนหู่เพื่อเอาเปรียบพี่สะใภ้ถึงขั้นทำร้ายพี่ชายเธอจนขาเจ็บ ไม่มีทางวางมือง่ายๆ แน่นอน เจิ้งหยวนกลัวว่า เมื่อเขาขู่ครั้งแรกไม่บรรลุเป้าหมาย แล้วเจิ้งเทียนิยังฝืนหาค่าผ่าตัดมาได้ ซึ่งทำให้โอกาสสำเร็จในอนาคตของแผนชั่วเขาลดน้อยลง เขาจะเหมือนหมาจนตรอกที่กระเสือกกระสน ยอมทำทุกวิถีทางโดยไม่สนศีลธรรมเอา เลยให้เฝิงิเยว่อ่อนข้อขอความเห็นใจ เล่าอาการาเ็ของเจิ้งเทียนิให้เกินจริงจนเขาหลงละเลิงว่ายังมีโอกาส จะได้ไม่แตะต้องพี่สะใภ้เธอง่ายๆ
เฝิงิเยว่ว่าต่อ “ฉันขอให้เขาเห็นแก่ความเป็ครอบครัวเดียวกันให้ฉันยืมเงิน เขา.... เขาก็ยัง…” เธอก้มหน้า สีหน้าเก้อกระดากยามกล่าวถึงเื่ราวอันแสนเจ็บใจ “เขาก็พูดเื่นี้ขึ้นมาอีก…ฉันบอก... ฉันบอกว่าฉันจะลองพิจารณาดูอีกที”
ความจริงคำพูดของเจิ้งเทียนหู่ตอนนั้นระคายหูมาก เขาจ้องเธอด้วยแววตาหื่นกระหายและบอกว่า “ในเมื่อเป็ครอบครัวเดียวกัน พี่สะใภ้หลับนอนกับพี่ชายฉัน มานอนกับฉันก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ? อย่างไรเสีย ไอ้ตัวน้อยที่คลอดออกมาก็แซ่เจิ้งอยู่ดี อีกอย่างต่อไปถ้าขาเทียนิพิการ เขาจะบำรุงบำเรอเธอได้เหรอ! ฉันยังดีกว่าคนพิการนั่นตั้งเยอะ ไม่เหมือนกันหรอกนะ!”
น่าโมโหเสียจนเฝิงิเยว่แทบจะสาดผงพริกที่เจิ้งหยวนให้มาใส่หน้าเขา
“ไอ้สารเลว!” เจิ้งเทียนิโกรธจนตัวสั่น เขาเผลอตบหน้าขาตัวเองฉาดใหญ่ ไม่ระวังดันโดนแผลเข้าจนสูดปากเบาๆ ด้วยความเจ็บ พอดีขึ้นมาหน่อยถึงตะคอกใส่เจิ้งหยวนด้วยสีหน้าเจ็บแค้น “ดูแกสิ คิดอะไรไม่เข้าท่าเลย!”
“ความคิดฉันมันทำไม!” เจิ้งหยวนจ้องพี่ชายเธอ “หากไม่ทำแบบนี้ พี่สะใภ้อาจจะเจอแผนชั่วช้าของเจิ้งเทียนหู่เข้าไปแล้ว! พี่คิดจะให้พี่สะใภ้ฉันอยู่ในบ้านไม่ออกไปไหนตลอดจนขาพี่หายดีเลยหรือไง?”
แผนการของเจิ้งหยวนง่ายดายมาก คือทำให้เจิ้งเทียนหู่ตายใจก่อนแล้วค่อยซ้อนแผนตลบหลังจนเขาติดคุกเป็การดีที่สุด เช่นนี้พี่สะใภ้ใหญ่จะได้ไม่ต้องกังวลว่าเขามาตามเฝ้าตอแหย หรือกลัวเขาพูดจาลามปามอีก แต่เื่นี้จัดการยาก หากฟ้องร้องเขาข้อหาขืนใจ งั้นเขาขืนใจใครล่ะ? ต้องหาเหยื่อมาสักคนอยู่แล้ว ซึ่งพี่สะใภ้เธอทำไม่ได้ และเธอก็หาเด็กสาวบริสุทธิ์มารับเคราะห์ตามอำเภอใจไม่ได้เช่นกัน เดิมทีเธอคิดจะลงสนามเอง แล้วร้องให้คนในกองจับโจรมักมากในราคะ อย่างไรเสีย เธอก็แซ่เจิ้ง เจิ้งเทียนหู่คือลูกพี่ลูกน้องเธอ และไม่ได้มีอะไรกันจริงๆ ขอเพียงพิสูจน์ว่าเขามีความผิดฐานเจตนาทำมิดีมิร้าย ก็สามารถส่งเขาเข้าสถานีตำรวจได้ แต่พอมานึกดู ชื่อเสียงเธอตอนนี้ไม่ดีอยู่แล้ว เื่หลินเสี่ยวหยางก่อนหน้ายังไม่รู้ว่าจบไปแล้วหรือเปล่า การลงทุนใช้ตัวเองเป็นางเอกข่าวฉาวจึงไม่ใช่ความคิดที่เข้าท่านัก
ข้อหาข่มขืนตั้งยาก แต่ถ้าใช้มันสอนบทเรียนไม่มีวันลืมชั่วชีวิตให้แก่เจิ้งเทียนหู่คนสารเลวได้ ก็พอใจแล้ว
เจิ้งหยวนครุ่นคิด ก่อนเอ่ยกับเฝิงิเยว่ “เขาต้องมาหาพี่ในอีกสองวันแน่ พี่ก็นัดเวลา นัดสถานที่กับเขานะ” เธอหยุดคิดสักพัก “ฉันจำได้ว่าท้ายหมู่บ้านตรงตีนเขามีกระท่อมมุงหญ้าที่ถูกทิ้งร้างอยู่หลังหนึ่งใช่ไหม ที่ว่ากันว่าผีดุน่ะค่ะ?”
เจิ้งเทียนิหน้าดำทะมึนฉับพลัน เขาะโถามเจิ้งหยวนเสียงดุ “แกคิดจะทำอะไร!”
เฝิงิเยว่เริ่มเครียดเหมือนกัน เธอเอ่ยตะกุกตะกัก “หยะ... หยวนหยวน เธอจะทำอะไรงั้นเหรอ?”
เจิ้งหยวนยิ้มเยาะ ดวงตาแฝงนัยลึกล้ำ “พี่ พี่วางใจเถอะ ฉันไม่มีทางให้เ้าลูกเต่านั่นเอาเปรียบพี่สะใภ้ได้แม้แต่นิดเดียว ฉันจะให้บทเรียนไม่รู้ลืมแก่เขา”
กองหยางหลิวเรียกอีกอย่างว่าหมู่บ้านหยางหลิว มีูเาชื่อชิงซานอยู่ท้ายหมู่บ้าน บนเขามีก้อนหินเยอะ ดินน้อย ไม่มีต้นไม้อะไรขึ้น มีแต่วัชพืชขึ้นเป็หย่อมๆ ปกติพวกเด็กๆ ในหมู่บ้านมักจะไปตัดหญ้าเลี้ยงหมูกันที่นั่น แต่พอตกกลางคืนจะไม่มีใครเลย เนื่องจากพื้นที่แถวนั้นติดูเา ไม่สะดวกแก่การอยู่อาศัยและไม่เหมาะจะขุดบ่อน้ำ ใช้น้ำทีเลยต้องวิ่งไปตักเสียไกล จึงไม่มีผู้คนมาอาศัยแถวนี้ กระท่อมมุงหญ้าสร้างเสร็จตั้งนานแล้ว แต่เพราะไม่มีคนอยู่อาศัยด้วยเหตุผลดังกล่าว สภาพเลยโทรมอย่างยิ่ง แถมไม่กันฝน นอกจากนี้ ในบรรดาชาวบ้านยังมีเื่เล่าขานด้วยว่าที่นี่มีผี ซึ่งความจริงก็เพื่อขู่เด็กๆ ไม่ให้พวกเขาเข้าไปเล่นนั่นแหละ กอปรกับฮวงจุ้ยที่ไม่เป็มงคล ว่ากันว่าอัปมงคลไม่ใช่เพราะเคยมีคนตาย บ้านที่มีคนตายมีอยู่ถมเถ แต่ไม่ใช่ทุกหลังจะโดนตราหน้าว่าอัปมงคลสักหน่อย มันอัปมงคลเพราะคนที่ตายในนั้นโชคร้ายต่างหาก
ว่ากันว่าข้างในมีสะใภ้สาวหน้าตาสะสวยคนหนึ่งอาศัยอยู่ สะใภ้สาวเคยเป็อนุให้กับพ่อค้าร่ำรวย แต่หลังจากเกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่สามประการ [1] ฐานะของเธอกระอักกระอ่วนเลยโดนพ่อค้าไล่ออกจากบ้าน เธอไร้ที่ไป จึงกลับมายังบ้านเกิด สะใภ้สาวโดนผู้คนมองเป็กากเดนที่เหลืออยู่ของสังคมศักดินายุคเก่า คนในครอบครัวแทบจะขีดเส้นแบ่งกับเธอ หัวหน้าหมู่บ้านสมัยนั้นสงสาร เลยให้ที่อยู่กับเธอ ชีวิตแม่หม้ายมักดึงดูดความสนใจของผู้คนมากมาย สตรีหน้าตางดงามอย่างเธอก็ไม่ต่างกันนัก ไม่นานข่าวลือเลวร้ายเื่เธอกับผู้ชายหลายๆ คนก็แพร่สะพัดไปทั่ว บุรุษต่างอยากเธอ ส่วนสตรีกันเองกลับประณามด่าทอ จนสุดท้ายเธอน่าจะอยู่ต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ จึงใช้เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งมัดเป็เชือกยาว แขวนไว้บนคานแล้วผูกคอจบชีวิตตัวเอง
คนตายไปแล้ว แต่ผู้หญิงในหมู่บ้านกลับไม่เห็นใจเธอนัก บอกว่าเธอสมควรโดนแล้ว ส่วนผู้ชายบางคนแม้รู้สึกเสียดายอยู่บ้าง แต่ไม่มีใครกล้าปริปาก สรุปคือไม่มีใครอยากเกี่ยวข้องกับผู้หญิงคนนี้อีก
ตอนเจิ้งหยวนจำความได้สตรีคนนั้นก็ตายไปนานแล้ว เธอไม่เคยพบหน้า แต่เคยไปกระท่อมหลังนั้นมาก่อน ครานั้นเธอเป็เด็กสาวที่มีความอยากรู้อยากเห็นเต็มเปี่ยม และค้นพบว่าในบ้านไม่มีผีสางอะไร เหมือนเคยมีแค่สตรีคนหนึ่งอาศัยอยู่เท่านั้น เลยกลับบ้านไปถามคุณแม่ เฉินชุ่ยอวิ๋นไม่ได้บอกเธอเื่นี้ เธอตอนนั้นยังเด็กเกินไป ทว่าเธอแอบได้ยินเฉินชุ่ยอวิ๋นคุยกับเจิ้งเฉวียนกังทีหลัง น่าจะเกิดจากการที่เธอถามขึ้นมากะทันหัน
เฉินชุ่ยอวิ๋นบอกว่าเธอคนนั้นเป็ผู้หญิงน่าสงสาร เดิมถูกคนที่บ้านส่งให้ไปเป็อนุน้อยของพ่อค้ามั่งคั่ง ทั้งที่เธอหมั้นหมายไว้แล้วแถมยังมีว่าที่สามี แต่กลับเปลี่ยนใจครอบครัวไม่ได้ ชีวิตเลยพังไม่เป็ท่า
เจิ้งหยวนสมัยนั้นยังเคยคิดว่าเธอกับอนุน้อยช่างมีชะตากรรมอาภัพเหมือนกันจริงๆ โดนพ่อแม่ยกให้คนอื่นหมด เธอจึงเคยร้องไห้สะอึกสะอื้นเพื่ออนุผู้น่าสงสารอยู่ครั้งหนึ่ง
มานึกตอนนี้ ตัวเองวัยเด็กก็น่ารักโก๊ะๆ อยู่เหมือนกัน
เชิงอรรถ
[1] การเปลี่ยนแปลงใหญ่สามประการ หมายถึง การเปลี่ยนแปลงทางสังคมนิยมของการเกษตรกรรม หัตถกรรมและอุตสาหกรรมพาณิชย์ที่นำโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีนหลังก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนในปี 1953 นับแต่นั้นมาก็เป็ขั้นแรกของการเข้าสู่ลัทธิสังคมนิยม
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้