ทนายคนนี้มีความมั่นใจอย่างมาก ข้างๆ เขามีชายรูปร่างอ้วนสวมแว่นกันแดดอันใหญ่ นิ้วก้อยหนาสวมแหวนทองคำคนหนึ่งตามมาติดๆ แล้วยังมีลูกน้องผู้ชายอีกสามคน ท่าทางค่อนข้างสงบเสงี่ยม
“ผมไม่อนุญาตให้ประกันตัวเขา เรายังถามเื่ราวไม่ชัดเจนเลย”
จ้าวอี้ตอบเขาอย่างเยือกเย็น
“โอเค! งั้นผมจะกลับมาอีกทีหลังครบยี่สิบสี่ชั่วโมง อีกเื่หนึ่ง ในฐานะพลเมืองที่ดีของฮ่องกงที่เคารพกฎหมายคนหนึ่ง บริษัทนายจ้างของผมเกิดปัญหาขึ้นอย่างหนึ่งน่ะครับ โดยเฉพาะที่สำนักงานใหญ่ ขอโทษนะครับ มีที่ไหนที่พอจะสะดวกในการพูดคุยบ้างครับ?”
“ทางนี้ครับ ไปถามหัวหน้าฉือเอา ผมไม่คุ้นเคยกับขั้นตอนของฮ่องกงเท่าไร”
จ้าวอี้หาห้องประชุมห้องหนึ่ง ขณะเดียวกันก็ให้คนไปเรียกฉือผิงฮุยมา
“มีเื่อะไรล่ะ?”
ชายอ้วนไม่พูดไม่จา เขาถอดแว่นกันแดดออก หน้าตาซื่อๆ ธรรมดา แต่ดวงตากลับเป็ประกาย ส่งสัญญาณให้ทนายพูด
“เื่เป็อย่างนี้ครับ ่นี้มีพื้นที่ส่วนหนึ่งในความรับผิดชอบของสถานีตำรวจเขตใต้้าพัฒนา และบริษัทของเราอยากสิทธิ์ในการพัฒนาอย่างถูกต้อง ผลคือมีคนในบริษัทเราดำเนินการอย่างผิดกฎหมายและติดสินบนเ้าพนักงาน โชคดีที่ท่านประธานของเราเป็คนปราดเปรื่อง พบแกะดำกลุ่มนี้ได้ทันท่วงที ซึ่งนั่นก็คือรองประธานของบริษัทนี้”
ทนายชี้ไปที่ลูกน้องที่อยู่ข้างๆ ชายอ้วน ชายอ้วนพยักหน้ารับ “คุณผู้ชาย นั่นแหละครับ ผมเชื่อมั่นใจเขามาก แต่ไอ้โง่นี่กลับยักยอกเงินสดของบริษัทไปล้านหนึ่ง บริษัทเราจะทำเื่ผิดกฎหมายเช่นนี้ได้ยังไงกันล่ะครับ? เพราะงั้นวันนี้ผมเลยบีบเขาให้ยอมรับสารภาพออกมา ผมหวังว่ารัฐบาลจะเห็นการสารภาพของเขา ปฏิบัติกับเขาอย่างมีเมตตา และให้โอกาสเขากลับตัวใหม่อีกครั้งหนึ่งนะครับ!”
คำพูดคำจาของชายอ้วนงดงามมาก อุทิศตนให้กับความถูกต้อง คนที่ไม่รู้เื่อาจหลงเชื่อก็ได้
ตอนนี้จ้าวอี้เข้าใจทั้งหมดแล้ว
แพะรับบาป นี่เป็การตอบสนองของอีกฝ่าย หาแพะรับบาปมารับคำกล่าวหาทั้งหมด
วิธีนี้ดีมาก ถ้าเขาไม่ได้อยู่ฝั่งตรงข้าม จ้าวอี้คงปรบมือเชียร์แล้ว เขาได้แต่เก็บไว้กับตัวเอง รู้สึกหดหู่อยู่บ้าง
“คุณจะบอกว่าเขาเป็คนสั่งการเื่เมื่อคืนงั้นเหรอครับ?”
ฉือผิงฮุยเดินเข้ามาอย่างกระฉับกระเฉงและถามอย่างไม่เกรงใจ ขณะเดียวกันก็นั่งลงที่เก้าอี้หัวโต๊ะ
"คุณเล่าสิ"
ทนายส่งสัญญาณให้ลูกน้องพูด
ท่าทางของลูกน้องสงบมาก “ผมรู้ว่าสถานีตำรวจของพวกคุณมีพื้นที่ที่ต้องพัฒนาอยู่ เ้านายเคยบอกว่า ถ้าใครได้พื้นที่ตรงนั้นจะให้รางวัลห้าล้าน ผมคิดจะใช้เงินหนึ่งล้านมาติดสินบน ซึ่งมันไม่มีปัญหาอะไรเลย ธุรกิจนี้ทำแล้วไม่ขาดทุน ดังนั้นผมเลยหาผู้ช่วยอีกสองสามคน แล้วถามว่าที่เขตใต้ใครมีอำนาจที่สุดในตอนนี้ เพราะงั้นเลยเกิดเื่เมื่อวานขึ้น ผมเป็คนทำเื่ทั้งหมดเอง พวกคุณอยากฟังขั้นตอนอย่างละเอียดไหมล่ะครับ?”
ฉือผิงฮุยจิตใจแห้งเหี่ยวทันที
อยากฟังงั้นเหรอ อยากฟังก็บ้าแล้ว!
นี่เป็การตอบสนองเพียงอย่างเดียวของเขา
อารมณ์ของจ้าวอี้ก็ไม่ค่อยดีเท่าไร เขาถามอย่างไม่เกรงใจ “เมื่อคืนคุณพูดว่าเป็การเจรจาธุรกิจ แต่เนื้อหาของธุรกิจต้องไม่ใช่เื่นี้แน่ๆ อีกทั้งคุณพูดว่าถ้าปิดคดีนี้ได้ คุณจะเงินผมในส่วนที่เหลือ ผมบันทึกไว้ทั้งหมดแล้ว คุณไม่มีทางปฏิเสธได้แน่นอน”
“นั่นแหละครับ เนื้อหาการเจรจาธุรกิจก็คือเื่นี้แหละครับ ถ้าคุณปิดคดีด้วยมือของคุณได้ ผมคงคิดเื่พื้นที่ตรงนั้นไว้บ้าง ผมคิดแบบนี้ เจอกันครั้งแรกพวกเราเป็คนแปลกหน้า เจอกันครั้งต่อไปเป็คนรู้จัก ผมจะเติมเต็มปัญหาเื่เงินให้เอง”
จ้าวอี้ตะลึงในความไร้ยางอายของอีกฝ่าย
หากนี่เป็เื่จริง อีกฝ่ายคงเป็พนักงานดีเด่นแห่งศตวรรษ ควักเงินจากกระเป๋าตนเองมาสนับสนุนบริษัท นี่โง่หรือเปล่าเนี่ย?
แต่ถ้าพิจารณาตามเหตุผล เหมือนพยายามยืนให้อยู่
“คนโทรหาผมเมื่อวานไม่ได้มีแค่คนเดียว คนอื่นที่เหลือล่ะ?”
จ้าวอี้ยังไม่ยอมแพ้ อีกฝ่ายเตรียมการมาั้แ่แรก เขาจึงเอ่ยต่อ “คุณผู้ชาย เรียกพวกเขามาสิ ง่ายจะตาย ผมจะโทรเรียกให้พวกเขามาที่นี่เอง”
ตอนนี้เอง ทนายก็พูดขึ้น “ถ้าพวกคุณจับสองคนนั้นที่โทรมา ผมก็จะประกันตัวพวกเขาเหมือนกัน ปัญหาของพวกเขาไม่ใช่เื่ใหญ่เลย หัวหน้าผู้ตรวจการ ผมคิดว่ามันไม่คงยุ่งยากเท่าไร แต่พวกคุณน่าจะยุ่งยากพอสมควร และพวกเราก็ยุ่งยากเช่นกันใช่ไหมล่ะครับ? เอาอย่างนี้ละกัน ตอนนี้ผมจะจ่ายเงินประกันตัว สองคนที่จับได้เมื่อวาน ทางบริษัทของเราจะรับรองให้เองครับ หัวหน้าผู้ตรวจการ คุณคิดว่ายังไง”
สายตาของเขาตกอยู่ที่ฉือผิงฮุยที่กำลังไตร่ตรองอยู่ ไม่มองจ้าวอี้เลยแม้แต่น้อย
เหตุผลก็คือเหตุผล ใครมีอำนาจตัดสินใจที่นี่ ทุกคนรู้อยู่แก่ใจ คำพูดของลูกน้องนั่นยังมีความหมายที่เกินจริงอยู่
“ก็ได้...จ่ายค่าประกันตัวมา พวกเราจะปล่อยคนให้ แต่พวกเขาห้ามออกจากฮ่องกงเป็การชั่วคราว โทรศัพท์ต้องติดต่อได้ตลอดเวลา ตามนั้น!” ฉือผิงฮุยยืนขึ้น แล้วหมุนตัวเดินจากไป
จ้าวอี้เดินตามหลังไปเช่นกัน เขาถามอย่างไม่เข้าใจ “เมื่อวานเราเปลืองแรงไปตั้งขนาดนั้น แต่เราจะปล่อยพวกเขาไปแบบนี้เหรอ?”
“แล้วคุณจะทำยังไงถ้าไม่ปล่อยตัวพวกเขาไปล่ะ? ทนายคนนั้นเป็ทนายแถวหน้าของฮ่องกง ถ้าพูดถึงกฎหมายแล้ว ทั้งฮ่องกงไม่มีใครเอาชนะเขาได้เลยสักคน อีกฝ่ายแค่ประกันตัวด้วยเหตุผลที่ดี ผมไม่อยากถูกร้องเรียน คุณแค่ปัดก้นก็กลับแผ่นดินใหญ่ได้แล้ว แต่ผมทำไม่ได้ไง คุณเข้าใจไหม?”
ท่าทางของฉือผิงฮุยกระวนกระวายเล็กน้อย สิ่งที่คิดอยูในใจมีเพียงตนเองที่รู้ ตอนนี้สิ่งที่เขากังวลก็คือจะอธิบายกับอี้เกอยังไงดี นี่เป็ปัญหาสำคัญ
เมื่อวานอี้เกอเป็คนปฏิบัติการจับคนกลับมาเอง แต่ตอนนี้เขากลับปล่อยไป ถ้าอี้เกอรู้ว่าผลลัพธ์เป็แบบนี้ต้องไม่มีผลดีแน่ แต่ถ้าไม่ปล่อยไปแล้วยืดเวลาไปยี่สิบสี่ชั่วโมง มันจะเป็ยังไง?
จ้าวอี้ก็ไม่มีทางเลือกอื่นเช่นกัน นอกจากต้องกลับไปที่ห้องทำงานชั่วคราวของตนด้วยความหดหู่
ความหดหู่นี้คงอยู่ได้ไม่นาน ผู้ช่วยเสี่ยวหลินกลับมาพร้อมกับพาป้าเฉียนมาด้วย แต่ไม่ได้แค่เธอเท่านั้น ยังมีหลี่เทียนิที่ตามมาด้วย
จ้าวอี้บอกให้เสี่ยวหลินเรียกแค่ป้าเฉียนมาคนเดียว ดังนั้นเขาจึงมองเสี่ยวหลินด้วยสายตามึนงง หลี่เทียนิเอ่ยขึ้นทันที “ผมอยากมาเองแหละ ผมมีเื่อยากพูดกับคุณน่ะ คุณถามป้าเฉียนก่อนได้เลย”
พูดจบ หลี่เทียนิก็มองรอบด้านอย่างวิตก
จ้าวอี้ครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนพยักหน้า “งั้นไปที่ออฟฟิศของผมละกัน เสี่ยวหลิน ช่วยจดบันทึกให้ผมที เชิญครับ ส่วนคุณหลี่เทียนิ เชิญพักที่อีกห้องก่อนนะครับ แลวทางเราจะแจ้งให้คุณทราบต่อไป”
“ได้ครับ” หลี่เทียนิแสดงออกอย่างเข้าใจและมีเหตุผล ไม่ทำตัววุ่นวายไร้เหตุผล ทำให้จ้าวอี้มองเขาดีขึ้นเล็กน้อย
“คืออย่างนี้นะครับ ป้าเฉียน ช่วยนึกย้อนถึงเหตุการณ์วันนั้นอย่างละเอียดหน่อยได้ไหมครับ เหตุการณ์ตอนที่เกิดขึ้นตอนหลี่ต้าเฮิงเสียชีวิต หลี่เยว่หรูร้องไห้อยู่ตลอดหรือเปล่าครับ?”
ป้าเฉียนพยักหน้า “ตอนที่ฉันเข้าไป คุณหนูเยว่หรูจับมือคุณชายใหญ่แล้วร้องไห้อย่างหนักเลยค่ะ จากนั้นหมอประจำตระกูลก็เข้ามาช่วยชีวิตท่าน ระหว่างนั้นคุณหนูเยว่หรูก็จ้องคุณชายใหญ่อยู่ตลอด หวังให้เกิดปาฏิหาริย์ แต่หมอบอกว่าการรักษาล้มเหลว คุณหนูเยว่หรูเลยซบบนตัวคุณชายใหญ่แล้วร้องไห้จนเธอเป็ลมไปเลยค่ะ”
“งั้นตอนนี้เธอไม่ได้พูดอะไรกับคนอื่นเลยใช่ไหมครับ?”
จ้าวอี้ถาม
“ฉันขอคิดก่อนนะคะ...น่าจะไม่นะคะ ไม่มีแน่นอนค่ะ ตอนนั้นคุณหนูเยว่หรูเสียใจมาก เธอจะมีอารมณ์พูดคุยที่ไหนกันล่ะคะ? เราทุกคนก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี แล้วก็ไม่มีใครกล้าปลอบเธอด้วย พวกเรารู้กันดีว่าความสัมพันธ์ของเธอกับพ่อของเธอดีมากขนาดไหน การร้องไห้ออกมาอาจเป็ทางเลือกที่ดีที่สุดก็ได้ จนกระทั่งพ่อบ้านกลับมาจึงจัดการเื่ราวให้เป็ระเบียบ ระหว่างนี้ฉันก็อยู่ในห้องผู้ป่วยตลอด ฉันมั่นใจค่ะว่าคุณหนูเยว่หรูไม่ได้พูดคุยกับคนอื่นเลย”
ยิ่งพูด ป้าเฉียนยิ่งมั่นใจ
จ้าวอี้พยักหน้า แล้วเอ่ยอย่างสุภาพ “ขอบคุณครับป้าเฉียน ข้อมูลของคุณสำคัญกับเรามากเลยครับ รอสักครู่นะครับ เดี๋ยวผมจะให้คนพาคุณไปส่ง”
ไม่ว่าในใจของเขาจะเชื่อป้าเฉียนทุกอย่างหรือไม่ นั่นเป็อีกเื่ ในบางสถานการณ์ ความทรงจำของคนเราอาจเกิดความสับสน โดยเฉพาะการระลึกถึง บางครั้งอาจจินตนาการขึ้นมาเอง สถานการณ์เช่นนี้ก็ไม่ใช่เื่แปลกอะไรเลย
“ไปแจ้งหลี่เทียนิให้ที”
“ป้าเฉียน รอสักครู่นะครับ เดี๋ยวนั่งรถผมแล้วเรากลับด้วยกัน คุณจ้าว ผมมีเื่อยากคุยกับคุณตามลำพังจะได้ไหม?” หลี่เทียนิตรงมาขอร้องอย่างร้อนใจ
จ้าวอี้มองเขาแล้วพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะพยักหน้าและพูดขึ้น “นี่คือเ้าหน้าที่เสี่ยวหลินที่ผบ.ส่งมาเป็ผู้ช่วยของผม คุณไว้ใจเขาได้”
แต่หลี่เทียนิยังคงยืนยันความ้าของตน เสี่ยวหลินจึงทำได้เพียงออกจากห้องทำงานไป
เมื่อหลี่เทียนิเห็นประตูปิดลง เขาก็ยังคงถามอย่างไม่วางใจ “ห้องนี้ไม่มีกล้องวงจรปิดอะไรใช่ไหม?”
“ไม่มีครับ” ในใจของจ้าวอี้เต็มไปด้วยความสงสัย หลี่เทียนิอยากพูดอะไรกับตนกันแน่ถึงได้ทำตัวลับๆ ล่อๆ แบบนี้?
หลี่เทียนิหยิบกระดาษสองแผ่นออกมาจากอกด้วยท่าทางจริงจัง ก่อนจะส่งให้จ้าวอี้ จ้าวอี้รับมาดู มันเป็ใบสูติบัตรและใบผลตรวจร่างกาย ชื่อที่อยู่บนนั้นเป็ชื่อหลี่เยว่หรูทั้งหมด!
“ผมเจอกระดาษพวกนี้ตอนเข้าจัดของของพ่อผมน่ะ มันอยู่ในตู้เซฟ ด้วยนิสัยของพ่อผม ตู้เซฟของเขาจะเก็บของที่เป็ของมีค่า สัญชาตญาณบอกผมว่ามันต้องของที่สำคัญมากแน่ๆ เพราะงั้นผมเลยเอามาให้คุณ ผมไม่กล้าให้คนอื่นรู้หรอก”
“หมายความว่ายังไง?”
จ้าวอี้อ่านใบสูติบัตรกับใบผลตรวจร่างกาย เขามองไม่ออกว่ามันผิดปกติตรงไหนกันแน่
“ผมก็ไม่แน่ใจ แต่เมื่ออาทิตย์ก่อนพ่อของผมมีนัดตรวจร่างกายประจำสัปดาห์ ครอบครัวเรามีกิจวัตรแบบนี้อยู่ ผมไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อของผมถึงมีใบสูติบัตรกับใบผลตรวจร่างกายของพี่สาวผมได้ มันหมายความว่าอะไรกันแน่ ผมไม่เข้าใจเลย คุณก็รู้นี่ว่า สองสามปีมานี้ผมไม่ได้ทำอะไรจริงจังเลย เพราะคิดไม่ออกผมเลยมาหาคุณไง!”
หลี่เทียนิเย้ยหยัน
จ้าวอี้อ่านรายงานที่อยู่้า
ใบสูติบัตรมีประวัติสั้นๆ ลายมือบนนั้นเป็สีเหลืองเล็กน้อย เขียนว่า ชื่อของเด็กแรกเกิด หลี่เยว่หรู วันเดือนปีเกิดที่เท่าไร หมู่เืโอ...และข้อมูลอื่นๆ
เช่นเดียวกัน บนใบผลตรวจร่างกายก็บันทึกข้อมูลคล้ายๆ กันเอาไว้ สิ่งเดียวที่ไม่เหมือนก็คือ ด้านล่างหมู่เืโอถูกขีดเส้นใต้เน้นไว้
มองผิวเผินแล้ว ยากที่จะมองเห็นหลายๆ อย่าง
ข้อมูลพวกนี้กำลังบอกอะไรเขาอยู่กันแน่?
จ้าวอี้คิดไปคิดมา
เขาหยุดความคิดไว้ชั่วคราว จ้าวอี้ถามต่อ “ถึงคุณจะพบใบสูติบัตรกับใบผลตรวจร่างกาย แต่คุณไม่จำเป็ต้องกังวลขนาดนี้เลยนี่ครับ? มาหาผมโดยเฉพาะเลยเหรอครับ?”
เขาแปลกใจกับวิธีของหลี่เทียนิ
หลี่เทียนิเงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยขึ้น “ผมรู้ว่าคุณมาจากแผ่นดินใหญ่ และไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับที่นี่เลย ผมเลยเชื่อใจคุณ ผมคิดว่ายิ่งคนรู้เื่นี้น้อยเท่าไรยิ่งดี คุณเป็คนที่ผมคิดว่าน่าเชื่อใจมากที่สุด ส่วนคนอื่นในสถานีตำรวจแห่งนี้ การบอกพวกเขาก็เท่ากับบอกคนทั้งโลก อีกทั้งเื่นี้เหมือนจะเกี่ยวข้องกับพี่สาวผมด้วย ผมคิดว่ายิ่งส่งผลกับพี่สาวผมน้อยเท่าไรยิ่งดี”
จ้าวอี้ไม่ได้พูดว่าถูกหรือผิด “ขอบคุณคุณหลี่ที่นำเบาะแสใหม่นี้มาให้นะครับ เราจะหาฆาตกรตัวจริงให้เร็วที่สุด ถ้ามีความคืบหน้าอะไรใหม่ ผมจะแจ้งให้คุณทราบนะครับ”
“ผมเข้าใจ! ผมรู้ว่าเมื่อก่อนผมทำเื่ไม่ดีไว้เยอะ อาจทำให้หลายคนดูถูกผม แต่ว่า แต่ว่า เกี่ยวกับการตายของลุงผม วิธีการตายแบบนี้ผมรับไม่ได้จริงๆ ผมอยากทำอะไรสักอย่างเพื่อเขาบ้าง หวังว่าคุณจะเชื่อผมนะ!”
เมื่อเดินมาที่ประตู หลี่เทียนิก็หยุดทันที ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างจริงใจ
“แน่นอนครับ คนเสเพลกลับตัวแม้ทองคำก็ไม่อาจแลกได้! นั่นเป็เื่ที่ดี ผมเชื่อว่าลุงและพ่อของคุณต้องภูมิใจอย่างมากที่เห็นความเปลี่ยนแปลงนี้” คำพูดให้กำลังใจของจ้าวอี้ทำให้หลี่เทียนิกระตือรือร้น เขาพยักหน้ารับอย่างจริงจัง
“ผมไปก่อนนะ”
ในห้องเหลือไว้เพียงจ้าวอี้คนเดียว
สายตาของเขามองรอยขีดเส้นใต้ด้านล่างหมู่เืโอ เส้นสีดำเข้มมาก ถูกขีดทับซ้ำๆ หลายครั้ง ดูออกเลยว่า คนที่ขีดเส้นนี้ ในใจตอนนั้นคงไม่สงบเท่าไร
ในนี้ซ่อนอะไรไว้? มันหมายความว่าอะไรกันแน่?
ใบสูติบัตรฉบับหนึ่งและใบผลตรวจร่างกายฉบับหนึ่ง ไม่มีค่าพอให้เป็ของที่เก็บไว้ในตู้เซฟเลย แต่มันกลับถูกคุณชายรองเก็บไว้ในนั้น ในนี้ต้องซ่อนข้อมูลอะไรที่ตนไม่รู้อยู่เป็แน่
จ้าวอี้เชื่อมั่นในจุดนี้