ระหว่างทางกลับบ้าน ลั่วชีเหนียงเอามือกุมจี้ตรงหน้าอกและเดินเหม่อลอยอยู่ด้านหลัง
นับั้แ่ลั่วจิ่งไหลถูกลั่วจิ่งซีอุ้มก็ไม่ได้ลงจากอ้อมแขนอีก เพียงแต่ทั้งสองไม่เคยใกล้ชิดกันเช่นนี้มาก่อน ย่อมล้วนไม่กล้าพูดคุยกันอีกทั้งยังอยากถามมารดาด้วยว่าต้องทำอย่างไรต่อดี แต่พอเห็นใบหน้าของนางโศกเศร้า จึงไม่กล้าออกปากถาม
บวกกับลั่วจิ่งซีรู้สึกว่าในเมื่อได้รับไหว้วานให้ดูลั่วจิ่งไหล เขาก็ต้องรับผิดชอบให้ถึงที่สุด ด้วยเหตุนี้จึงอุ้มลั่วจิ่งไหลไว้ตลอดทางกลับบ้าน ถึงจะเริ่มเมื่อยแขนแต่ก็ยังฝืนทนต่อไป
ลั่วชีเหนียงและลูกเพิ่งจากไป เ้าทึ่มจ้าวก็ถูกคนสกุลจ้าวลากตัวกลับไป
แม้จะบอกว่าลาก อันที่จริงจ้าวเหลยเพียงแค่กึ่งลากกึ่งวิงวอนให้เ้าทึ่มจ้าวตามพวกเขากลับบ้านเท่านั้น แม้จ้าวจือชิงจะดูไม่ค่อยยินยอมนักตาม
มิเช่นนั้นตอนนี้ เ้าทึ่มจ้าวคงตามลั่วชีเหนียงไปด้วยแล้ว
......
จ้าวเหลยมองดูลูกชายซื่อบื้อที่นั่งกินหมี่แห้งกับหมั่นโถวหน้าประตูบ้านและทั้งยังอยู่ไกลจากภรรยาตน
“ต้องโทษเ้า! ตอนนั้นใต้เท้าจี้บอกไว้ว่าอย่าให้เ้าทึ่มไปโผล่บ้านสกุลลั่ว เหตุใดเ้าจึงไม่เฝ้าเขาไว้?” จ้าวเหลยสูดหายใจลึก หากมิใช่เพราะไปดูความครึกครื้น เขาคงไม่เห็นว่าเ้าลูกชายตัวดีแอบไปหาลั่วชีเหนียงอีกแล้ว
เมื่อถูกสามีพร่ำบ่น หลี่ชุนฮัวก็เบะปากอย่างไม่พอใจ “เรี่ยวแรงอย่างเขา ใช่ว่าเ้าไม่รู้ เขาอยากไปไหน ข้ามีหรือจะห้ามอยู่”
หลี่ชุนฮัวมิได้้าให้เ้าทึ่มจ้าวออกไป เพราะมีลูกชายเป็คนทึ่มเช่นนี้ ทำให้เวลาตนออกบ้านก็มักจะต้องก้มศีรษะเพราะคำติฉินนินทาจากผู้คน กระทั่งลูกชายคนเล็ก จ้าวจือจุ่น ก็ต้องถูกสหายเยาะเย้ย
หากไม่ใช่เพราะเ้าทึ่ม ทำให้ในบ้านมีรายได้เข้ามามากขึ้นและเลี่ยงการจ่ายภาษีได้ นางเองก็ไม่้าให้จ้าวจือชิงอยู่บ้านด้วยซ้ำ ทุกครั้งที่เห็นจ้าวจือชิง นางจำต้องฝันร้ายทุกครั้งไป อีกทั้งเ้าทึ่มจ้าวเองก็เป็ตัวมหันภัยที่ชอบสร้างเื่
“ห้ามไม่ไหวก็ต้องห้าม ห้าปีก่อนใต้เท้าจี้บอกไว้อย่างไร เ้าลืมแล้วหรือ?”
หลี่ชุนฮัวคิดอะไร จ้าวเหลยใช้หัวนิ้วเท้าก็คิดได้! จี้ฉงเหวินเป็คนเช่นไร ค่ำคืนฝนตกเมื่อห้าปีที่แล้ว จี้ฉงเหวินจับเ้าทึ่มจ้าวมาที่บ้านของตน ความชั่วร้ายบนใบหน้า จนถึงตอนนี้เขาแค่คิดถึงก็ยังหวาดกลัว
“หลายปีมาแล้ว เขาไม่เคยกลับมา เราทำอะไรยังต้องกลัวเขาทำไม” หลี่ชุนฮัวบ่นอย่างไม่พอใจ
“จี้ฉงเหวินตอนนี้เป็ขุนนางในเมืองหลวง! หรือเ้าอยากให้จือจุ่นเป็แค่บัณฑิตยากจนไปชั่วชีวิต?”
เมื่อเอ่ยถึงจ้าวจือจุ่น หลี่ชุนฮัวก็มองจ้าวจือชิงด้วยแววตาเคียดแค้น
ลูกชายคนเล็กห้าปีก่อนก็เข้าร่วมสอบเคอจวี่ [1] และเพราะจ้าวจือชิงล่วงเกินจี้ฉงเหวิน จี้ฉงเหวินคนนั้นไม่รู้ใช้วิธีใด วันต่อมา สถานศึกษาส่งสาส์นมา บอกว่าอาจารย์ไม่ยินยอมให้จ้าวจือจุ่นเข้าสอบและให้เขารอไปอีกห้าปี!
จ้าวจือจุ่นที่สามารถสอบซิ่วฉาย [2] ั้แ่ห้าปีก่อนจึงต้องล่าช้ามาจนถึงตอนนี้
“เหตุใดตอนนั้นเขาไม่ตายในสนามรบให้สิ้นเื่!”
หลี่ชุนฮัวด่าอย่างใจร้าย แววตาที่จดจ้องจ้าวจือชิงดุจดั่งอสรพิษ ช้าเร็วนางจะต้องถีบหัวส่งเ้าคนขวางหูขวางตาออกจากบ้านให้ได้
จ้าวจือชิงนั้นได้ยินทุกสิ่ง หลายปีมานี้เขาเคยชินแล้วที่คนอื่นบอกว่าเขาคือเ้าทึ่ม หากแต่เขามองทุกสิ่งได้กระจ่างกว่าผู้ใด
เขาเพียงแค่ตอบสนองช้าหน่อย แต่ไม่ได้แปลว่าเขาไม่รู้เื่
‘จ๋อม’ เสียงดัง จ้าวจือชิงเดินไปหน้าประตูและหยิบขันน้ำตักน้ำในโอ่งมาดื่ม จนหลี่ชุนฮัวที่หลบอยู่ด้านหลังสะดุ้ง
เมื่อครู่นางมองเห็นสายตาเ็าของเ้าทึ่ม หรือว่าเขาอ่านความคิดของตนออก?
เชอะ! รู้แล้วอย่างไร นางคือแม่ของเขา แม้ว่าจะให้เขาตายในสนามรบก็นับว่าเป็การเรียกคืนบุญคุณจากเขา เพราะถึงอย่างไร คนทึ่มอย่างเขาอยู่บนโลกนี้ก็เป็ภาระ วันหน้าคงเลี่ยงไม่ได้ต้องเป็ตัวถ่วงให้จือจุ่น
เมื่อเห็นหลี่ชุนฮัวที่ใจนตัวสั่นไม่กล้าแม้แต่จะสบตาเขา จ้าวจือชิงก็ส่งเสียงหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนจะเดินออกไปข้างนอก
จ้าวเหลยใช้แขนสะกิดให้หลี่ชุนฮัวไปขวางไว้ แต่นางมองเงาด้านหลังที่น่าหวาดหวั่น จึงไม่กล้าแม้แต่จะปริปากเอ่ยขึ้นมา
เมื่อเห็นสายตาตำหนิของจ้าวเหลย นางคิดอย่างโมโห เ้าเก่งจริงเหตุใดไม่ห้ามเอง
......
จ้าวจือชิงขึ้นเขาเหมือนเช่นเคย นับั้แ่รับรู้ถึงการปฏิบัติตัวจากครอบครัว เขาจึงสร้างกระท่อมบนเขาขึ้นเอง ยามปกติหากไม่มีอะไรก็จะขลุกอยู่ที่นี่
ที่มุมของกระท่อมมีไข่นกวางไว้ไม่กี่ใบ นี่คือไข่ที่เขาล้วงมาจากรังนกเมื่อไม่กี่วันก่อน เดิมทีอยากให้ลั่วชีเหนียง หากแต่เขาดันลืม
เมื่อคิดได้เขาก็หยิบไข่นกออกจากกระท่อม
......
ทางด้านลั่วชีเหนียงที่กลับบ้านกำลังสะกดให้ตนเองรวบรวมจิตใจ
ตอนนี้มีเบาะแสต้นกำเนิดของร่างเดิมแล้ว แม้ว่านางจะช่วยร่างเดิมหาพ่อแม่แท้ๆ ไม่ได้ แต่ขอเพียงนางเลี้ยงดูลูกชายของนางให้ดี ก็นับว่าไม่ผิดต่อลั่วชีเหนียงแล้ว รอวันใดมีแรงค่อยช่วยนางสั่งสอนชายสารเลว เมื่อนั้นลั่วชีเหนียงก็คงจากไปได้อย่างสงบ
นางมองดูเกาลัด ซานจากับชาป่าที่ตนเองเด็ดมาและทิ้งไว้ตรงมุมห้อง แล้วหันไปมองดูห้องตะวันออกที่ยังคงปิดสนิทและเงาศีรษะกลมดำสองคนที่ชะเง้อมาจากห้องโถง
ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาครุ่นคิด เด็กสามคนนี้ต่างหากคือเื่สำคัญที่สุด
นางกลับเข้าโรงครัวอย่างว่องไวและทำอาหารค่ำอย่างเรียบง่าย รอเด็กๆ ทานข้าวเรียบร้อย นางถึงมีเวลาว่างมาจัดการกับเกาลัด
ณ ห้องตะวันออก ลั่วจิ่งเฉินฟังลั่วจิ่งซีบอกเล่าเื่ในวันนี้
“พี่ใหญ่ ท่านว่าตอนนี้นางจะรู้สึกแย่หรือไม่? หากข้ารู้ว่าตนเองไม่ใช่ลูกแท้ๆ อย่างน้อยก็คงต้องร้องไห้ฟูมฟาย ท่านว่าปกตินางชอบร้องไห้เพียงนี้ เหตุใดตอนนี้จึงไม่ร้อง?”
“ท่านไม่เห็นตอนที่นางกลับมา เหมือนกับว่าเพิ่งเสียพ่อแม่ไป แล้วยังบอกว่าจะทำของอร่อยให้พวกข้า ตอนนี้เห็นแค่ควันไฟโขมง แต่ยังไม่เห็นมีอะไรเลย”
ลั่วจิ่งซีพูดพล่ามไป โดยไม่สังเกตเห็นความผิดปกติของลั่วจิ่งเฉิน
ลั่วจิ่งเฉินที่ไม่ได้ออกไปทานอะไรมาสองวันเริ่มปากซีดเซียว เขานั่งตรงโต๊ะโดยไม่มีเรี่ยวแรง ส่วนลั่วจิ่งซีกลับเอาแต่คร่ำครวญพูดไม่หยุดปาก โดยไม่ได้นึกถึงว่าหลายวันนี้ลั่วจิ่งเฉินไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย
จวบจนกลิ่นหอมของอาหารลอยมากับอากาศ ท้องที่ไม่เอาไหนของลั่วจิ่งเฉินก็ส่งเสียงร้องโครกคราก
เขามองลั่วจิ่งซีอย่างเขินอาย แต่กลับพบว่าเด็กคนนี้วิ่งตรงออกไป ปากยังคงพึมพำ “นี่ของอร่อยอะไรกัน? เหตุใดรสชาติหอมหวานเช่นนี้?”
......
ไหลไหลน้อยเพิ่งกินเกาลัดคั่วน้ำตาลไป พอเห็นลั่วจิ่งซีก็รีบเอาของหลบไปด้านหลัง
“เ้าตัวดี! เ้าลืมแล้วหรือว่าใครอุ้มเ้ากลับมา? ไม่มีน้ำใจ!”
“ไม่ใช่สักหน่อย!” ไหลไหลน้อยปากเบะโต้ตอบ “ท่านแม่บอกว่า ให้เอาของสิ่งนี้ไปให้พี่ใหญ่ชิม!”
ขณะพูดก็เดินไปทางประตูห้องตะวันออก เมื่อเดินไปถึงประตูห้องที่เปิดอยู่และเห็นเงาร่างผอมบางที่นั่งอยู่ด้านใน เขากลับหวั่นกลัวและหยุดชะงักฝีเท้า
ลั่วจิ่งซีเห็นว่ามีเื่สนุกให้ดูก็ยืนพิงกำแพง “ดูเ้าคนขี้ขลาดตัวน้อยสิ ไม่กล้าเข้าแม้กระทั่งห้องหับในบ้านตัวเอง”
ลั่วจิ่งไหลที่ถูกหัวเราะเยาะจ้องเขาถมึงทึง ขณะที่เขารวบรวมความกล้าจะเข้าไป จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงท้องร้องโครกคราก
เอ๋ ไม่ใช่ของตนเอง ไม่ใช่ของลั่วจิ่งซีด้วย หรือว่า?
ลั่วจิ่งไหลเงยหน้าขึ้นแล้วมองเข้าไปในห้อง ด้วยความไม่แน่ใจ
-----
[1] เคอจวี่ (科举) คือ การสอบเข้ารับราชการของจีนมีด้วยกันสามรอบ คือ รอบแรก ซิ่วฉาย (秀才) เป็การสอบระดับท้องถิ่น, รอบที่สอง จวี่เหริน (举人) เป็การสอบระดับภูมิภาค, รอบที่สาม จิ้นซื่อ (进士) เป็การสอบคัดเลือกหน้าพระที่นั่ง โดยจะมีจักรพรรดิเป็ผู้ทดสอบเอง
[2] ซิ่วฉาย (秀才) คือ การสอบในระดับภูมิภาค เมื่อสอบผ่านจะได้รับสิทธิพิเศษทางสังคม เช่น ได้รับการยกเว้นจากการถูกเกณฑ์ไปใช้แรงงาน ได้รับสิทธิในการเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวก และจำกัดการลงโทษทางกาย มีสอบปีละครั้ง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้