นางนึกว่าเขาจะไม่มาเสียแล้ว เหยาเชียนเชียนหยิบเก้าอี้มาตัวหนึ่งแล้วนั่งลง พร้อมกับถือโอกาสหยิบของว่างบนโต๊ะขึ้นมา
ยังไม่ทันได้กินข้าวก็ต้องมารับมือกับเื่เหล่านี้ั้แ่เช้าตรู่ ไม่รู้ว่าจะทำให้อาหารไม่ย่อยหรือไม่
“น้องสี่ พี่สามมีเจตนาดี” เป่ยเซวียนเฉิงลบล้างท่าทางอ่อนโยนเมื่อครู่ออกไปจนสิ้น กระทั่งแผ่นหลังก็เหยียดตรงขึ้นมาไม่น้อย “ยามนี้ข้างนอกกำลังเล่าลือกันว่าเหยาเชียนเชียนโเี้อำมหิต อิจฉาริษยา น้องสี่ไม่สะทกสะท้านบ้างเลยหรืออย่างไร?”
ใบหน้าของเขาประดับรอยยิ้มบาง ทว่าดวงตากลับฉายแววยั่วยุที่ทำให้อีกฝ่ายไม่อาจปล่อยผ่านไปได้โดยง่าย
“น้องสี่คิดว่าจะสามารถห้ามความคิดเห็นของผู้คนได้จริงๆ หรือ วันนี้ข้าสามารถกลับวังไปโดยไม่พูดอะไรและแสร้งทำเป็ไม่รู้เื่รู้ราวได้ แต่คนอื่นเล่า น้องสี่จัดการพวกเขาได้หรือ?”
“จัดการได้สิ” เป่ยเหลียนโม่ยิ้มเย็น ดวงตาไร้แววอ่อนโยนอย่างสิ้นเชิง “หากผู้ใดรังเกียจที่ตนมีลิ้นมาก ข้าก็จะช่วยเขาดึงมันออกมาให้เอง หากพี่สามไม่เชื่อก็รอดูเถิด”
เป่ยเซวียนเฉิงย่อมไม่เชื่อ ยามนี้ข่าวลือในเมืองเริ่มเลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ เมื่อครุ่นคิดดูอย่างละเอียด น่าจะมีคนจงใจผลักดันเื่นี้อยู่เื้ั คนที่ทำให้เหยาเชียนเชียนกลายเป็เป้าวิจารณ์ของผู้คนแล้วตนจะได้รับผลประโยชน์ ซึ่งนอกจากซ่งอีอีก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีผู้อื่นแล้ว
คุณหนูตระกูลอัครมหาเสนาบดีผู้นี้ไม่ได้บอบบางอย่างที่เห็นเหมือนภายนอก ไม่ว่านางจะถือโอกาสยกระดับตัวเองหรือว่ามีคนหมายจะอาศัยจังหวะนี้เข้ามามีส่วนร่วม เกรงว่าชื่อเสียงของเหยาเชียนเชียนจะต้องสูญสิ้นไปจนหมด
หากเขาไม่ทอดทิ้งนางในเวลานี้ คาดว่านางจะต้องซาบซึ้งใจอย่างแน่นอน ไม่ว่าเป่ยเหลียนโม่จะพูดกับนางอย่างไร นางก็จะยังคงห่วงใยเขาอยู่ดี
“น้องสี่กล้าหาญเหลือเกิน หากกล่าวถึงในแง่ของการออกรบเข่นฆ่าศัตรู พี่สามย่อมมีเพียงความเคารพเลื่อมใส ทว่าเื่นี้แตกต่างไปจากครั้งอดีต การอวดความกล้าหาญเพียงอย่างเดียวเกรงว่าจะทำให้เื่ราวกลับตาลปัตร”
เป่ยเหลียนโม่หันหน้ากลับมาอย่างกะทันหัน และสบเข้ากับสายตาของเหยาเชียนเชียนที่แอบมองเขาอยู่พอดี อีกฝ่ายก้มหน้าลงราวกับกระต่ายตัวน้อย นางแสร้งทำเป็สงบ ไร้ซึ่งความกระอักกระอ่วนหลังจากที่ถูกจับได้ว่าแอบมอง
หรือกำลังแสร้งทำเป็ว่าตนไม่ได้ทำ
ในดวงตาของเขาปรากฏแววขบขันเล็กน้อย แม้ว่าเป่ยเซวียนเฉิงจะน่ารำคาญเหลือเกิน ทว่าการที่จับได้ว่านางแอบมองเขาเมื่อครู่ทำให้เขาอารมณ์ดีไม่น้อย นางกลัวว่าตัวเองจะเป็ฝ่ายเสียเปรียบ ดังนั้นจึงมองอย่างกังวลหรือ?
“เื่นี้ไม่ใช่ฝีมือของเชียนเชียน เปิ่นหวังเชื่อมั่นในตัวหวังเฟย ในเมื่อพี่สามเป็คนนอก เช่นนั้นย่อมไม่เข้าใจวิถีสามีภรรยาของเปิ่นหวังและหวังเฟยเป็ธรรมดา ดังนั้นจึงไม่อาจกล่าวโทษพี่สามได้ ไม่เป็ไรหรอก กล่าวกับผู้อื่นไปมากมายจะมีประโยชน์อันใด ขอเพียงหวังเฟยเข้าใจความรู้สึกของเปิ่นหวังก็พอแล้ว”
เดิมทีเหยาเชียนเชียนอยากก้มหน้าลงแกล้งตาย แต่ถ้านางไม่พูดอะไรในสถานการณ์ยามนี้ เช่นนั้นจะไม่เป็การปล่อยให้เป่ยเหลียนโม่ต้องแสดงละครเดี่ยวหรอกหรือ ดังนั้นนางจึงยืนขึ้นและเดินไปข้างกายเขาด้วยรอยยิ้ม
“ถูกต้องแล้วเพคะ ท่านอ๋องคือคนที่เข้าใจหม่อมฉัน หม่อมฉันและท่านอ๋องเป็สามีภรรยาที่มีจิตใจเป็อันหนึ่งอันเดียวกัน ดังนั้นเื่นี้จึงไม่จำเป็ต้องให้ผู้ใดสอดมือเข้ามา”
เป่ยเซวียนเฉิงแทบจะรักษารอยยิ้มบนใบหน้าไว้ไม่ได้ เขาพยักหน้าอย่างฝืนทน เหยาเชียนเชียนไม่ไว้หน้าเขาต่อหน้าเป่ยเหลียนโม่เลยแม้แต่น้อย พวกเขาช่างเป็สามีภรรยาที่รักใคร่กันอย่างลึกซึ้งยิ่งนัก
เป่ยเซวียนเฉิงอยากจะเห็นเหลือเกินว่าพวกเขาจะจัดการเื่นี้อย่างไร หากพวกเขานิ่งเงียบก็เป็ไปได้ว่าเื่จะค่อยๆ ถูกลืมเลือนไปตามกาลเวลา ทว่าสองคนนี้สาบานจากใจจริงว่า้าพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง เช่นนั้นเขาก็จะรอ
โดยรอดูว่าพวกเขาจะทำให้ซ่งอีอีแยกร่างเป็สองคนได้อย่างไร และจะอธิบายคำพูดไร้สาระน่าขันเ่าั้อย่างไร
เป่ยเซวียนเฉิงจากไปด้วยสีหน้าที่ไม่ดีนัก ในยามนั้นเหยาเชียนเชียนถึงนึกขึ้นมาได้อีกครั้งว่านางกำลังโกรธคนข้างๆ อยู่ ดังนั้นจึงเตรียมกลับไปที่เรือนเพื่อรับสำรับเช้าต่อ
“หวังเฟยรีบไปเพียงนี้เลยหรือ” เป่ยเหลียนโม่ก้าวไปข้างหน้าสองก้าวเพื่อขวางนางไว้ “เื่เมื่อครู่ หวังเฟยไม่อยากกล่าวอะไรสักหน่อยหรือ?”
จะให้นางพูดอะไรเล่า ใบหน้าของเหยาเชียนเชียนไร้อารมณ์ เห็นได้ชัดว่าเขายินยอมให้คนอื่นเข้ามาเอง และเมื่อครู่คงยืนดูละครดีอยู่ที่หน้าประตูนานเลยกระมัง เขารู้ทุกอย่างอยู่แล้วยังจะให้นางพูดอะไรอีก
ถึงอย่างไรนางก็ไม่ได้พูดถึงเขาในทางที่ไม่ดี และก็ไม่ได้ส่งสายตาให้องค์ชายสามด้วย เขาจะมาหาเื่นางไม่ได้
“พี่สามยังคงใส่ใจหวังเฟยมาก” เป่ยเหลียนโม่กล่าวอย่างซาบซึ้งใจ “นึกไม่ถึงเลยว่าจะมาถึงจวนชิงผิงอ๋องอย่างเอิกเกริก ชื่อเสียงของเขาในด้านที่ลุ่มหลงในความรักจนโงหัวไม่ขึ้นนับว่าได้รับการยืนยันแล้ว”
เหยาเชียนเชียนขมวดคิ้ว ใช่สิ ยามนี้นางสูญเสียอิสระและถูกกักขัง แต่องค์ชายสามก็ยังคงวิ่งมาถึงที่นี่ ในสายตาของผู้คนมีแต่จะทำให้รู้สึกว่าความรักอันลึกซึ้งกลายเป็ท่อระบายน้ำอันเหม็นเน่าก็เท่านั้น
สำหรับนาง ทุกคนสามารถเสียใจและเ็ปได้ แต่สำหรับตัวนางเอง ทุกคนทำได้เพียงทอดทิ้งและลอบก่นด่าว่านางหูตาและจิตใจมืดบอด ดอกหยางน้ำ [1] เปลี่ยนใจและลืมเลือนองค์ชายสาม และหลังจากอยู่กับชิงผิงอ๋องก็อิจฉาริษยาคุณหนูตระกูลอัครมหาเสนาบดี ดังนั้นจึงลงมืออย่างโเี้
เหอะ!
ชื่อเสียงที่ดีนั้นมอบให้กับพวกเขาสองคนไป นางและชิงผิงอ๋อง ไม่ใช่สิ แค่นางคนเดียว ในท้ายที่สุดก็เป็นางคนเดียวที่โชคร้ายและถูกก่นด่า!
“คนบ้าอะไรเนี่ย!”
เหยาเชียนเชียนเผลอไผละโสิ่งที่อยู่ในใจของนางออกมา หญิงสาวมองไปทางเป่ยเหลียนโม่ด้วยความตระหนกเล็กน้อย โชคดีที่อีกฝ่ายทำเพียงแค่ยิ้มและไม่รู้สึกว่าถ้อยคำนั้นมันแปลก
“ใช่ คนเหล่านี้เป็บ้าอะไรกัน คราวนี้หวังเฟยต้องมองให้กระจ่างได้แล้ว ในอนาคตถ้าพบพวกเขาอีกจะต้องระมัดระวังให้มาก เื่ในครั้งนี้หวังเฟยควรจดจำทุกสิ่งไว้ไปอีกนาน”
เขางอนิ้วชี้และเคาะหัวเหยาเชียนเชียนเบาๆ
“วันหน้าอย่าเข้าใกล้คนไม่เป็โล้เป็พายเ่าั้อีก ยามที่ออกจากจวนก็อย่าลืมพาบ่าวไพร่สองสามคนไปด้วยเพื่อคอยรับใช้ เป็ถึงหวังเฟยไฉนถึงหนีออกไปเที่ยวนอกจวนด้วยตัวคนเดียว ไม่มีสาวใช้หรือบ่าวไพร่คอยอยู่ข้างกายแม้แต่คนเดียว พูดไปก็น่าเกลียด”
เหยาเชียนเชียนััได้ถึงความรักอันเล็กน้อยจากถ้อยคำนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับท่าทางสนิทสนมนั้นด้วย นางอยากััเหนือศีรษะของตัวเอง แต่ถูกขวางด้วยเป่ยเหลียนโม่ที่ยืนอยู่ข้างๆ นางจึงต้องทนกับความสั่นไหวนั้น
“หม่อมฉันก็ไม่ได้อยากเจอพวกเขาสักหน่อย" เพราะวันนี้อารมณ์ดีขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว ดังนั้นเหยาเชียนเชียนจึงยินดีที่จะพูดมากขึ้นสองสามประโยค “ผู้ใดจะคิดเล่าว่านครหลวงที่กว้างใหญ่เช่นนี้ เพียงเลี้ยวไปมุมหนึ่งก็สามารถพบกันได้ ไม่รู้ว่าควรจะกล่าวว่ามีวาสนาหรือว่าโชคร้ายดี”
แม้จะเป็วาสนาก็ตาม แต่นั่นก็คงเป็เวรกรรมเสียมากกว่า เป่ยเหลียนโม่บีบผิวเนื้อนุ่มๆ บนใบหน้าของนาง และมองอีกฝ่ายขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างอารมณ์ดี
“โลกนี้จะมีโชคชะตามากมายเพียงนั้นที่ใดเล่า ส่วนมากล้วนมาจากการกระทำของมนุษย์ทั้งนั้น โง่”
เมื่อเขาบีบจนพอใจแล้วก็จากไป ทิ้งให้เหยาเชียนเชียนจับแก้มอยู่อย่างนั้นด้วยความรู้สึกไม่ยินยอม
จะพูดก็พูดไปสิ เหตุใดต้องลงไม้ลงมือกับนางด้วย ยามนี้เขาคงไม่คิดจะเอาชีวิตนางไปง่ายๆ แล้ว แต่เขากลับชอบบีบตรงนั้นทีลูบตรงนี้ทีแทน มือไม้อยู่ไม่สุขเอาเสียเลย
ในขณะที่เหยาเชียนเชียนพองแก้มเดินกลับไป นางก็นึกถึงบทสนทนาเมื่อครู่ขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
จริงๆ แล้วชิงผิงอ๋องกล่าวว่าองค์ชายสามและซ่งอีอีเป็คนไม่เป็โล้เป็พาย นั่นแสดงให้เห็นว่าเขาเกลียดสองคนนี้มาก และเห็นได้ชัดว่าเขาเข้าข้างนางในเื่นี้ ไม่เช่นนั้นเมื่อครู่เขาก็คงไม่พูดต่อเป่ยเซวียนเฉิงเช่นนั้น
ส่วนเื่ที่ทำให้นางโกรธเมื่อวานนี้ เหยาเชียนเชียนลูบศีรษะเบาๆ พลางเดาะลิ้น เขาน่าจะหายโกรธแล้วกระมัง ดูเหมือนว่าเมื่อครู่จะยิ้มให้นางเล็กน้อยด้วย แม้ว่ามันจะแปลกไปบ้าง แต่แบบนั้นย่อมดีกว่าใบหน้าูเาน้ำแข็งที่น่าหวาดผวานั้นมากโข
“ส่วนมากล้วนมาจากการกระทำของมนุษย์ทั้งนั้น” เหยาเชียนเชียนไตร่ตรองประโยคนี้ “ชิงผิงอ๋องหมายความว่ามีคนจงใจคิดแผนร้ายนี้ขึ้นมา แล้วจุดประสงค์คืออะไรเล่า?”
เขารู้ว่ามีคนจงใจวางแผนทำร้ายนาง และเขาก็เชื่อในตัวนาง เหยาเชียนเชียนที่กำลังจะยกมุมปากขึ้นก็ต้องหดกลับไป
มีอะไรน่าดีใจเล่า เขารู้อยู่แล้วแต่เมื่อวานก็ยังหันหน้าหนีนางอยู่อีก
แต่เขาก็เชื่อมั่นในตัวนางอย่างแน่วแน่ต่อหน้าองค์ชายสาม เช่นนั้นโดยรวมแล้วถือว่าไม่เลวเลย
อย่างไรเสียย่อมดีกว่าองค์ชายสามผู้นั้น เขาเอาแต่บอกว่ารักนางและเชื่อนาง ผลสุดท้ายก็ตามมาหาถึงที่ และใช้คำพูดสวยหรูโน้มน้าวให้นางกลับตัวกลับใจ ฝันไปเสียเถอะ!
นางกลืนโจ๊กเต็มปากลงไป แม้ยามนี้คนข้างนอกกำลังเข้าใจนางผิด แต่ใจของเหยาเชียนเชียนกลับไม่รู้สึกวิตกกังวลหรือคับข้องใจมากนัก เพราะเมื่อนางเห็นเป่ยเหลียนโม่วันนี้ ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะลืมความไม่พอใจของเมื่อวานไปแล้ว และนั่นทำให้อารมณ์ของนางพลอยดีตามไปด้วยไม่น้อย
แม้ว่ามันจะแปลกและไม่สามารถอธิบายสิ่งที่คิดในใจได้ แต่ก็สามารถทำให้นางหลุดยิ้มมุมปากขึ้นมาได้ เช่นนั้นก็คงไม่ต้องสนใจมากแล้ว
“เอ๊ะ?”
เหยาเชียนเชียนชะงักไปชั่วครู่และมองปีกไก่สองจานบนโต๊ะด้วยความประหลาดใจ
เหตุใดวันนี้ถึงมีเพิ่มมาอีกจานหนึ่งเล่า หญิงสาวกัดตะเกียบอย่างลังเลและเรียกสาวใช้ที่อยู่อีกด้านหนึ่งมา นางอึกอักอยู่นานก่อนที่จะกล่าวได้อย่างชัดเจน
“ท่านอ๋องรับสั่งให้ทางห้องเครื่องจัดเตรียมไว้โดยเฉพาะเพคะ” ไม่รู้ด้วยเหตุใดสาวใช้ถึงได้ยิ้มอย่างเขินอาย “คาดว่าท่านอ๋องคงเห็นว่าหวังเฟยทรงโปรดอาหารจานนี้จริงๆ ดังนั้นจึงทรงอนุญาตให้เสวยได้เพิ่ม ที่เมื่อก่อนไม่อนุญาตเพราะทรงเกรงว่าเนื้อสัตว์จะทำให้หวังเฟยเลี่ยนกระมัง”
เหยาเชียนเชียนมองปราดหนึ่ง และพบว่ามีน้ำแกงแก้เลี่ยนชามหนึ่งวางอยู่ข้างกันจริงๆ เมื่อจิบเข้าไปอึกหนึ่งก็รู้สึกสดชื่น
อยู่ๆ ก็เห็นอกเห็นใจกันขึ้นมาเช่นนี้ เหยาเชียนเชียนจึงยังคงปรับตัวไม่ทันเล็กน้อย นางกัดปีกไก่ชิ้นหนึ่งพลางคิดว่าฝั่งห้องเครื่องต้องเปลี่ยนพ่อครัวอย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นเหตุใดปีกไก่วันนี้ถึงมีรสชาติกว่าที่ผ่านมา
ในขณะที่นางกำลังแทะปีกไก่อย่างเพลิดเพลินอยู่ที่นี่ ทางฝั่งจวนเฉิงเซี่ยงอีกด้านหนึ่ง ซ่งซื่อเหรินกำลังวิตกกังวลแทนบุตรสาวของตนเอง
“หากเื่นี้แดงออกมา เช่นนั้นหมวกอูซา [2] บนหัวของพ่อก็คงรักษาไว้ไม่ได้”
ซ่งอีอีนำชาร้อนมาด้วยตนเอง นางเป็บุตรสาวที่ซ่งซื่อเหรินรักที่สุด แม้ว่าเื่นี้จะค่อนข้างเสี่ยง แต่ยามนี้น่าจะประสบความสำเร็จไปเกินครึ่งแล้ว ที่เหลือก็แค่รอนางแต่งเข้าจวนอ๋องเท่านั้น
“ท่านพ่อ ท่านอยากเห็นบุตรสาวของท่านเป็อนุต่อหน้าต่อตาหรือเ้าคะ ท่านยอมได้จริงๆ หรือ?”
นางยอบกายคุกเข่าลงข้างๆ ซ่งซื่อเหริน นางรู้ว่าผู้เป็พ่อจะไม่ตำหนินางอย่างจริงจัง เพียงแต่นางไม่ได้แจ้งแผนการให้ทราบล่วงหน้าโดยละเอียดเท่านั้น ดังนั้นยามนี้จึงทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา
“ท่านพ่อมักจะสอนข้าอยู่เสมอว่าต้องทำให้ดีที่สุด แต่เหตุใดใน่เวลาที่สำคัญที่สุดในชีวิตของข้าท่านพ่อกลับลังเลเล่า?” นางดึงมุมชุดของซ่งซื่อเหรินอย่างออดอ้อน “ถึงข้าต้องตายก็จะไม่ยอมเป็อนุเด็ดขาดเ้าค่ะ”
ซ่งซื่อเหรินถอนหายใจ แน่นอนว่าเขาไม่อาจยอมให้บุตรสาวผู้เป็ที่รักไปเป็อนุของผู้ใด ทว่าอีกฝ่ายคือชิงผิงอ๋องผู้สังหารผู้คนโดยไม่ลังเลและมีจิตใจโเี้ การแต่งงานกับคนเช่นนี้อย่าว่าแต่คนมากเล่ห์เ้าแผนการเลย ต่อให้เป็คนที่ซื่อสัตย์ก็ใช่ว่าจะสามารถทำให้เขาพอใจได้เสมอไป
“พ่อกลัวว่าเ้าจะทำให้เขายอมจำนนไม่ได้ และสุดท้ายคนที่ต้องทนทุกข์ในเื่นี้ก็คือเ้าเอง”
ซ่งอีอียกริมฝีปากขึ้น มีอะไรต้องกลัวเล่า อาศัยเพียงความสามารถและความงามของนางก็สามารถดึงเหยาเชียนเชียนลงจากตำแหน่งชายาเอกได้อย่างง่ายดาย ยามนี้เหยาเชียนเชียนถูกผู้คนก่นด่าแล้ว เหลือเพียงรอให้นางแต่งเข้าจวนก่อนแล้วค่อยสุมไฟเพิ่มเข้าไปอีก
เมื่อถึงเวลานั้น ไม่เพียงแต่ราษฎรเท่านั้น รวมถึงฮ่องเต้ หรือแม้แต่ชิงผิงอ๋องก็จะพากันรังเกียจนาง
เพียงนึกถึงท่าทางจองหองของเหยาเชียนเชียนที่โรงน้ำชาในวันนั้น ทั้งยังพูดจาโอ้อวดตนเองเพื่อกดนางให้ต่ำลงโดยไม่ละอายใจ ซ่งอีอีก็อยากจะส่งนางไปยังปรโลกชั้นที่สิบแปดในทันที
“เหยาเชียนเชียนเคยใช้ความไว้วางใจและความโปรดปรานของท่านอ๋องมาเหยียดหยามข้า คราวนี้ข้าอยากจะเห็นเหลือเกินว่านางจะอวดดีได้อีกนานเท่าใด”
ชิงผิงอ๋องสูงศักดิ์ไม่เป็รองผู้ใด จะสามารถปล่อยให้หวังเฟยของเขาถูกเยาะเย้ยไปทั่วทุกที่ได้อย่างไร หวังเฟยเช่นนี้มีแต่จะทำตัวน่าอับอายเพียงเท่านั้น ไม่ช้าก็เร็วนางจะทำให้ชิงผิงอ๋องรังเกียจเหยาเชียนเชียนให้ได้
“รอดูเถิด ตำแหน่งหวังเฟยจะต้องเป็ของข้า!”
เชิงอรรถ
[1] ดอกหยางน้ำ หมายถึง ผู้หญิงที่จิตใจรวนเรแปรเปลี่ยนง่าย
[2] หมวกอูซา คือ หมวกประจำตำแหน่งขุนนางในสมัยโบราณ
