วันต่อมา
เซี่ยชิงหลีได้มีโอกาสติดตามลุงทั้งสองเข้าไปในอำเภอหลิงหนานอีกครั้ง วันนี้ที่มาคือเพราะ้าซื้อสมุนไพรเพื่อทดลองทำยาสีฟัน ส่วนเื่ค้าขายสมุนไพรกับพวกเขาจำต้องพักเอาไว้ก่อน เพราะหากวันหน้าสิ่งที่ต้องทำมีมากเกินไปร่างกายเล็กๆ ของนางคงจะทนไม่ไหว
“แม่นางเ้ามาเสียที วันนั้นเ้ารีบร้อนกลับไป ข้ายังไม่ทันได้ขอบคุณเื่ที่เ้าช่วยโรงหมอของข้าเอาไว้”
หมอวัยกลางคนรีบวิ่งเข้ามาทักทายหญิงสาวทันที เมื่อนางก้าวเข้าไปภายในร้านขายยาจินสุ่ยถัง เซี่ยชิงหลีเห็นหมอผู้นั้นมีท่าทีอ่อนน้อมต่อตนก็รู้สึกแปลกใจไม่น้อย
“ไม่มีอะไรต้องขอบคุณหรอกเ้าค่ะ ที่ข้าช่วยเขาเพราะข้าอยากจะช่วยเท่านั้น”
“ไม่ได้สิ...อย่างไรข้าก็ต้องขอบคุณเ้าด้วยตนเอง หากวันนั้นเ้าไม่ยื่นมือเข้ามาช่วย เห็นทีว่าชะตาของข้าคงจะขาดแน่”
หญิงสาวอดขำท่าทางของหมอวัยกลางคนมิได้
“อ้อ..วันนั้นที่เ้ามาที่นี่ได้ยินผู้ดูแลบอกว่าเ้า้าซื้อสมุนไพรหรือ”
“ก็ทำนองนั้น พอดีเกิดเื่ขึ้นเสียก่อน วันนี้จึงมาอีกรอบ”
เซี่ยชิงหลีพยักหน้ารับอย่างไม่ปิดบัง
“เช่นนั้นเ้า้าสมุนไพรอะไรบ้าง ข้าจะให้คนจัดเตรียมเอาไว้ให้”
หญิงสาวส่งเทียบยาให้หมอวัยกลางคน เมื่อเขาได้อ่านก็แสดงสีหน้าไม่เข้าใจ
“เทียบยานี้เ้าเขียนเองหรือ เหตุใดข้าดูไม่ออกว่าใช้รักษาโรคอะไร”
“เป็ข้าที่เขียนเอง ตัวยาสมุนไพรบางอย่างข้าเพียง้านำไปผสมทำอย่างอื่น ท่านเพียงให้คนจัดยาตามที่ข้า้าเท่านั้น...คงจะได้กระมัง”
คำถามของหญิงสาวแม้เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งทว่าแฝงไว้ด้วยแรงกดดัน หมอวัยกลางคนที่อยากรู้อยากเห็นรีบปาดเหงื่อบนใบหน้า
“ได้ๆ ...ได้แน่นอน เ้ารอที่นี่สักครู่”
เซี่ยชิงหลีรอเพียงไม่นานนางก็ได้รับห่อยาสมุนไพรทั้งหมดมาไว้ในมือ
“ขอบคุณเ้าค่ะ นี่คือเงินค่ายาสมุนไพร”
“ไม่ได้!! ไม่ได้!! ข้ารับเอาไว้ไม่ได้ เ้าคือคนที่ช่วยให้ข้ารอดพ้นจากความตาย ข้าจะรับเงินของแม่นางได้อย่างไร”
หมอวัยกลางคนรีบโบกมือปฏิเสธ หญิงสาวไม่รู้ว่าตนควรทำอย่างไรกับสถานการณ์เหล่านี้ ทว่าด้านหลังได้มีใครคนหนึ่งเอ่ยทักขึ้น
“เซี่ยชิงหลี!! เป็เ้าอีกแล้วหรือ เ้ามาที่นี่อีกทำไม”
หญิงสาวกลอกตาด้วยความเบื่อหน่าย ไม่รู้ทำไมไปที่ใดก็เจอแต่เ้าโง่เซี่ยจิ่งเฉิงเสียทุกที ร่างบางวางถุงเงินเอาไว้บนโต๊ะก่อนเดินออกจากร้านไป แม้หมอวัยกลางคนจะร้องเรียกนางเพียงใดทว่าหญิงสาวก็ไม่หยุดเดิน
“กล้าเมินข้าหรือ วันนี้ข้าจะทำให้เ้าต้องเสียใจที่ทำเช่นนั้น”
เซี่ยจิ่งเฉิงมองตามแผ่นหลังของนางไป จากนั้นหันมองถุงเงินที่หญิงสาววางเอาไว้ก่อนหน้านี้ ดวงตาคู่นั้นวาวโรจน์ขึ้นมาในทันทีโดยไม่ปิดบัง
ราวกับแสงเงินแวววาวที่ลอดออกมาจากปากถุงนั้นสะท้อนความโลภที่ซุกซ่อนอยู่ลึกภายในใจให้ฉายชัดขึ้น ริมฝีปากของเซี่ยจิ่งเฉิงยกยิ้มเล็กน้อย...มันคือรอยยิ้มที่น่าขยะแขยง หากหญิงสาวได้มาเห็นคงอดที่จะทุบตีเขาอีกมิได้
“ท่าทางด้านในจะใส่เงินเอาไว้ไม่น้อย หญิงบ้าผู้นั้นมีเงินั้แ่เมื่อใด แถมมันยังหายจากโรคใบ้ หรือว่าจะเจอโชคดีอะไรระหว่างที่ข้าไม่อยู่ที่เรือน”
ด้านนอกห่างจากประตูอำเภอหลิงหนานเพียงไม่กี่ลี้
เกวียนเทียมวัวเคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆ บนเส้นทางขรุขระ สายลมเย็นพัดแ่หอบเอากลิ่นหอมของดอกไม้ป่าโชยเข้าจมูก หญิงสาวนั่งเงียบๆ อยู่ตรงกลางระหว่างลุงใหญ่และลุงรอง ที่เร่งขับเกวียนวัวเพื่อให้ถึงเรือนก่อนมืดค่ำ
บรรยากาศชวนให้เคลิบเคลิ้ม...หากแต่เสียงฝีเท้าหนักๆ ที่กระแทกพื้นดินดังขึ้นจากด้านหน้า กลับปลุกสติทุกคนให้ตื่นตัวในฉับพลัน
ชายฉกรรจ์ห้าคนะโจากพุ่มไม้สองข้างทาง ใบหน้าโพกผ้าปิดจมูกสวมชุดหยาบกร้านดวงตาเต็มไปด้วยความมุ่งร้าย...ชัดเจนว่าไม่ใช่คนดีแน่นอน
“หยุดเกวียน!”
เสียงหนึ่งในนั้นะโลั่น ดาบสั้นในมือวาววับสะท้อนแสงอาทิตย์ ลุงใหญ่และลุงรองชะงักไปทันที ในมือทั้งสองควานหาอาวุธเพื่อป้องกันตัวทว่าบนเกวียนวัวบัดนี้มีเพียงตะกร้าข้าวสารอาการแห้งและยาสมุนไพร
เซี่ยชิงหลีจับหัวไหล่ของลุงทั้งสองเอาไว้มั่น ร่างบางก้าวลงจากเกวียนช้าๆ แม้หัวใจจะเต้นแรงทว่าสายตายังคงสงบนิ่ง นานแล้วที่ไม่ได้แสดงบทต่อสู้ คงต้องแสดงฝีมือให้เห็นสักหน่อย ไม่อย่างนั้นอาจจะถูกกล่าวหาว่าเป็เพียงสตรีอ่อนแอ
เมื่อได้เห็นใบหน้างามชัดเต็มตา หนึ่งในพวกโจรแค่นหัวเราะก่อนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหยาบกร้าน
“พวกข้าไม่ได้อยากได้อะไร…แค่ส่งของทุกอย่างที่พวกเ้าพกติดตัวมา และเ้าด้วย…มีใครบางคนบอกข้าว่าพวกเราสามารถเล่นสนุกกับเ้าได้”
ดวงตาของเซี่ยชิงหลีเย็นเยียบในพริบตา นางไม่จำเป็ต้องถามว่า ใครบางคนคือใคร เพราะในใจของนาง...ชื่อหนึ่งได้ผุดขึ้นอย่างชัดเจน
เซี่ยจิ่งเฉิง เ้าคนหน้าโง่และขี้ขลาดตาขาวผู้นั้น วันนี้ถึงกลับใจกล้าท้าทายตนเองอย่างโจ่งแจ้ง
ทว่าเซี่ยจิ่งเฉิงคงจะลืมไปว่าแม้ตนเองจะเป็เพียงสตรี แต่ก็ไม่ใช่คนที่สามารถถูกจัดการได้ง่ายดายเพียงนั้น แววตาของเซี่ยชิงหลีในยามนี้ ไม่ใช่แววตาของเหยื่อ แต่เป็ดวงตาของคนที่พร้อมสู้เพื่อปกป้องตนเอง และครอบครัว
ภายใต้แสงอาทิตย์ที่กำลังโรยตัวลงเื้ั เบื้องหน้าคือหญิงสาวเพียงคนเดียว ในมือของนางไร้อาวุธ มีเพียงร่างกายและความมุ่งมั่นที่แน่วแน่ยิ่งกว่าเหล็กกล้า
ร่างบางย่างสามขุมตรงไปยังคนกลุ่มนั้นโดยไร้ท่าทีหวั่นเกรง ท่าทางของนางดูน่าเกรงขามเหมือนแม่ทัพผู้ผ่านสมรภูมิรบมาอย่างโชกโชน
"อย่าคิดว่าแสดงท่าทางเช่นนั้นแล้วพวกข้าจะกลัวเ้า สตรีน้อยจงยอมศิโรราบแก่เราเสีย อย่าคิดต่อสู้ให้เจ็บตัว"
ใบหน้างามยังคงแฝงไว้ด้วยความเ็า ความจริงคนกลุ่มนั้นเมื่อเห็นหญิงสาวคิดต่อสู้ก็รู้สึกหวั่นใจอยู่บ้าง กังวลว่าพวกตนจะเตะเจอตอเข้า
ทว่าเมื่อมองร่างผอมบางของสตรีงามตรงหน้าก็รู้สึกว่าตนเองคิดมากเกินไป ชายร่างใหญ่หนึ่งในนั้นไม่รอคำสั่งเมื่อเห็นพรรคพวกยังคงนิ่งเฉย จึงพุ่งเข้าหานางด้วยแรงมหาศาล ใบหน้าหยาบกระด้างเต็มไปด้วยรอยยิ้มเหยียดหยาม เมื่อเห็นหญิงสาวไม่ขยับกาย
“เด็กน้อย! คิดจะสู้กับพวกข้าเรอะ! ช่างไม่รู้จักเจียมตัว”
ตุ้บ! ตุ้บ! ตุ้บ!
เสียงหมัดซัดเข้าเต็มคางอย่างจัง หมัดเร็ว ตรง และทรงพลังของนางรัวเข้าใส่ชายร่างั์จนเขามึนงง ชายฉกรรจ์ผู้นั้นร่างหงายหลังราวกับถูกท่อนไม้ทุบ เมื่อเห็นสหายล้มทั้งยืนอีกสี่คนจึงเกิดความโมโหพุ่งกายเข้าหาหญิงสาวพร้อมกัน
“เ้านี่มัน!...ใช้วิชาอะไรกันแน่!”
เซี่ยชิงหลีไม่ตอบ นางหมุนตัวหลบการฟันของดาบใหญ่ ก่อนจะถีบเฉียงเข้าที่หัวเข่าของอีกคน เสียง "กร๊อบ!" ดังขึ้น ร่างนั้นล้มลงกับพื้นอย่างน่าสยดสยอง
การเคลื่อนไหวของนางเร็ว ลื่นไหล และเด็ดขาด ต่างจากสำนักมวยใดในยุทธภพ เพราะมันคือการต่อสู้แบบผสมผสานจากโลกยุคปัจจุบัน ซึ่งเน้น ความเร็ว ความแม่นยำ และจุดตาย
ชายอีกสองคนรีบล้อมซ้ายขวาทว่าเซี่ยชิงหลีกลับย่อตัวแล้วพุ่งหมุนตีเข่าขึ้นกลางอกของอีกฝ่ายอย่างไม่ลังเล ก่อนจะฉวยจังหวะรวบข้อมืออีกคนบิดจนดาบร่วงแล้วฟาดเข้าลำคอด้วยสันมืออย่างแม่นยำ
ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งรอบลมหายใจชายฉกรรจ์ทั้งห้านอนเกลื่อนพื้น บางคนหมดสติ บางคนหายใจหอบรวยริน มีเพียงเสียงลมหายใจของหญิงสาวที่ยังมั่นคง ทว่ามือของนางเริ่มสั่นเพราะแรงสู้หมดไปเกือบครึ่ง
อ่อนแอเกินไป ร่างกายนี้อ่อนแอเกินไป นั้นคือสิ่งที่นางกำลังคิด
ลุงใหญ่และลุงรองยืนตะลึง ไม่ใช่เพียงเพราะความกล้าหาญของหลานสาว แต่เพราะศิลปะการต่อสู้นั้น...พวกตนไม่เคยเห็นในแผ่นดินนี้มาก่อน
“หลีเอ๋อ!!..เป็อย่างไรบ้าง หลานได้รับาเ็หรือไม่”
สองลุงรีบะโลงจากเกวียนเพื่อดูหลานสาวคนดี
“ไม่เป็อะไรเ้าค่ะ ข้ายังสบายดีอยู่”
เมื่อตรวจสอบร่างกายของนาง พบว่าหลานสาวไม่ได้รับาเ็ลุงทั้งสองจึงหันไปสนใจโจรโพกผ้าทั้งห้า
“แล้วจะทำอย่างไรกับคนเหล่านี้”
เสียงของลุงรองเอ่ยขึ้นเบาๆ ขณะมองร่างชายฉกรรจ์ทั้งห้านอนระเกะระกะอยู่บนพื้นดิน บางคนยังหมดสติ บางคนพยายามดิ้นขยับแต่ถูกอาการาเ็เล่นงานจนแทบกระดิกตัวไม่ได้
เซี่ยชิงหลีปรายตามองนิ่ง ก่อนยกยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย ท่าทางของนางทำเอาคนเ่าั้รู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ
“ในเมื่อพวกเขากล้าปล้นชิง ข้าก็ขอเก็บคืนทุกอย่างจากพวกเขาไว้เป็ค่าปลอบขวัญก็แล้วกัน ครั้งนี้ข้าแค่สั่งสอนเท่านั้น วันหลังจะได้ไม่คิดปล้นชิงของผู้อื่นอีก”