อวิ๋นโส่วจงเอ่ย “ทำสัญญาหนี้ก็ได้ แต่ในสัญญาต้องระบุอย่างชัดเจนว่าจะชำระคืนเดือนละเท่าไร ดอกเบี้ยเท่าไร และจะชำระคืนทั้งหมดเมื่อไร”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ผู้เฒ่าอวิ๋นก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “เ้ารอง เ้าอย่าใจร้ายนักเลย อวิ๋นเจวียนเอ๋อร์ก็เป็น้องสาวเ้า นางกับครอบครัวก็ต้องใช้ชีวิต เ้าเป็ถึงเ้าของที่ดิน ไม่ได้ขาดเงินทองเสียหน่อย เหตุใดจึงต้องบีบบังคับน้องสาวกับครอบครัวมากเช่นนี้?”
อวิ๋นโส่วจงไม่ได้ตอบโต้ เพียงแต่หันไปพูดกับผู้ใหญ่บ้านต่อ “เพียงแต่ไม่ต้องให้ข้าเป็เ้าหนี้ แต่ให้เขียนให้กับหมู่บ้านไหวซู่ โดยให้ผู้ใหญ่บ้านเป็ผู้รับ ส่วนเงินจำนวนนี้ก็นำไปช่วยเหลือคนยากไร้ อายุหกสิบปีขึ้นไปในหมู่บ้านของเรา ใช้สำหรับซื้อผ้าห่มและข้าวสารให้พวกเขาใน่ฤดูหนาว หรือใช้ซ่อมแซมบ้านเรือนก็ได้ขอรับ”
“ข้า อวิ๋นโส่วจง จะไม่แตะต้องเงินจำนวนนี้แม้แต่อีแปะเดียว ถือว่าเป็การสะสมบุญให้บุตรชายคนรองของข้าก็แล้วกัน!”
สิ้นคำของอวิ๋นโส่วจง ผู้เฒ่าอวิ๋นก็พูดอะไรไม่ออก หากเขายังคงต่อว่าอวิ๋นโส่วจงต่อไป ผู้าุโในตระกูลและผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านที่อยู่ในเหตุการณ์ก็คงไม่ยอมเป็แน่
นั่นมันเงินถึงสามร้อยตำลึงเชียวนะ อวิ๋นโส่วจงบอกว่าไม่เอาก็คือไม่เอา บอกว่าจะยกให้หมู่บ้านก็คือยกให้หมู่บ้าน!
นอกจากผู้เฒ่าอวิ๋นกับเจียงต้าไห่แล้ว ทุกคนต่างก็รู้สึกยินดี พากันเอ่ยปากชมเชยอวิ๋นโส่วจงว่ามีน้ำใจ มีเงินทองมากมายก็ยังไม่ลืมนึกถึงผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้าน
ส่วนอวิ๋นเจียวก็ชื่นชมบิดาในใจยิ่งนัก บิดาของนางช่างทำได้ยอดเยี่ยมจริงๆ หากเขียนสัญญาหนี้ให้กับบ้านของนาง เกรงว่าผู้เฒ่าอวิ๋นคงจะหาเื่มาขัดขวาง อาจจะใช้ชีวิตมาข่มก็เป็ได้ ถึงตอนนั้นต่อให้บิดาของนางมีสัญญาหนี้อยู่ในมือ ก็คงทำอะไรไม่ได้
แต่ตอนนี้สัญญาหนี้ดันกลายเป็ของหมู่บ้านไหวซู่ไปแล้ว สัญญาอยู่ในความดูแลของผู้ใหญ่บ้าน หากเจียงต้าไห่ไม่ยอมคืนเงิน คนแรกที่จะไม่ยอมก็คงจะเป็เหล่าผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านนี้
“ท่านปู่ผู้ใหญ่บ้าน ข้าก็ขอออกเงินห้าสิบตำลึง เพื่อร่วมสะสมบุญให้พี่รองเ้าค่ะ ขอรบกวนท่านช่วยเปลี่ยนเป็ที่ดิน รายได้จากที่ดินผืนนั้นก็นำไปช่วยเหลือผู้เฒ่าผู้แก่และเด็กกำพร้าในหมู่บ้านนะเ้าคะ”
“แต่มีข้อแม้ว่า หากผู้เฒ่าผู้แก่คนใดที่ยังแข็งแรงและสามารถทำงานเองได้ พวกเขาก็ต้องลงแรงทำงานที่ตนเองสามารถทำได้ ไม่อาจรอรับเพียงข้าวสารและเงินจากหมู่บ้านอยู่ที่บ้านเฉยๆ”
ผู้ใหญ่บ้านไม่คาดคิดมาก่อนว่าเด็กน้อยอย่างอวิ๋นเจียวจะมีน้ำใจเช่นนี้ จึงยิ้มรับอย่างยินดี “เป็เช่นนั้นอยู่แล้ว พวกเราทำความดีก็เป็เื่ดี แต่ก็ไม่อาจเลี้ยงดูคนเกียจคร้านเอาเปรียบผู้อื่นได้”
ทำไมถึงได้ยินคนพูดกันบ่อยๆว่า ‘ให้ข้าวน้อยเป็บุญคุณ แต่ให้ข้าวเต็มถังกลับเป็ความแค้น [1]’? นั่นก็เพราะความเคยชินนั่นเอง
กล่าวจบอวิ๋นเจียวก็หยิบตั๋วเงินห้าสิบตำลึงออกมาจากอกเสื้อ จากนั้นก็สั่งให้โม่ซ่านนำไปมอบให้กับผู้ใหญ่บ้าน
ต่อมาอวิ๋นฉี่เยว่ก็หยิบตั๋วเงินร้อยตำลึงออกมาให้ผู้ใหญ่บ้านเช่นกัน “ท่านปู่ผู้ใหญ่บ้าน ข้าขอออกเงินร้อยตำลึงเพื่อสะสมบุญให้น้องรองด้วยขอรับ เงินจำนวนนี้ท่านก็นำไปเปลี่ยนเป็ที่ดิน ให้ผู้เฒ่าผู้แก่และเด็กกำพร้าในหมู่บ้านของเราได้เพาะปลูกพืชผลเถิดขอรับ”
ผู้ใหญ่บ้านซาบซึ้งจนน้ำตาคลอ พูดชมไม่หยุดปาก “เด็กดี เด็กดีของตระกูลอวิ๋นจริงๆ”
อวิ๋นเหลียนเอ๋อร์ที่เห็นดังนั้นก็ไม่ยอมน้อยหน้า “ท่านปู่ผู้ใหญ่บ้าน เงินข้ามีไม่มาก ข้าขอออกเงินห้าตำลึงเพื่อสะสมบุญให้ฉี่ซานเ้าค่ะ”
เดิมทีพวกเขาปรึกษากันว่าจะไปไหว้พระที่วัดไป๋อวิ๋นเพื่อขอพรให้กับอวิ๋นฉี่ซาน แต่ตอนนี้อวิ๋นเจียวยอมควักเงินของตัวเองออกมาช่วยเหลือผู้เฒ่าผู้แก่และเด็กยากไร้ในหมู่บ้าน อวิ๋นเหลียนเอ๋อร์จึงคิดว่าแบบนี้ดีกว่าการบริจาคเงินทำบุญเสียอีก
อวิ๋นหลานเอ๋อร์เอ่ย “ข้าขอออกสามตำลึงเ้าค่ะ!”
อวิ๋นฉี่เสียง “ข้าก็ออกสามตำลึงขอรับ!”
อวิ๋นฉี่ชิ่ง “ข้าก็ออกสามตำลึงขอรับ!”
่นี้พวกเขาขายเม่าไช่ ทุกวันก็จะเก็บเงินค่าผักแยกเอาไว้ ส่วนเงินที่เหลือก็แบ่งกัน ทำให้พวกเขาสะสมเงินได้หลายตำลึงแล้ว
เมื่ออวิ๋นโส่วกวงกับอวิ๋นโส่วเย่าเห็นดังนั้นก็คิดจะร่วมด้วย แต่กลับถูกอวิ๋นโส่วจงห้ามเอาไว้ “เด็กๆ มีน้ำใจก็ปล่อยพวกเขาไปเถิด แต่พวกท่านสองคนก็ละไว้เถิด ทั้งในบ้านนอกบ้านยังมีเื่ต้องใช้เงินอีกมาก ข้ารู้ดีว่าพวกท่านมีน้ำใจ ฉี่ซานก็รู้เช่นกัน”
อวิ๋นโส่วกวงกับอวิ๋นโส่วเย่าเชื่อฟังอวิ๋นโส่วจงมาโดยตลอด เมื่อเขาพูดเช่นนี้ทั้งสองคนจึงไม่ยืนกรานอีก
ในห้องโถงบ้านตระกูลอวิ๋นเก่าเต็มไปด้วยผู้าุโในตระกูลและผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้าน ทุกคนต่างเอ่ยปากชมเชยน้ำใจของเด็กๆ ตระกูลอวิ๋น ภาพเหตุการณ์เช่นนี้สะท้อนเข้าไปในดวงตาของผู้เฒ่าอวิ๋น ความรู้สึกนั้น อย่าให้พูดเลยว่าแย่แค่ไหน
ทั้งหมดนี้เป็เงินตั้งสี่ร้อยหกสิบกว่าตำลึงเชียวนะ! เขาอิจฉาจนใจจะขาด เขาเป็ถึงพ่อ เป็ปู่แท้ๆ ของพวกเขา! เงินสี่ร้อยหกสิบกว่าตำลึง พวกเขากลับยกให้หมู่บ้านโดยไม่ลังเล ส่วนเขาที่เป็ปู่แท้ๆ กลับไม่ได้รับเงินเลี้ยงดูแม้แต่อีแปะเดียว
“บ้านเราพอมีฐานะอยู่บ้าง จริงๆ แล้วก็ไม่ได้ขัดสนอะไรนักกับเงินสามร้อยตำลึงนี้ แต่ลูกชายข้ามิอาจถูกทำร้ายโดยไร้เหตุผลเช่นนี้ คนเราต้องได้รับบทเรียนบ้างจะได้ไม่ทำผิดซ้ำสอง เจียงต้าไห่เ้าจงดูแลเจียงต้าเป่าลูกของเ้าให้ดี อย่าปล่อยให้ออกไปทำร้ายคนอื่นอีก”
“ครั้งนี้มันฟันฉี่ซาน ข้าจึงเรียกเงินจากเ้าเพียงสามร้อยตำลึง หากวันหน้ามันเกิดพลาดพลั้งไปทำร้ายบุคคลสำคัญเข้า เช่นนั้นคงไม่อาจจบลงง่ายๆ ด้วยการใช้เงินแล้ว แต่เป็หัวของทุกคนในบ้านเ้า...”
“ข้าก็ขอพูดเพียงเท่านี้ พูดไปมากกว่านี้ก็คงไร้ประโยชน์ วันนี้ต้องรบกวนผู้าุโทุกท่านแล้ว ที่บ้านข้ายังมีเื่วุ่นๆ อีกมาก ข้าขอตัวกลับก่อนขอรับ รอให้บ้านใหม่ของข้าสร้างเสร็จเมื่อไร ข้าจะเชิญทุกท่านและชาวบ้านทั้งหมู่บ้านไปร่วมงานเลี้ยงฉลอง!”
“พวกเราเป็คนหมู่บ้านเดียวกัน โส่วจง เ้าพูดเช่นนี้มิใช่ว่าห่างเหินเกินไปแล้วหรือ”
“ใช่แล้ว พวกเราก็แค่ทำในสิ่งที่สมควรทำเท่านั้น”
“พวกเ้ารีบกลับไปเถิด ที่บ้านยังมีคนเจ็บรอให้ดูแลอีก!”
หลังจากร่ำลาพอเป็พิธีแล้ว สักพักอวิ๋นโส่วจงก็พาครอบครัวกลับไป
เมื่อเห็นว่าเจียงต้าไห่เขียนสัญญาหนี้และจ่ายเงินมาแล้วยี่สิบตำลึง ผู้เฒ่าผู้แก่ในบ้านตระกูลอวิ๋นเก่าก็ทยอยกันกลับไป จากนั้นเื่ที่อวิ๋นโส่วจงกับเด็กๆ บริจาคเงินช่วยเหลือผู้เฒ่าผู้แก่ที่ไม่มีลูกหลานเลี้ยงดูในหมู่บ้านก็แพร่สะพัดออกไปอย่างรวดเร็ว
ชั่วพริบตาเดียว บ้านอวิ๋นโส่วจงก็ได้รับคำชื่นชมมากมาย ชาวบ้านต่างพากันพูดว่าผู้เฒ่าอวิ๋นกับเถาซื่อโง่เขลา ไล่บุตรชายที่ดีเช่นนี้ออกจากบ้าน
ตอนนี้เป็ไงเล่า เขามีเงินทองมากมายยอมบริจาคให้หมู่บ้านแต่กลับไม่ยอมให้พวกเขาใช้แม้แต่อีแปะเดียว
หลังจากที่บ้านตระกูลอวิ๋นเก่าเงียบสงบลง สองพี่น้องฉี่ชิ่งกับฉี่เสียงก็รีบนำม้านั่งที่ไปยืมมาจากเพื่อนบ้านไปคืน จากนั้นก็รีบไปเยี่ยมอวิ๋นฉี่ซานที่บ้านอวิ๋นเจียว
ส่วนที่บ้านตระกูลอวิ๋นเก่ากลับเกิดาขึ้นอีกครั้ง ทั้งเจียงต้าไห่และอวิ๋นเจวียนเอ๋อร์ต่างก็ถูกเถาซื่อตบหน้าไปคนละฉาด ผู้เฒ่าอวิ๋นทำหน้าบึ้งตึงนอนถอนหายใจอยู่บนเตียงอุ่นไม่พูดไม่จา
เจียงต้าไห่เอามือกุมใบหน้าพลางอธิบายกับเถาซื่อ “ท่านแม่ ตอนนั้นข้าไม่มีทางเลือกจึงทำได้เพียงเอ่ยถึงเหมยเอ๋อร์ หากตอนนั้นอวิ๋นโส่วจงไปแจ้งความที่ศาลาว่าการ มิใช่เพียงแค่ต้าเป่าเท่านั้น แม้แต่ข้า เจวียนเอ๋อร์และเหมยเอ๋อร์ก็คงถูกจับเข้าคุกเป็แน่”
“หากเข้าคุกไปแล้ว เหมยเอ๋อร์ก็คงถูกทำลายชื่อเสียงจนหมดสิ้น! ที่สำคัญคือ หากพวกเราเข้าคุก อนาคตขุนนางของโส่วหลี่ก็จะถูกทำลายไปด้วยนะขอรับ!”
เจียงต้าไห่นี่ช่างไร้ยางอายจริงๆ อวิ๋นโส่วหลี่เป็เพียงถงเซิง เขากลับโยงไปถึงเื่อนาคตขุนนางได้ แต่เขาก็ถือว่ากดถูกจุดอ่อนของเถาซื่อกับผู้เฒ่าอวิ๋น เพราะอวิ๋นโส่วหลี่คือจุดอ่อนของทั้งสองคน
ผู้เฒ่าอวิ๋นใฝ่ฝันมาตลอดว่าจะได้เป็บิดาของขุนนาง ส่วนเถาซื่อก็ใฝ่ฝันมาตลอดว่าวันหนึ่งจะได้เป็ฮูหยินตราตั้ง [2]
เจียงต้าไห่ที่แอบสังเกตสีหน้าของทั้งสองคนมาโดยตลอดก็พูดต่อ “ท่านพ่อ ท่านแม่ ตอนนี้เหมยเอ๋อร์ถูกขับไล่ออกจากตระกูลอวิ๋น แต่นางก็ยังเป็บุตรสาวของท่านทั้งสอง ชื่อเสียงในหมู่บ้านไหวซู่จะสำคัญอะไรนัก รอให้นางถึงวัยปักปิ่น ข้าจะวานให้สหายในตัวเมืองหรือในอำเภอหาตระกูลที่ร่ำรวยให้”
“ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องจัดการเื่ของอวิ๋นเหลียนเอ๋อร์กับเทียนเป่าให้เรียบร้อย หากจัดการเื่นี้ได้แล้ว วิธีหาเงินจากการขายเม่าไช่ของพวกเขาก็ตกเป็ของท่านพ่อกับท่านแม่แล้ว พวกเราสามารถใช้สูตรนี้หาเงินได้ จากนั้นก็นำเงินไปสนับสนุนให้โส่วหลี่ได้เข้าเรียนในสำนักศึกษาที่ดีกว่าเดิม เพื่อที่เขาจะได้สอบผ่านจวี่เหริน ได้ไปสอบเป็จอหงวน [2] ในอนาคต...”
เชิงอรรถ
[1] ให้ข้าวน้อยเป็บุญคุณ แต่ให้ข้าวเต็มถังกลับเป็ความแค้น (升米恩斗米仇) หมายถึง เมื่อช่วยเหลือผู้อื่นเพียงเล็กน้อย คนที่ได้รับมักจะรู้สึกขอบคุณ แต่หากช่วยเหลือมากขึ้นหรือช่วยเหลือบ่อย ๆ ความรู้สึกขอบคุณนั้นอาจกลายเป็ความเคยชิน หากไม่ได้รับความช่วยเหลืออีกต่อไป ผู้รับอาจกลับรู้สึกโกรธหรือไม่พอใจ คล้ายสำนวนไทยที่ว่า ได้คืบจะเอาศอก
[2] ฮูหยินตราตั้ง (诰命夫人) คือตำแหน่งนี้ที่มอบให้แก่ภรรยาหรือมารดาของขุนนางที่มีผลงานรับใช้ราชสำนัก การได้รับตำแหน่งนี้แสดงถึงเกียรติยศและฐานะที่สูงส่งในสังคม
[2] จอหงวน หรือ จ้วงหยวน (状元) บัณฑิตที่สอบได้อันดับหนึ่งของการสอบเคอจวี่หรือการสอบคัดเลือกขุนนางจากทั่วประเทศ