เฉวียนหรูเซินไม่ได้รอนานเกินไป สักพักจ้านอู๋มิ่งก็ปรากฏตัวขึ้น เดินอยู่บนผิวน้ำ
มองดูท่าทางสบายๆ ของอีกฝ่าย เฉวียนหรูเซินถูกยั่วโทสะจนแทบอาเจียนเป็เื โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นหนังสัตว์อสูรวิฬาร์นรกานต์เปียกน้ำและห้อยอยู่บนไหล่ของจ้านอู๋มิ่ง เดิมจ้านอู๋มิ่งสามารถเก็บหนังวิฬาร์นรกานต์ไว้ในแหวนแห่งจักรวาลได้ แต่เขากลับพาดบนหัวไหล่ของเขาคล้ายกับจะยียวน
“ศิษย์พี่ เ้าอาเจียนเป็เืแล้ว! ข้ามีหนังสัตว์ผืนหนึ่ง เ้าจะเอาไปเช็ดๆ แล้วรองนอนสักหน่อยหรือไม่เล่า” ใบหน้าจ้านอู๋มิ่งยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่เป็พิษเป็ภัยแม้แต่น้อย ชี้ไปที่หนังสัตว์อสูรวิฬาร์นรกานต์แล้วพูดขึ้น
เฉวียนหรูเซินมิสามารถอดกลั้นได้อีกต่อไป อาเจียนเป็โลหิตสดๆ ออกมาอีกหลายคำ เพราะถูกจ้านอู๋มิ่งหยอกเย้าจนบันดาลโทสะแล้วจริงๆ ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้ว ไฉนหลังจากเจิงฉู่ไฉ ผู้าุโของสำนักกระบี่ิญญากลับถึงสำนัก จึงบันดาลโทสะจนกระทั่งล้มป่วยหนักและรากฐานพลังเสียหายอย่างใหญ่หลวง ในที่สุดเขาก็ได้เข้าใจถึงความเหี้ยมโหดของศิษย์น้องเล็กคนนี้แล้ว เจ็บตรงไหนก็แหย่ตรงนั้น าเ็ตรงไหนก็โรยเกลือตรงนั้น
ดวงตาเฉวียนหรูเซินถลนจนแทบทะลุออกมา มองดูจ้านอู๋มิ่งค่อยๆ ก้าวขึ้นมาเหยียบผืนดิน
เมื่ออยู่ในน้ำ ทักษะการต่อสู้ของจ้านอู๋มิ่ง ทำให้เฉวียนหรูเซินรู้สึกครั่นคร้าม ดังนั้นเขาจึงรอ รอจนกระทั่งจ้านอู๋มิ่งขึ้นฝั่งแล้วค่อยปลิดชีวิตเขา
“ศิษย์พี่ หากข้าเป็ท่าน ข้าจะหนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะไกลได้เนิ่นนานแล้ว ยังจะมานั่งรอความตายที่นี่อยู่อีก ไม่รู้จริงๆ ว่าฉายาราชันสัตว์ร้ายนี่รับมาได้อย่างไร สมองเลอะเลือนถึงเพียงนี้แล้ว ยังสามารถจัดอยู่ในอันดับห้าได้อีกอีก เฮ้อ หน้าตาของสำนักบริบาลเดรัจฉานถูกเ้าทำลายป่นปี้หมดแล้ว!” สีหน้าจ้านอู๋มิ่งเปี่ยมด้วยความขุ่นข้องที่เห็นคนไม่รักดี ทั้งยังไม่เอาถ่าน เหมือนเช่นผู้าุโกำลังอบรมผู้เยาว์อยู่ก็มิปาน
“แม้จะไม่มีวิฬาร์นรกานต์ ราชันเช่นข้านี้ก็สามารถฆ่าเ้าได้เช่นกัน!” ดวงตาเฉวียนหรูเซินแทบจะพวยพุ่งราวกับเปลวไฟ
คำพูดของจ้านอู๋มิ่งเป็เหมือนมีดกรีดลงบนหัวใจเขาก็มิปาน สัตว์อสูรจิติญญาที่เป็คู่หูถูกสังหาร หนังถูกพาดบนไหล่ของอีกฝ่าย นี่คือการเหยียดหยาม สร้างความอัปยศอย่างใหญ่หลวง ยามนี้ เขายังถูกหัวเราะเยาะเย้ยโดยมดปลวกที่มีฐานบ่มเพาะเพียงระดับปรมาจารย์นักยุทธ์ผู้หนึ่ง และเขายังปฏิเสธสิ่งที่อีกฝ่ายพูดไม่ได้ เพราะเขาพลาดท่าเสียที ประสบความสูญเสียครั้งใหญ่ในเงื้อมมือจ้านอู๋มิ่ง ในใจเฉวียนหรูเซินแสนจะเคียดแค้นชิงชัง
“ไฉนต้องหงายไพ่ตายจนหมดด้วยเล่า เดิมทีเห็นแก่ที่อยู่ในสำนักเดียวกัน ถ้าเ้าไม่มาวุ่นวายกับข้า ข้าก็ไม่้าที่จะเข่นฆ่าจนสิ้นซากเช่นกัน แต่ว่าเ้านั้นทะเยอทะยานไร้สิ้นสุด มิยอมถอดใจเสียที!” จ้านอู๋มิ่งทอดถอนใจคราหนึ่ง
“ขอเพียงให้เ้าตาย เปิดเผยไพ่ตายออกมาจนหมดสิ้นก็มิเป็ไร!” เฉวียนหรูเซินกล่าวอย่างดุดันไร้ปรานี
พูดจบ พลันเฉวียนหรูเซินผิวปากเบาๆ คราหนึ่ง
“ไม่มีการตอบสนอง” จ้านอู๋มิ่งเมียงมองเฉวียนหรูเซิน แบมือออกแล้วกล่าวยิ้มๆ สีหน้าเขาเต็มไปด้วยการเย้ยหยันและความเห็นอกเห็นใจ
พลันสีหน้าเฉวียนหรูเซินแปรเปลี่ยนเป็ไม่น่าดูอย่างยิ่งไปทันใด เขาผิวปากเบาๆ อีกคราหนึ่ง ยังคงไม่มีการตอบสนองใดๆ ในแนวป่ามีแต่ความเงียบสงบ บรรยากาศริมทะเลสาบถูกกดดันราวกับพายุคลั่ง ฝนฟ้าคะนองกำลังใกล้จะมาเยือน
“รู้หรือไม่ก่อนหน้านี้ ไฉนข้าจึงเปลืองน้ำลายกับเ้ามากขนาดนั้น?” จ้านอู๋มิ่งหัวเราะแล้วยักไหล่ กล่าวว่า “ตอนแรกที่ข้าได้ยินว่าสัตว์อสูรคู่หูของเ้าเป็แมวตัวหนึ่ง ข้าก็ทราบว่าพวกเขาเ่าั้ผิดพลาดแล้ว ข้าเคยไปที่ยอดเขาของเ้าในสำนัก มิผิด บนเขามีกลิ่นอายของแมวจริงๆ ก็คือวิฬาร์นรกานต์ตัวนั้นกระมัง แต่ข้าก็ยังััได้ถึงกลิ่นอายของสัตว์ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า นั่นคือกลิ่นอายของเสือ ยามนั้นข้าจึงได้ทราบว่า สิ่งที่เล่าลือกันภายนอกนั้นถูกครึ่งหนึ่ง และก็ผิดพลาดอยู่ครึ่งหนึ่ง…”
สีหน้าของเฉวียนหรูเซินซีดขาว ดุจดั่งสตรีที่ขุ่นเคืองยามรอยแผลเป็ถูกเปิดเผยโดยจ้านอู๋มิ่งอย่างไร้ปรานี
จ้านอู๋มิ่งเห็นเหงื่อเย็นซึมบนหน้าผากของเฉวียนหรูเซิน รอยยิ้มของเขาอ่อนโยนยิ่งขึ้น เหมือนเฉกเช่นกับกำลังพูดจาด้วยเหตุผลกับเด็กเล็ก “ทุกคนเล่าลือกันอย่างกว้างขวาง สิ่งที่ร้ายกาจที่สุดของราชันสัตว์ร้ายก็คือแมวสัตว์อสูรจิติญญาคู่หูของเขา ซึ่งความจริงพวกเขาทั้งหมดประเมินราชันสัตว์ร้ายต่ำเกินไป หากราชันสัตว์ร้ายหงายไพ่ตายออกมาทั้งหมด แม้ว่าจะไม่สามารถติดอันดับหนึ่งในสิบราชันได้ แต่อันดับสองคงไม่น่าจะมีปัญหาอย่างแน่นอน เนื่องจากเขายังมีพยัคฆ์ดำนรกานต์ สัตว์อสูรจิติญญาที่ทะลวงด่านบรรลุจักรพรรดิาไปแล้วอีกตัวหนึ่ง!”
“เป็ไปไม่ได้ เ้าทราบเื่นี้ได้อย่างไร?” เหงื่อเย็นเยียบของเฉวียนหรูเซินซึมจนเสื้อผ้าเปียกชุ่ม เขาพบว่าตนมีเื่ที่ไม่เข้าใจเกี่ยวกับศิษย์น้องเล็กคนนี้มากเกินไปแล้ว เวลานี้เขาเริ่มรู้สึกเสียใจที่มากำจัดจ้านอู๋มิ่งคนเดียวแล้ว เพราะเดิมทีเขาสามารถมาพร้อมกับคนอื่นๆ ได้
“ข้าศิษย์น้องมีทักษะพิเศษที่ทำให้ผู้คนอิจฉาอย่างหนึ่ง นั่นคือสามารถลักพาตัวสัตว์อสูรจิติญญาของผู้อื่น เปลี่ยนของผู้อื่นให้เป็ของตนเอง ความรู้สึกชนิดนั้นช่างแสนชื่นใจยิ่งนัก ข้าศิษย์น้องยังมีฝีมืออีกอย่างที่ไม่มีผู้ใดทราบ นั่นก็คือขอเพียงข้าขยับจมูกเท่านั้น ก็สามารถแยกแยะกลิ่นอายของสัตว์อสูรต่างๆ ได้ ยามอยู่ในสำนัก ข้าแทบจะเดินเตร่ไปทั่วเทือกเขามากมายนับมิถ้วนแล้ว ขอเพียงข้า้า ไม่มีสัตว์อสูรจิติญญาของยอดเขาใดหนีรอดเงื้อมมือของข้าไปได้!”
จ้านอู๋มิ่งมองเฉวียนหรูเซินที่สีหน้าซีดเซียว มิเป็ผู้เป็คนและกล่าวว่า “แน่นอน พยัคฆ์ดำนรกานต์ของเ้าคือราชันสัตว์อสูรระดับห้า มีความแข็งแกร่งของจักรพรรดิา เดิมทีข้ามิมีความสามารถลักพาตัวมันได้ แต่น่าเสียดาย ระดับขอบเขตของมันสูงกว่าเ้า ทั้งยังต้องควบคุมวิฬาร์นรกานต์อีก ดังนั้นจึงไม่มีพลังจิติญญาที่ทรงพลังเพียงพอจะควบคุมพยัคฆ์ดำนรกานต์ตัวนี้ในเวลาเดียวกัน ดังนั้น การที่จะลักพาตัวมันมิได้สิ้นเปลืองพลังอะไรมากมายเลย ไพ่ตายของเ้าคือพยัคฆ์ดำนรกานต์ตัวนี้กระมัง? หากเสี่ยงชีวิตกันขึ้นมาจริงๆ พยัคฆ์ดำนรกานต์นับว่าสามารถช่วยเ้าโจมตีข้าอย่างสาหัสได้ แต่ว่ายามนี้ พยัคฆ์ดำนรกานต์ตัวนี้เป็ของข้าแล้ว”
พลันเฉวียนหรูเซินตกตะลึงไปแล้ว เขาย่อมทราบว่าจ้านอู๋มิ่งเคยลักพาสัตว์อสูรั์ตาทองเนตรเขียวของเจิงฉู่ไฉ สัตว์อสูรตัวนั้นทะลวงด่านบรรลุขอบเขตอันดับห้าในสำนักบริบาลเดรัจฉาน มีความแข็งแกร่งของจักรพรรดิา นักบ่มเพาะกายภาพระดับปรมาจารย์นักยุทธ์ผู้หนึ่ง กลับสามารถกำราบสัตว์อสูรระดับห้าจนเชื่องเชื่อ ในสำนักบริบาลเดรัจฉานเล่าลือกันเป็เื่ราวอันน่าทึ่ง แต่ว่าเขาคิดไม่ถึงว่าเื่ราวเช่นนี้จะมาเกิดขึ้นกับตัวเขาเอง
“เป็ไปได้อย่างไร?” เฉวียนหรูเซินรู้สึกคำพูดของจ้านอู๋มิ่งช่างเหลือเชื่อเกินไป
เพราะระดับขอบเขตของพยัคฆ์ดำนรกานต์สูงกว่าตนเอง การควบคุมมันจึงมีปัญหาอยู่บ้าง นี่คือสาเหตุว่าเหตุใดเวลาจัดอันดับในหมู่ราชัน เขาจึงมิให้พยัคฆ์ดำนรกานต์ออกมาต่อสู้ ส่งเฉพาะวิฬาร์นรกานต์ออกมา ถึงจะเป็เช่นนี้ เขาก็ยังคงได้ครองอันดับที่ห้า พยัคฆ์ดำนรกานต์ก็คือไพ่ตายใบสุดท้ายของเขา แม้แต่จะเผชิญหน้าตู๋กูเช่อ ผู้ครองอันดับหนึ่งของสิบราชัน เขาก็เชื่อมั่นว่าตนจะมิพ่ายแพ้ แต่ว่า...ทุกสิ่งทุกอย่างกลับถูกเปิดเผยออกมาโดยจ้านอู๋มิ่ง
“ความจริง พยัคฆ์ดำนรกานต์และวิฬาร์นรกานต์เป็สัตว์คู่หูอีกรูปแบบหนึ่ง สัตว์สองตัวนี้กำเนิดมาจากแม่เดียวกัน เป็ฝาแฝดกัน เ้ามักจะรู้สึกว่าตนเองมีพลังของธาตุดินตลอดมา มีการป้องกันที่แข็งแกร่งและพลังโจมตีที่รุนแรง แต่สิ่งขาดแคลนมากที่สุดคือความเร็ว เ้าคิดว่าวิฬาร์นรกานต์ดีที่สุดสำหรับเ้าแล้ว ดังนั้น เมื่อเ้าได้ลูกสัตว์อสูรสองตัวในครอกเดียวกันมา เ้าจึงได้เลือกวิฬาร์นรกานต์ และทอดทิ้งพยัคฆ์ดำนรกานต์ สัตว์อสูรจิติญญาทั้งสองตัวนี้เดิมทีพร์สูงส่งยิ่งนัก แต่เนื่องจากวิฬาร์นรกานต์เป็สัตว์อสูรคู่หูของเ้า ระดับขอบเขตของมันทำได้เพียงแค่รุดหน้าพร้อมกับเ้าเท่านั้น ดังนั้นมันจึงเติบโตช้ากว่าพยัคฆ์ดำนรกานต์ เ้าคือราชันาสูงสุด เช่นนั้นวิฬาร์นรกานต์จึงสามารถเป็ได้แค่ระดับสี่ขั้นสูงสุดเท่านั้น แต่พยัคฆ์ดำนรกานต์กลับมิได้รับผลกระทบ ทะลวงผ่านบรรลุระดับห้าได้โดยตรง เมื่อเป็เช่นนี้ ระดับขอบเขตของพยัคฆ์ดำนรกานต์ย่อมสูงกว่าขอบเขตของเ้า พลังการควบคุมของเ้าที่มีต่อมันจึงอ่อนแอกว่า”
“เหตุใดเ้าจึงรู้เื่ราวถึงเพียงนี้ ไฉนเ้าจึงรู้ว่าวิฬาร์นรกานต์และพยัคฆ์ดำนรกานต์เป็ฝาแฝด แม่เดียวกัน?” เฉวียนหรูเซินปากอ้าตาค้างมองจ้านอู๋มิ่ง
ถ้าไม่เห็นด้วยตา เขาไม่อยากเชื่อเลยว่า แมวตัวหนึ่งกับเสือตัวหนึ่งจะเกิดจากแม่เดียวกัน และยังเป็ฝาแฝดอีกด้วย แต่จ้านอู๋มิ่งกลับเหมือนเห็นกับตาตนเอง พูดจาอย่างเจื้อยแจ้ว ไม่รู้จบสิ้น สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกว่า ตนเองเมื่ออยู่ต่อหน้าจ้านอู๋มิ่งแล้วเหมือนเป็ราชันสัตว์ร้ายตัวปลอมผู้หนึ่ง และจ้านอู๋มิ่งจึงจะเป็ราชันสัตว์ร้ายตัวจริง
“เอาล่ะ พูดแล้วเ้าก็มิเข้าใจอยู่ดี!” สีหน้าจ้านอู๋มิ่งเปี่ยมความดูแคลน นึกในใจ ต่อให้พี่ชายบอกเ้าว่านี่คือความทรงจำของพี่ชายในชาติภพที่แล้ว เ้าก็คงจะไม่เชื่ออยู่ดี แล้วไฉนจะต้องบอกด้วยเล่า
“วี๊ดด…” จ้านอู๋มิ่งผิวปากคราหนึ่งไปทางแนวป่าด้านนั้น
สีหน้าเฉวียนหรูเซินแปรเปลี่ยนใหญ่หลวง มองไปทางแนวป่าฝั่งนั้นอย่างตื่นเต้น เขาปล่อยให้พยัคฆ์ดำนรกานต์ซ่อนตัวอยู่ที่นั่นเอง แต่ว่าเขาคอยอยู่ครึ่งค่อนวัน ก็ไม่เห็นปฏิกิริยาใดๆ เกิดขึ้นในแนวป่า ประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดเขาก็ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก หันไปมองจ้านอู๋มิ่งด้วยความดูแคลน เยาะเย้ยขึ้นว่า “ศิษย์พี่มิใช่เติบโตขึ้นเพราะถูกหลอกหรอกนะ!”
สีหน้าจ้านอู๋มิ่งเคอะเขิน เกาๆ ศีรษะกล่าวว่า “ต้องขออภัยจริงๆ การร่วมมือกันครั้งแรก มันยังคงไม่เข้าใจว่าหมายถึงสิ่งใดยามข้าผิวปาก ดังนั้นจึงมิมีการตอบสนอง ร่วมมืออีกสักหลายครั้งหน่อยก็จะดีขึ้นเอง” พูดจบ จ้านอู๋มิ่งก็ะโลั่นใส่แนวป่าด้านนั้น “โง่งมยิ่งกว่าสุกรเสียอีก ยังกล้าเรียกตนเองว่าเป็เสือ เสียงผิวปากของพี่ชายเมื่อครู่ก็คือเรียกเ้า เ้าไฉนจึงมิตอบสนองสักคำ?”
“ฮ๊าว…โฮกกก…” ทันใดเสียงคำรามยาวๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นภายในแนวป่าอย่างฉับพลัน ป่าทั้งผืนดูเหมือนจะสั่นะเืขึ้นมาครั้งหนึ่ง
ร่างเฉวียนหรูเซินแข็งทื่อ สีหน้าซีดขาว
“เ้าดูสิ ไม่ด่าก็ไม่ยอมเชื่อฟัง พอด่าคำเดียวก็เข้าใจทันทีเชียว!” จ้านอู๋มิ่งเฝ้าดูขณะที่มันก้าวเดินออกมาจากแนวป่าอย่างช้าๆ เอ่ยปากชมเสือั์ที่เป็เหมือนเนินเขาเล็กๆ ลูกหนึ่ง “เ้าดูขนทั้งตัวของมันสิ ขนเป็สีเขียวทั้งตัว ลายพาดกลอนราวเหล็กดำ สมชื่อราชันสัตว์ร้ายแห่งบรรดาสัตว์ร้ายนิลกาฬจริงเชียว! ข้าไม่เข้าใจจริงๆ เริ่มแรกไฉนเ้าถึงไร้รสนิยมถึงเพียงนั้น กลับเลือกแมวตัวหนึ่งและไม่ยอมเลือกเสือตัวนี้ เฮ้อ แมวตัวหนึ่งก็คิดจะเป็ถึงราชันสัตว์ร้าย ไม่น่าแปลกใจที่ผู้อื่นอย่างพยัคฆ์ดำนรกานต์จะรู้สึกอคติต่อเ้า ข้ายังมิทันได้ลักพาตัว พอมันเห็นข้า ก็ทรยศเ้าทันทีแล้ว!”
“เ้าคือปีศาจอสูร!” ความเชื่อมั่นของเฉวียนหรูเซินถูกทำลายอย่างไร้ปรานี ตลอดจนความศรัทธาที่เขายึดมั่นตลอดมาก็ถูกจ้านอู๋มิ่งขยี้จนแหลกลาญ เขาลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าตนเป็ราชันาสูงสุดที่แข็งแกร่งผู้หนึ่ง ยามนี้ในใจมีแต่ความโกรธแค้นและความประหวั่นพรั่นพรึง
“เ้าพูดผิดแล้ว ข้าคือราชันสัตว์ร้ายตัวจริงบนแผ่นดินพั่วเหยียน! มิใช่ปีศาจอสูร” จ้านอู๋มิ่งหัวเราะแล้ว
เขาพูดมิผิด เขาไม่เพียงแต่มีสัตว์อสูรั์ตาทองเนตรเขียวระดับห้าเท่านั้น ตอนนี้ยังมีพยัคฆ์ดำนรกานต์ที่แข็งแกร่งทรงพลังยิ่ง ในหมู่ราชันาด้วยกัน ใครเล่าจะเป็คู่ต่อสู้ได้?
“ศิษย์พี่ผิดไปแล้ว ศิษย์พี่มิสมควรเลอะเลือนชั่ววูบ ฉวยโอกาสลงมือกับเ้า โปรดยกโทษให้ศิษย์พี่ในครั้งนี้ด้วยเถอะ” เฉวียนหรูเซินทนไม่ไหวอีกแล้ว เห็นความเย่อหยิ่งและแววเสียดสีในดวงตาทั้งคู่ของพยัคฆ์ดำนรกานต์ ปณิธานของเขาพังทลายลงอย่างสิ้นเชิง เสียง “โครม” ดังขึ้นคราหนึ่ง เขาคุกเข่าลงตรงหน้าจ้านอู๋มิ่ง
จ้านอู๋มิ่งมองดูเฉวียนหรูเซิน ถอนใจพูดว่า “หากทราบเช่นนี้แต่แรก ไฉนยังต้องกระทำอีก ข้าสามารถไม่ฆ่าเ้าได้ แต่ว่าข้า้าทราบว่าไฉนเ้าจึง้าฆ่าข้า อย่าบอกเื่ไร้สาระทำนองว่ากลัวข้าจะคุกคามตำแหน่งของเ้าในสำนักบริบาลเดรัจฉาน หากมีเพียงครึ่งคำที่เป็เท็จ ก็อย่าได้โทษว่าข้าไร้น้ำใจ!”
“ข้าพูด…ข้าจะพูดมันทั้งหมด!” เฉวียนหรูเซินที่ศรัทธาพังทลายเหมือนคว้าถูกฟางเส้นสุดท้าย บอกทุกอย่างที่ตนทราบออกมาจนหมดสิ้น จ้านอู๋มิ่งฟังจนคิ้วย่นขึ้นมา
ถึงแม้เขาจะดูิ่เฉวียนหรูเซินมาก แต่กลับสนใจข้อมูลจากปากของเฉวียนหรูเซินยิ่งนัก เขาคิดไม่ถึงว่าสิ่งที่เรียกกันว่าสิบราชันพั่วเหยียน ทั้งหมดนี้สร้างขึ้นโดยชายชราผู้ลึกลับคนนั้น
ผู้มีดวงชะตาที่มีธาตุแห่งชีวิตเพียงธาตุเดียวจำนวนสิบคน ต่อให้ทั่วทั้งอาณาจักรดินแดนธาตุปฐมภูมิ ก็เป็ไปไม่ได้ที่ผู้มีดวงชะตาที่มีธาตุแห่งชีวิตเพียงธาตุเดียวจำนวนมากจะปรากฏตัวพร้อมกัน!
ชายชราคือผู้ใดกันแน่? จุดประสงค์ของเขาคือสิ่งใด? สิบราชันที่เรียกขานกัน ล้วนถูกสร้างขึ้นโดยบุคคลนี้ เช่นนั้นแล้วผู้อยู่เื้ัผู้นี้มีอำนาจแข็งแกร่งเพียงใด ถึงกับยื่นมือเข้าไปในแต่ละสำนักนิกายใหญ่ แต่ละสำนักนิกายใหญ่กลับยังคงมิทราบเื่ราวใดๆ
“หรือว่าชายชราจะมาจากตระกูลโม่? ช่วยสิบราชันเปลี่ยนดวงชะตา เป็ไปมิได้ที่เขาจะหวังเพียงเส้นทางจักรพรรดิาเท่านั้น!” เครื่องหมายคำถามมากมายผุดขึ้นในใจจ้านอู๋มิ่ง
สิ่งที่เขาคาดมิถึงก็คือ อาหนานกลับเป็น้องชายของสื่อรั่วหนานจริงๆ ไม่แปลกเลยที่เล่าลือว่าบุตรีแห่ง์ของสำนักหลอมโอสถผู้นั้นเป็สตรีดุดันผู้หนึ่ง หญิงสาวนางหนึ่ง กลับเป็ผู้มีชีพจรสายเืบรรพบุรุษค่างคิงคองมหาปฐี เช่นนั้นหากแปลงร่างขึ้นมา ก็คืออุรังอุตังตัวเมียดีๆ นี่เอง
“ข้า้าทราบความลับทั้งหมดของพวกเ้าในอาณาจักรฟ้าเร้นลับเสวียนเทียน!” จ้านอู๋มิ่งมองเฉวียนหรูเซินอย่างเ็าคราหนึ่ง คนผู้นี้ในจิตใจนั้น มรรคาแห่งยุทธ์พังทลายลงแล้ว เป็เช่นคนพิการแล้ว
การตายของสัตว์อสูรคู่หู ทำให้เกิดข้อบกพร่องร้ายแรงขึ้นในจิติญญาของเขา จิตมรรคาแห่งยุทธ์เกิดรอยแตกร้าว และการทรยศของพยัคฆ์ดำนรกานต์ ทำให้ข้อบกพร่องขยายมากยิ่งขึ้น จิตมรรคาแห่งยุทธ์แตกสลาย
สัตว์อสูรจิติญญาคู่หู ถึงแม้จะเป็ข้อได้เปรียบของศิษย์สำนักบริบาลเดรัจฉาน แต่ขณะเดียวก็เป็จุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดของพวกเขาเช่นกัน เนื่องจากยามสัตว์อสูรจิติญญาคู่หูเสียชีวิต จิติญญาชีวิตของผู้เป็นายก็จะไม่สมบูรณ์อีกต่อไปเช่นกัน ดังนั้น แม้ว่าจ้านอู๋มิ่งจะฟักจิ้งจอกเก้าหางออกมาแล้ว ก็ไม่ได้เลือกมันเป็สัตว์อสูรคู่หู เขามิ้าให้จิติญญาชีวิตตนอยู่ในกำมือของปัจจัยที่ไม่แน่นอนใดๆ เนื่องจากเขา้าหลุดพ้นจากวิถีแห่งฟ้า