เล่มที่ 3 บทที่ 70
หมอเทวดาเห็นว่าจมูกของเขาหายดีอย่างสมบูรณ์บวกรวมกับได้ฟังคำสรรเสริญของมู่หรงฉิง เขาย่อมรู้สึกดีเป็อย่างมาก แม้กระทั่งความขุ่นเคืองในตอนแรกก็หายไปแล้ว "ฮึ่ม ถือว่าเ้าสายตาเฉียบแหลม"
เขาชอบฟังคนชมว่าจมูกของเขาโด่งเป็สันและหล่อเหลา
แม้เห็นว่าหมอเทวดาไม่ขุ่นเคืองแล้ว แต่มู่หรงฉิงยังมีอาการลังเลเล็กน้อย ก่อนจะหยิบสมุดสองเล่มออกจากแขนเสื้อ “ผู้น้อยใจร้อนจึงยืมสมุดบันทึกของผู้าุโมาดูเป็เวลาสองสามวัน วันนี้สมุดบันทึกได้กลับสู่เ้าของแล้ว ขอผู้าุโได้โปรดอย่าถือโทษโกรธกัน"
“สิ่งที่บันทึกไว้ในนี้คนธรรมดาทั่วไปนำไปใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ เ้าอ่านมันก็เปล่าประโยชน์” เปล่งเสียงฮึเบาๆ และหยิบสมุดบันทึกมาตรวจสอบเพื่อดูว่ามีการเปลี่ยนแปลงหรือมีความเสียหายใดๆ หรือไม่
“รักษาดีมาก ไม่ทำให้เปรอะเปื้อนและไม่ฉีกขาดด้วย” เขาเก็บมันอย่างพอใจ จากนั้นใช้มือพัด “วันนี้อากาศร้อนจริงๆ”
“ผู้น้อยมีข้อสงสัย ขอผู้าุโได้โปรดพิเคราะห์ให้ที” เมื่อเห็นพัดวางอยู่บนโต๊ะข้างๆ มู่หรงฉิงก็ก้าวเท้าไปข้างหน้าสองก้าว หยิบมันมาถือไว้ในมือจากนั้นโบกวีให้หมอเทวดาเบาๆ เพื่อระบายความร้อน
“ผู้หญิงจงหยวนช่างเข้าใจหัวอกของคนจริงๆ ถ้าเป็เ้าเด็กเป้ยหนิงคนนั้น บางทีในเวลานี้นางอาจจะพัดให้ตัวเองอย่างมีความสุขไปแล้วก็ได้” หมอเทวดาเพลิดเพลินกับการดูแลของมู่หรงฉิงพลางมองหน้าเด็กสาวด้วยความพึงพอใจ
"ผู้าุโ ในสมุดบันทึกที่เขียนเกี่ยวกับผลโยิว่า 'ครึ่งปี' สองคำนี้ หมายความว่าอย่างไรหรือ?”
“ผลโยิหรือ?” ดวงตาหมอเทวดาเบิกกว้าง “เ้าถามถึงสิ่งนั้นไปเพื่ออะไร?”
“พูดตามความเป็จริงโดยไม่ปิดบัง สามีของผู้น้อยประสบกับเหตุการณ์ไม่คาดคิด และตอนนี้สติปัญญาไม่เหลือ บางเวลาก็โง่งม บางเวลาก็คลุ้มคลั่ง ผู้น้อยเห็นว่าสิ่งที่บันทึกไว้ในสมุดบันทึกมีเนื้อความคล้ายกับสามีจึงถามถึงเื่นี้”
มู่หรงฉิงเคยคิดที่จะปกปิดและหลังจากไตร่ตรองซ้ำ ในเมื่อตอนนี้นางได้เจอกับหมอเทวดาแล้ว ทั้งดูจากสถานการณ์ จ้าวจื่อซินและหมอเทวดาก็เหมือนจะรู้จักกัน แม้ว่านางจะไม่ได้พูดอะไร แต่แค่หมอเทวดาเอ่ยปากถาม เขาก็จะได้ผลลัพธ์แล้ว
ฉะนั้นแทนที่จะปิดบัง คงเป็การดีกว่าถ้าพูดออกมาหมดหน้าตักเพื่อแสดงความจริงใจ
หลังจากได้ยินคำพูดของมู่หรงฉิง หนวดขาวของหมอเทวดาก็ขยับไหวเบาๆ โดยไม่รู้ว่าปากของเขากำลังพูดพึมพำถึงอะไรอยู่?
“ผู้าุโ?” มู่หรงฉิงอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ สีหน้าของหมอเทวดาแปลกพิกล เกิดอะไรขึ้นกับเขาหรือ?
หลังจากมู่หรงฉิงเรียกเขาอย่างต่อเนื่องอยู่หลายหน หมอเทวดาถึงได้เงยหน้าขึ้นมองมู่หรงฉิงด้วยแววตาซับซ้อน “ครึ่งปีนั้นหมายความว่า ถ้ากินยาแก้พิษจะตายในครึ่งปี”
“อะไรนะ?” มู่หรงฉิงเปล่งเสียงแสดงความใอย่างไม่อยากจะเชื่อ นางรู้สึกวิงเวียนศีรษะอยู่ครู่หนึ่ง ร่างกายของนางสั่นเทา มือของนางคล้ายไร้เรี่ยวแรงกะทันหันทำให้พัดตกจากมือ
“โธ่! สาวน้อย เ้าอย่าได้กังวล อย่าได้กังวล” เห็นมู่หรงฉิงกำลังจะล้มลงกับพื้น หมอเทวดาจึงเข้าไปพยุงนางด้วยความว่องไว ช่วยประคองนางพาไปนั่งลงบนเก้าอี้ ก่อนจะหยิบพัดบนพื้นขึ้นมาและโบกวีให้กับนาง "เ้าก็อย่าวิตกกังวลมากเกินไป นั่นเป็ผลลัพธ์จากการทดลองของข้า รอให้ข้าได้ค่อยๆ ทดลอง บางทีอาจจะมีทางออกที่ดีกว่านี้ก็เป็ไปได้"
เขาพูดพลางหันพัดกลับไปหาตัวเอง โบกพัดแรงๆ และในเวลาเดียวกันก็พูดพึมพำว่า "แต่ผลโยิสามารถกินได้ถึงห้าปี สามปีแรกก็ดีอยู่ แค่โง่งมและคลุ้มคลั่ง ทว่าั้แ่ปีที่สี่เป็ต้นไปร่างกายจะผอมแห้งลง ซ้ำร้ายจะเลิกกินผลไม้นั้นได้ยากขึ้นเรื่อยๆ พอถึงปีที่ห้าจะทำได้แค่เตรียมตัวสำหรับชีวิตในโลงศพเท่านั้น”
ถอนหายใจพร้อมกับครุ่นคิด เหตุใดในโลกจะต้องมีสิ่งนี้ด้วย? ให้ผู้คนได้ใช้ประโยชน์จากมัน ทำให้สามีภรรยาเขาต้องลำบากแล้ว "ดังนั้นถ้า้ารักษาจะต้องใช้เวลาภายในสี่ปีในการรักษา แต่ถ้าผ่านไปสี่ปี โอ้! ไม่นะ ผ่านไปสามปีครึ่ง อาการก็จะหนักจนไม่สามารถรักษาได้แล้ว อย่างน้อยสำหรับข้าคงอับจนหนทางเช่นกัน"
หลังจากนั้นเขาจึงเงยหน้าขึ้นมองมู่หรงฉิง “สามีของเ้ากินมาเป็เวลากี่ปีแล้ว? เ้าจะต้องให้เขาเลิกกินผลไม้นั่นภายในเวลาอันจำกัดนี้"
คำพูดของหมอเทวดาเป็สาเหตุให้มู่หรงฉิงรู้สึกหายใจไม่ออก หลังจากครู่ก่อนต้องประสบกับถ้อยคำที่ทำให้ใ นางรู้สึกว่ากำลังมีเือุดตันที่หน้าอกส่งผลให้ใบหน้าของนางเป็สีฟ้าสลับขาว
สามปีครึ่ง? สามปีครึ่ง
์เล่นตลกกับนางได้เก่งจริงๆ เฉินเทียนหยูประสบอุบัติเหตุเมื่อสามปีที่แล้ว และตอนนี้เป็เวลาหกเดือนสุดท้าย ถ้าลองกินยาเป็เวลาครึ่งปี เขาก็อาจจะตายได้ แต่ถ้ารอให้ผ่านไปครึ่งปี เขาจะต้องตายอย่างแน่นอน
ถึงอย่างไรก็มีแต่คำว่าตาย มันก็อยู่ระหว่างรอความตายกับการต่อสู้เพื่อชีวิต อย่างไรก็ดีไม่ว่าจะรอความตายหรือต่อสู้เพื่อชีวิต มันกลับเหลือเวลาเพียงครึ่งปีเท่านั้น
เฮ้อ... ์ เ้าให้ความหวังกับข้าก่อน จากนั้นกลับทำลายความหวังของข้าโดยปราศจากความปรานีกระนั้นหรือ? เ้ารู้ทั้งรู้ว่าในตอนนี้ข้าไม่สามารถอยู่ได้โดยปราศจากเฉินเทียนหยู เ้ารู้อยู่ว่าตอนนี้ข้า้าเขาเพื่อทำสิ่งต่างๆ ให้สำเร็จลุล่วง แต่เ้ากลับเล่นตลกกับข้า...
นางรู้สึกกลัดกลุ้ม แน่นหน้าอกคล้ายเืคั่งอยู่ในลำคอ เมื่อเห็นสีหน้าของเด็กสาวตรงหน้า หมอเทวดารู้ว่านั่นเป็สัญญาณของอาการขณะที่ความกระวนกระวายใจโจมตีเข้าที่หัวใจ จึงรีบยกมือขึ้นตบแผ่นหลังของนางพร้อมกับพยายามส่งกำลังภายในให้กับนาง "โธ่ๆ ข้าจะบอกว่า สาวน้อย เ้าอย่าเพิ่งวิตกกังวล ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าให้เวลาข้าก็จะได้แล้วไม่ใช่หรือ? เวลาสามปีย่อมเปลี่ยนอะไรหลายๆ อย่าง จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าข้าจะวิจัยวิธีที่ดีกว่านี้ออกมา"
ถ้าหมอเทวดาไม่เอ่ยปากก็คงไม่เป็ไร แต่ทันทีที่คำพูดนั้นหลุดออกมา มู่หรงฉิงจึงไม่อาจสะกดกลั้นเืที่ติดอยู่ในลำคอได้อีกต่อไป นางอาเจียนออกมาดัง ‘โอ้ก’
เห็นว่ามู่หรงฉิงอาเจียนออกมาเป็เื หมอเทวดาพลอยรับรู้ถึงความสำคัญของเื่นี้ขึ้นมาทันใด เขาลอบพึมพำในใจ ดูท่าเด็กสาวคนนี้คงรักท่านพี่ของนางจริงๆ คิดไม่ถึงว่านางจะวิตกกังวลมาก นางเป็คนให้ความสำคัญกับความรู้สึกผูกพันและเป็คนชอบธรรม ชายชราชอบคนเช่นนาง เด็กสาวคนนี้ทำให้คนชื่นชอบเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จริงๆ
เพียงแต่ทำไมถึงรู้สึกคุ้นหน้าเหลือเกิน? เขาเคยเจอที่ไหนมาก่อนหรือไม่?
ระหว่างที่นึกสงสัยในใจ เขาเห็นพลังปราณและเืของมู่หรงฉิงสงบนิ่งแล้ว จึงไม่ได้คิดถึงเื่นั้นอีกต่อไป นอกจากส่งกำลังภายในให้กับนางอีกหน "สาวน้อย เ้าอย่าวิตกกังวล พวกเราต้องค่อยเป็ค่อยไป..."
“ค่อยเป็ค่อยไปไม่ได้แล้ว...” มู่หรงฉิงยิ้มเศร้าๆ พลางเอ่ยขัดคำพูดของหมอเทวดา “ผ่านไปสามปีแล้ว... และเหลือเวลาอีกเพียงครึ่งปีเท่านั้น...”
"อ๊ะ?"
หมอเทวดาตกตะลึง นานถึงเพียงนั้นเชียวหรือ? ไม่แปลกใจเลยที่นางจะวิตกจนความกังวลโจมตีเข้าที่หัวใจ...
อาการที่มีความกังวลโจมตีหัวใจจะทำให้รู้สึกเหมือนมีความร้อนไหลพวยพุ่งวูบวาบ หมอเทวดาเห็นว่าอีกฝ่ายจะอาเจียนออกมาเป็เือีกหนหนึ่ง จึงรีบหยิบขวดหนึ่งและเทยาเม็ดสีขาวออกมา
เม็ดยาสีขาวหยกตกลงมาบนฝ่ามือขาวซีดผิดปกติของหมอเทวดา คิดไม่ถึงว่าเทียบกันแล้วมันแทบจะเป็สีเดียวกับฝ่ามือ
ครั้นเห็นสีหน้าของมู่หรงฉิงแย่ลง หมอเทวดาจึงลืมไปว่าตนไม่ได้สวมถุงมือ เขาประคองนางไว้และ ป้อนยาให้กับนาง “โธ่! ในเมื่อเื่ราวก็เป็เช่นนี้แล้ว เราก็ต้องมาลองดูกัน มันไม่มีอะไรที่แน่นอน เพราะท้ายที่สุดแล้ว นั่นไม่ใช่การทดลองโดยมนุษย์ สุนัขตัวนั้นเ็ปหรือรู้สึกสบายตัว มันก็ไม่บอกข้า แม้ว่าข้าจะเข้าใจและคุ้นเคยกับอุปนิสัยของสุนัข แต่ในประเด็นที่สำคัญข้าก็ยังกังขาเช่นกัน"
ระหว่างสาธยายเขายังคงส่งกำลังภายในให้กับนางเพื่อสงบเืและพลังงานของนาง "ถึงอย่างไรก็เหลือเวลาอีกเพียงครึ่งปี แทนที่จะรอให้ตายอย่างโง่งมคงเป็การดีกว่าถ้าจะต่อสู้เพื่อชีวิต ปาฏิหาริย์มักจะเกิดแค่ภายในเวลาชั่วครู่เดียวเท่านั้น"
“หลังจากกินหญ้าชิงโยวแล้วจะมีอาการเ็ปบ้างหรือไม่?” หลังจากนางไม่รู้สึกอึดอัดบริเวณหน้าอกจนหายใจไม่ออกอีกต่อไป มู่หรงฉิงที่ยังมีท่าทีอ่อนแอถึงได้ถามหมอเทวดา
นางฉุกนึกขึ้นได้ว่ายาเทพขี้เมาทำให้เฉินเทียนหยูเ็ปเป็เวลานานซึ่งนั่นเป็สาเหตุให้นางรู้สึกแย่ในใจ ถ้ากินหญ้าชิงโยวแล้วส่งผลให้ร่างกายต้องเ็ปอย่างสุดจะทนไหว นางก็ไม่รู้จริงๆ ว่านางจะให้เฉินเทียนหยูพยายามได้หรือไม่?
"แน่นอนว่าจะต้องเจ็บโดยธรรมชาติ" หมอเทวดาไม่ปิดบังแต่อย่างใด หากอยากจะลองจริงๆ เขาย่อมต้องชี้แจงปัจจัยที่เป็ไปได้ทั้งหมดถึงจะถูก ไม่เช่นนั้นเมื่อถึงเวลาและได้เห็นอาการเ็ปจนเกิดใจอ่อนขึ้นมาแล้วหยุดกลางคัน จะไม่ถือว่าเหลืออีกแค่เล็กน้อยก็จะประสบความสำเร็จแล้วหรือ “ความเ็ปนั้นเหมือนลูกศรพันดอกจ้วงแทงที่หัวใจ เป็ความเ็ปที่ทำให้คนอยากจะล้วงเอาหัวใจออกมา ถึงเวลานั้นจะต้องมัดมือและเท้าของเขา และยังต้องปิดปากของเขาไว้เพื่อป้องกันไม่ให้เขาเ็ปจนเผลอไปกัดลิ้นของตนเอง”
คิดไม่ถึงว่าจะรุนแรงถึงเพียงนั้น?
แค่ฟังมู่หรงฉิงก็คิดอยากจะล่าถอย ทว่าหากนางไม่ลอง เฉินเทียนหยูคงได้แต่รอความตายเท่านั้น ถึงกระนั้นขณะที่เขาเฝ้ารอความตาย รูปร่างของเขาย่อมผอมบางลงเรื่อยๆ ในท้ายที่สุดก็กลายเป็โครงกระดูก แต่ถ้าทดลองใช้ยา ตามคำกล่าวของหมอเทวดามีเพียงหนึ่งในสิบเท่านั้นที่จะสามารถรับรองได้ ซ้ำร้ายยังต้องทนทุกข์ทรมานจากความเ็ปอย่างสาหัสด้วย
ชั่วครู่นั้นมู่หรงฉิงจึงเกิดความลังเลในใจ ไม่ว่าจะอย่างไรก็มีแต่คำว่าตาย การรอความตายเป็สถานการณ์ที่ไม่รู้ตัว และหากวิธีนั้นไม่สำเร็จ เขาจะต้องอดทนต่อความเ็ปแสนสาหัสโดยเปล่าประโยชน์
หมอเทวดาเข้าใจเหตุผลในความลังเลของมู่หรงฉิงโดยธรรมชาติ เขาถอนหายใจเบาๆ "เื่นี้ไม่มีความบังเอิญในบังเอิญ ถ้าสุนัขของข้าตายด้วยสาเหตุอื่นไม่ใช่เพราะกินผลโยิล่ะ?"
“แต่ว่าผู้าุโก็ยังคิดว่ามันเกี่ยวข้องกับผลโยิด้วยไม่ใช่หรือ?” เด็กสาวค่อยๆ ลุกขึ้นอย่างช้าๆ รอยยิ้มบนใบหน้ามีเพียงความขมขื่น นางทรุดตัวลงแทบเท้าของหมอเทวดา
มู่หรงฉิงคุกเข่าลงต่อหน้าหมอเทวดา นั่นทำให้เขางุนงง "สาวน้อย ขาของเ้าไม่มีแรงหรือ?"
“ผู้น้อยมีเื่จะขอร้อง ขอท่านผู้าุโได้โปรดตอบรับด้วยเถอะ” โขกศีรษะเต็มแรงและเมื่อเงยหน้าขึ้น ดวงตาของนางก็เปี่ยมไปด้วยความแน่วแน่
“คุกเข่าก็แล้ว โขกศีรษะก็แล้ว หากเ้ามีเื่อะไร ลุกขึ้นมาแล้วค่อยพูดเถอะ” ชายชราลอบถอนหายใจพลางส่ายศีรษะ ก่อนยื่นมือออกไปช่วยประคองมู่หรงฉิงให้ลุกขึ้นยืน
ขณะที่ฝ่ามือของหมอเทวดาััมู่หรงฉิง นางรู้สึกเพียงว่ามีความเย็นเยียบแล่นวาบเข้าสู่ร่างกายของนาง ในวันที่อากาศร้อนคิดไม่ถึงว่าร่างกายของหมอเทวดาจะเย็นะเืราวกับน้ำแข็ง
ออกอาการสั่นโดยไม่ทราบสาเหตุชั่วขณะหนึ่ง แต่ในจังหวะนั้นเองหมอเทวดากลับร้องะโและรีบผละมือของมู่หรงฉิงออกห่าง "โธ่! โธ่! ข้าลืมสวมถุงมือ จบแล้ว! จบแล้ว! ในเวลานี้เ้าจะต้องตายเป็แน่"
การร้องะโของหมอเทวดาส่งผลให้มู่หรงฉิงรู้สึกงุนงง แต่เมื่อปี้เอ๋อร์และคนอื่นๆ ที่รออยู่ด้านนอกประตูด้วยความวิตกกังวล ได้ยินเสียงะโอย่างตื่นตระหนกของหมอเทวดา พวกนางก็รีบก้าวไปข้างหน้าและ้าเปิดประตูห้อง
“ใครก็ตาม อย่าเข้ามา ถ้าเข้ามา ข้าจะฆ่านาง”
หมอเทวดาทะลึ่งตัวลุกขึ้นด้วยความขุ่นเคือง เขาแผดเสียงคำรามไปที่ประตู ด้วยเสียงคำรามนั้นเป็สาเหตุให้หลายคนที่อยู่ตรงหน้าประตูไม่กล้าที่จะย่างเท้าก้าวไปข้างหน้า
“ตาเฒ่ากำลังเล่นกลอะไรอยู่หรือ? ถ้านางเป็อะไรขึ้นมา ข้าจะทำลายรังของเ้าให้สิ้นซาก จากนั้นจะถลกผิวของเ้าไปทำเป็กลอง ใช้กระดูกของเ้าเป็ไม้ตีกลอง และเอาเส้นเอ็นของเ้าทำเป็แส้...”
“ทำลายเ้าน่ะสิ มันเป็อุบัติเหตุที่ไม่คาดคิด” ก่อนที่จ้าวจื่อซินจะพูดจบ หมอเทวดาก็ะโสบถกลับไปว่า “เ้าคนไม่เอาไหน ให้เ้าติดตามข้า เ้าก็ไม่ทำแต่กลับติดตามผู้หญิงบอบบางและอ่อนแอที่แต่งงานแล้ว ข้าจะบอกพ่อของเ้า ดูสิว่าเขาจะจัดการกับเ้าอย่างไร เ้าเด็กเวร"
คำด่าของหมอเทวดาทำให้ใบหน้าของจ้าวจื่อซินซีดเผือดและเป็ใบ้พูดไม่ออกในชั่วพริบตา
ติดตามผู้หญิงที่แต่งงานแล้วหมายความว่าอย่างไรหรือ? ผู้หญิงคนนั้นกับเฉินเทียนหยูแค่กราบไหว้ฟ้าดินในพิธีแต่งงานเท่านั้น นางจะต้องเป็ของเฉินเทียนหยูแล้วกระนั้นหรือ?
จ้าวจื่อซินเปล่งเสียงฮึอย่างเ็า ก่อนหันหลังและจากไปพร้อมใบหน้าสีซีด ชิงยวี่ถึงกับรู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นว่าจ้าวจื่อซินเป็ผู้พ่ายแพ้
แปลกพิกลนัก ถ้าเป็เมื่อก่อนยามที่หมอเทวดาอาจหาญด่าเ้านายละก็ เ้านายคงจะเริ่มใช้กำลังโดยไม่พูดอะไรสักคำ จวบจนกระทั่งหมอเทวดาถูกทุบตีจนลงไปนอนกองกับพื้นแล้วถึงจะหยุด แต่ทำไมจู่ๆ เ้านายถึงจากไป? มันแปลกเกินไปแล้วใช่หรือไม่?
ชิงยวี่รีบตามไปและตามจ้าวจื่อซินเข้าไปในเรือน เขาไม่ทราบสาเหตุของเื่แต่เขากลับรู้สึกสับสนมากขึ้นเรื่อยๆ กับคำถามที่จ้าวจื่อซินถามขึ้น
"กราบไหว้ฟ้าดินในพิธีแต่งงานกับเฉินเทียนหยู ไม่ได้หมายความว่านางเป็คนของเฉินเทียนหยูใช่หรือไม่?"
ชิงยวี่อึ้งงันกับคำถามไปชั่วครู่หนึ่ง หลังจากครุ่นคิดหนึ่งตลบ เขาก็ตกตะลึง “เ้านาย หลังจากกราบไหว้ฟ้าดินในพิธีแต่งงานด้วยกันย่อมกลายเป็สามีภรรยากันแล้ว และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้”
ชิงยวี่รู้สึกว่าคำตอบนั้นจะต้องได้รับการยอมรับจากเ้านายที่ไม่สนใจขนบธรรมเนียมประเพณีในสังคม ไม่เช่นนั้นหากเ้านายเกิดงี่เง่าขึ้นมา ...โอ้ ไม่นะ ...ถ้าเขาเอาแต่ใจตัวเอง นั่นเป็สิ่งที่คนสุดจะทน
"คนโง่งมเช่นเฉินเทียนหยูจะปกป้องนางได้อย่างไรกัน? เดิมทีนางเป็ภาระที่ไร้ประโยชน์ มิหนำซ้ำ นางยังก่อเื่ตลอดทั้งวัน สมองของนางมีความคิดแปลกๆ มากมาย ถ้าคนโง่สามารถปกป้องนางได้ก็ต้องเป็ิญญาอย่างแน่นอน" จ้าวจื่อซินเปล่งเสียงฮึก่อนเดินเข้าไปในห้องคล้ายไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร?
ชิงยวี่ยืนเงียบๆ อยู่ที่เดิม จ้องมองไปยังทิศทางที่จ้าวจื่อซินกำลังเดินจากไปอย่างลังเล ปากของเขาพูดพึมพำ "ฮูหยิน คำทำนายของท่านจะไม่เป็ความจริงใช่หรือไม่? ข้าสามารถติดตามเ้านายไปฆ่าคน ข้าสามารถติดตามเ้านายไปต่อสู้ได้ แต่ถ้าจะให้ข้าติดตามเ้านายไปฉกชิงภรรยาของคนอื่น ข้าทำไม่ได้จริงๆ สิ่งที่ท่านพูด เหตุใดสิ่งที่ดีถึงไม่แม่นยำ แต่สิ่งที่ไม่ดีกลับแม่นยำเสมอ?”
ชิงยวี่หวังแค่ว่ามันจะเป็ความกังวลอันไร้สาระเท่านั้น เมื่อนึกถึงเ้านายของเขาที่รู้แค่วิชาดาบและเป็คนแปลกประหลาดที่ไม่รู้จักว่าความรักคือสิ่งใด อีกฝ่ายจะเปลี่ยนไปเพราะฮูหยินน้อยได้อย่างไร?
คิดได้ดังนั้น ชิงยวี่ก็รู้สึกโล่งใจ ดูเหมือนว่าเขาจะคิดมากไปเองจริงๆ