อวิ๋นอี้กลับไปที่จวน เป็เวลาอาหารพอดี พ่อบ้านทักทายนางด้วยใบหน้าประจบสอพลอ พานางเดินไปที่ห้องโถงใหญ่และรายงานกับนางว่า "ฝ่าามิกลับมาทานอาหารกลางวันพ่ะย่ะค่ะ บอกว่านัดคุยงานกับเหล่าใต้เท้า ฝ่าายังกล่าวอีกว่า หากพระชายาอยากจะไปหาเขา สามารถไปที่จวนองค์ชายเก้า พวกเขาอยู่ที่นั่นกันทั้งวันพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าจะไปหาเขาด้วยเหตุใดกัน?” อวิ๋นอี้ไม่เข้าใจ พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ในเมื่อเขายุ่งอยู่ ก็ยุ่งไปสิ เขามาเกาะติดข้าทั้งวัน หากไทเฮาทรงรู้เข้า นางจะสวมหมวกใหญ่ให้ข้าได้”
พ่อบ้านพยักหน้าและโค้งคำนับ
“พระชายาของพวกเ้า เพิ่งจะออกมาจากสำนักซืออี๋นะ ข้ามิอยากกลับเข้าไปอีกเร็วๆ นี้แน่”
“พ่ะย่ะค่ะ” พ่อบ้านทำได้เพียงตอบรับตามไป “พระชายาพูดถูกพ่ะย่ะค่ะ อาหารพร้อมแล้ว เชิญนั่งเถิดพ่ะย่ะค่ะ"
อวิ๋นอี้ทานข้าวคนเดียวไม่ชิน คิดว่าน่าเบื่อ นางจึงให้คนไปเรียกเสี่ยวมู่อวี่มา เด็กน้อยนั่งลงและทานอาหารพลางพูดคุยกับนาง
อาหารในจวนนั้นดี มีของให้ทานดื่มตลอดทั้งวัน เสี่ยวมู่อวี่หน้ากลมขึ้นมาก
อวิ๋นอี้พูดติดตลกว่าเขาอ้วนจะเป็ลูกโป่งแล้ว เด็กน้อยทำหน้ามุ่ย "อ้วนแล้วกระไรพ่ะย่ะค่ะ? ข้าทานเนื้อของท่านหรือ คดน่องไก่ของท่านหรือไร? เมื่อวานองค์ชายมาหาข้า ยังชมว่าข้าน่ารักอยู่เลย!"
“ไอโย่ว! เ้าได้ท่อนขาใหม่แล้ว จะทิ้งแม่แย่ๆ ผู้นี้ไปแล้วใช่หรือไม่?” นางหยิกแก้มเล็กๆ ของเขาและดึงแรงๆ “เ้าเด็กไร้สติ! อย่าลืมนะว่า ฝ่าาเป็บุรุษของข้า!”
เสี่ยวมู่อวี่หยุดแทะน่องไก่แล้วหันหน้ามาอย่างสงสัย “บุรุษของท่านหรือ? ท่านมิได้พูดหรือว่ามิได้ชอบเขา?”
อวิ๋นอี้สะอึก พูดอย่างปากแข็งต่อ “ชอบหรือไม่ เขาก็คือบุรุษของข้า สรุปแล้วนะ ที่เ้ามีทานมีสวมใส่มีใช้อยู่เนี่ย ล้วนเป็ของข้า กระนั้นเ้าต้องเกรงใจท่านแม่ผู้นี้หน่อย รู้หรือไม่?"
"เหอะเหอะ" เสี่ยวมู่อวี่พึมพำเสียงใส่อย่างเฉยเมย "ข้ารู้แล้ว ข้ารู้แล้ว ท่านแม่ของข้าเก่งที่สุด!"
"รู้ก็ดีแล้ว" อวิ๋นอี้ยัดข้าวไปสองคำ นางมิอยากอาหาร เมื่อมองไปที่เสี่ยวมู่อวี่ก็คิดถึงเื่ที่บ้านของเขา จึงอดถามมิได้ "่ที่ข้าไม่อยู่บ้าน มีผู้ใดมานับญาติบ้างหรือไม่?"
"มิมีพ่ะย่ะค่ะ" เสี่ยวมู่อวี่ส่ายหน้า "ฝ่าายังคิดเื่นี้อยู่เลย!”
เขาพูดอย่างสบายใจ ดูมิรู้สึกคิดถึงบ้านเลย อวิ๋นอี้จ้องมองเขาอยู่นานพลันคิดว่า "เสี่ยวมู่อวี่เ้าจำผิดไปหรือไม่?"
"จำกระไรผิดพ่ะย่ะค่ะ?" เสี่ยวมู่อวี่งง งับน่องไก่คำโตอีกครา “ข้าจำได้เพียงว่าบ้านของข้าอยู่ในเมืองหลวง”
“ข้าเข้าใจว่าเ้าหมายถึงกระไร ข้าจะบอกว่า บางทีบ้านของเ้าอาจมิได้อยู่ในอาณาเขตของต้าอวี่” อวิ๋นอี้ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าเป็ไปได้ "บางทีอาจจะเป็เช่นนี้ จริงสิ อีกไม่นาน ทูตจากราชวงศ์เป่ยิจะมาที่เมืองหลวง ถึงเวลาจะให้หรงซิวช่วยถามดูว่าตระกูลใหญ่ๆ ทางนั้นมีลูกผู้ใดสูญหายไปบ้าง"
อวิ๋นอี้พูดต่ออีกทว่าเสี่ยวมู่อวี่มิได้ฟัง เขาตกตะลึงอยู่นานและพูดตะกุกตะกัก “ท่านแม่ว่าอย่างไรนะพ่ะย่ะค่ะ?”
“กระไรว่าอย่างไร?” อวิ๋นอี้มองดูท่าทีโง่เขลาของเขาพลันหัวเราะออกมา “ข้าบอกว่าบางทีเ้าอาจจะมาจากประเทศอื่น”
“มิใช่เื่นี้พ่ะย่ะค่ะ ท่านพูดถึงเป่ยิหรือ?” เสี่ยวมู่อวี่พูดอย่างระมัดระวัง
"ใช่น่ะสิ" อวิ๋นอี้พูดอย่างสงสัย "เ้าเคยได้ยินชื่อเป่ยิหรือ?"
“อ้า...” เสี่ยวมู่อวี่หน้าเสีย พูดอย่างทำตัวมิถูก “เคยได้ยินมาว่าเป่ยิมีตำนานการทานเนื้อคน ท่านแม่ ข้ามิอยากไปเป่ยิ! ข้าไม่กลับไป!”
เขาพูดพลางน้ำตาไหลออกมา ข้าวไม่ยอมทานแล้ว อ้าปากร้องไห้คร่ำครวญ
อวิ๋นอี้อึ้งจนทำกระไรมิถูกอยู่นานเสียจนลืมไปว่าต้องกล่อมเขา
นางปาดน้ำตาให้เขา พูดปลอบอย่างอ่อนโยน “รู้แล้ว รู้แล้ว อย่าร้องไห้สิ ดูเ้าขี้ขลาดเข้าสิ จะมีการทานคนจริงๆ ได้อย่างไรกัน มิใช่ยุคป่าเถื่อนนะ แม่เพียงเดาไปเรื่อย เ้ามิต้องห่วงนะ นอกจากจะมั่นใจแล้วว่าอีกฝ่ายเป็ครอบครัวของเ้าจริงๆ ข้าถึงจะยอมให้เขาพาเ้าไป”
"อื้มอื้ม!" เสี่ยวมู่อวี่สะอึกสะอื้นพยักหน้า กอดอวิ๋นอี้พลันเอาหน้าถูร่างนางไปมา
อวิ๋นอี้รู้สึกขยะแขยงในหัวใจมาก ทว่ากลัวว่าเขาจะร้องไห้อีก จึงกอดเขาไว้แน่นไม่ปล่อย
หลังจากทานอาหารเสร็จ นางเหนื่อยจนเหงื่อท่วมหัว ทว่าโชคดีที่ความสุขและความเศร้าของเด็กมาและจากไปอย่างรวดเร็ว มินานเขาก็หลับไปในอ้อมแขนของนาง
พ่อบ้านกำลังจะพาตัวเสี่ยวมู่อวี่ไป ทว่าถูกอวิ๋นอี้ส่ายหน้าปฏิเสธ นางอุ้มเขากลับไปที่ห้องเอง
เขาหลับสนิท ตลอดทางมิได้ตื่นขึ้นมาเลย
อวิ๋นอี้ห่มผ้าให้เขา นั่งลงข้างเตียงและดูอยู่สักพัก พลันอดมิได้ที่จะยิ้มก่อนหันหลังเดินจากไป
นางมีเื่ที่ต้องทำ่บ่าย ต้องเตรียมพร้อมสำหรับการแสดงความสามารถที่จะมาถึงเร็วๆ นี้
ทุกคราที่คิดถึงเื่นี้ก็ปวดหัว อดด่าตู้ซือโหรวในใจมิได้สักครา
่นี้อากาศดี แดดร้อนในต้นคิมหันต์นั้นอบอุ่น สวนหลังจวนอยู่ติดกับทะเลสาบ ทะเลสาบเป็ประกายราวบ่อเศษเงินเศษทอง
มีศาลาแปดเหลี่ยมอยู่กลางทะเลสาบ ระยะไกลจะมองเห็นดอกบัว ระยะใกล้จะเห็นน้ำ ทำเลค่อนข้างดี
อวิ๋นอี้ชอบที่ตรงนี้มานานแล้ว นางบอกให้เซียงเหอนำกู่เจิงมาให้
เซียงเหอวางกู่เจิงลง เช็ดอย่างระมัดระวังอีกคราพลันถามด้วยความสงสัย “พระชายาเพคะ เหตุใดจู่ๆ ถึงอยากเล่นดนตรีเล่าเพคะ?”
“อยู่ๆ อยากเล่นมิได้หรือ?” อวิ๋นอี้มุ่ยปาก
“ได้สิเพคะ ได้!” เซียงเหอมิกล้ายียวนบรรพบุรุษผู้นี้ พลันพูดตามไปว่า “เมื่อก่อนเซียงเหอชอบฟังพระชายาเล่นเพลงที่สุดเลยเพคะ ให้หลังท่านกลับมาที่จวน สั่งให้ข้าเก็บเครื่องดนตรีไว้หมดครานั้นข้ายังเสียใจอยู่นาน นึกว่าท่านจะมิมีวันแตะต้องมันอีกเสียแล้ว!”
อวิ๋นอี้หัวเราะหึ นางก็คิดเช่นนั้นในตอนแรก
ผู้ใดจะรู้ว่าต้องมาเจอเื่เช่นนี้
นิ้วของนางกรีดกรายที่สายเบาๆ ลองฟังเสียง
กู่เจิงส่งเสียงชัดเจนและดังก้องไปพร้อมกับสายลมที่กระจายอยู่ในอากาศ
เซียงเหอแนะนำจากด้านข้าง "พระชายาเพคะ บทเพลงเปยฮวาน [1] นั้น ข้าคิดว่าท่านเล่นเพราะที่สุดเลยเพคะ!"
"เปยฮวานหรือ?" อวิ๋นอี้ส่ายหน้า “จำมิได้แล้ว ทว่าชื่อเพลงก็ไม่เหมาะสมอยู่แล้ว พระชายาของเ้าจะไปงานเลี้ยง เ้าลองคิดมาสิว่ามีเพลงกระไรดีๆ บ้าง?"
"งานเลี้ยงหรือ?" เซียงเหอตื่นเต้น "งานเลี้ยงกระไรเพคะ?"
อวิ๋นอี้บอกนางเกี่ยวกับการแสดงความสามารถ มิลืมที่จะว่าตู้ซือโหรวอีกครา “นี่มันต้อนเป็ดขึ้นชั้นมิใช่หรือ? ข้ามิได้เกิดมาเพื่อสิ่งนี้นะ! ทำให้คนลำบากจะตายแล้ว!”
เพื่อมิให้ทั้งตนเองและคนทั้งจวนต้องขายหน้า หลังจากที่ทั้งสองถอนหายใจก็เริ่มเลือกเพลงกันอย่างจริงจัง
เซียงเหออยู่กับนางมาหลายปี จึงเอาเพลงทั้งหมดที่นางเคยฝึกประจำออกมาให้นางเลือก
อวิ๋นอี้เอารายชื่อมาดู พลันรู้สึกสิ้นหวัง
นางมิรู้จักเพลงใดเลยในรายชื่อ ทำได้เพียงให้เซียงเหอเอาโน๊ตเพลงมาให้ ค่อยๆ ศึกษาจากโน้ตเพลง
ในที่สุดใน่บ่ายจึงเริ่มเล่นได้เสียที
นางเคยเรียนพื้นฐานมาบ้างแล้ว ทว่าละทิ้งไปนาน เพลานี้จะกลับมาเล่นใหม่ ย่อมหลีกเลี่ยงมิได้ว่าต้องปรับตัว
สองสามเพลงแรกมิค่อยดีนัก แม้คนธรรมดาอย่างเซียงเหอฟังยังต้องขมวดคิ้ว
ท้องฟ้ามืดลง อวิ๋นอี้ก็ถนัดมือขึ้นเรื่อยๆ
นิ้วปราดเปรียวทั้งห้า ราวกับภูติตัวน้อยที่ะโโลดเต้นได้ ะโไปมาระหว่างสาย เล่นเพลงสุดท้ายได้อย่างราบรื่น อวิ๋นอี้ยกแขนขึ้น เสียงพลันหยุดกะทันหัน
แสงสว่างของดวงอาทิตย์อัสดงค่อยๆ จางหายไป ศาลาทรงแปดเหลี่ยมที่อยู่ท่ามกลางสายลม ถูกล้อมรอบไปด้วยน้ำ ทะเลสาบถูกลมพัดพาความชื้นบางๆ ขึ้นมา
ตะเกียงถูกจุดขึ้น ดวงจันทร์ปีนขึ้นฟ้าอย่างสงบ แสงสีขาวที่เจิดจ้าส่องลงมาอย่างนุ่มนวล
นางนั่งบนม้านั่งหิน มีเหงื่ออยู่บนหน้าผากผมที่ร่วงหลุดสองสามเส้นร่วงหล่นลงมาบนบ่าของนาง ลมพัดมุมเสื้อของนางขึ้น
อวิ๋นอี้ขมวดคิ้ว แววตาละเมียดละไมเหลือบออกไปมอง งดงามมาก ภาพนั้นตกไปอยู่ในสายตาของบุรุษหนุ่มที่อยู่ไกลๆ เป็ความเย้ายวนที่ไร้เสียง
หรงซิวยิ้มออกมา และเดินไปหานาง
เชิงอรรถ
[1] บทเพลงเปยฮวาน 悲欢 หมายถึง บทเพลงที่แสดงถึงชีวิตที่มีทั้งความสุขและความเศร้าโศก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้