อวิ๋นซีมองจวินเหยียน ความลับของเขามีมากเสียจริง มิคาดคนจะมีความลับที่เกี่ยวข้องกับหลงชวีหยวนด้วย สิ่งหนึ่งที่ควรต้องรู้ หลงชวีหยวนนั้นอยู่ไม่ไกลจากหานโจวมากนัก เพียงเดินทางผ่านด่านฉีผิงไปทางตะวันตกราวสองร้อยลี้ จากนั้นก็จะมองเห็นทะเลทรายกว้างผืนหนึ่งที่เมื่อข้ามผ่านความแห้งแล้งนี้ไปได้ก็จะเป็เขตแดนของหลงชวีหยวนแล้ว
แต่ไหนแต่ไรมา หลงชวีหยวนนั้นถือเป็หนามยอกอกของแว่นแคว้นต่างๆ และช่างน่าเสียดายที่คนเ่าั้คิดอยากจะกำจัดผู้อื่น แต่ก็ไร้ซึ่งความสามารถ ส่วนอินทรีหิมะนั้นถือเป็เทพที่สถิตอยู่ในใจของชาวหลงชวีหยวน จึงมีกฎเกณฑ์ห้ามมิให้ล่า สังหาร หรือแม้แต่จะนำมาเลี้ยงเป็สัตว์เลี้ยง ถึงกระนั้นก็ยังมีคำกล่าวขานว่า คนที่สามารถนำาาอินทรีหิมะกลับมาได้จะกลายเป็าาแห่งหลงชวีหยวน
จวินเหยียนสบประสานตากับนาง จากนั้นจึงกล่าวตอบด้วยคำถาม “สงสัยเื่ของสามีถึงเพียงนี้เลยหรือ? ”
อวิ๋นซีโค้งริมฝีปากขึ้น พูดเรียบๆ “หากท่านคิดอยากจะปกปิดความลับต่อไป เช่นนั้นก็เชิญทำต่อไปเถอะ ข้าอย่างไรก็ได้” เมื่อพูดจบ นางก็คิดจะไปพักผ่อน แต่เป็เขาที่ลุกขึ้นยืน จับแขนนางไว้ ก่อนจะพูดเสียงเบา “อินทรีหิมะตัวนี้เป็สหายผู้หนึ่งมอบให้ วันพรุ่งนี้เขาจักมาถึงที่นี่ เมื่อถึงตอนนั้นข้าจะให้พวกเ้าได้เจอกัน”
สำหรับคำตอบของเขานั้น อวิ๋นซีฟังแล้วก็ให้ประหลาดใจมาก แท้จริงแล้วไม่ใช่เขา ถ้าเช่นนั้นเป็ผู้ใดกันที่เก่งกล้าสามารถสยบกลุ่มอำนาจต่างๆ บนหลงชวีหยวน ทั้งยังฝึกอินทรีหิมะตัวนี้ได้
เขามองนางแล้วพูดเสียงเบา “ไม่ใช่ว่าตัวเ้าเองก็อยากรู้อยู่แล้วหรือว่าจางเจียวานนี้มีอะไร? หรือว่า ตอนนี้เ้าไม่อยากรู้แล้ว? ”
เมื่ออวิ๋นซีได้ยินก็อดถลึงตาใส่เขาอย่างดุร้ายไม่ได้ “ท่านรู้ทั้งรู้ว่าข้าสงสัย แต่ก็ยังคิดปิดบัง”
เขาดึงนางลงมานั่งข้างกาย ขบคิดเพียงชั่วครู่จึงกล่าวเสียงขรึม “ด้านหลังเขาลูกใหญ่ของจางเจียวานนี้ก็คือชิงโจว ไม่ว่าใครต่างก็รู้ดีว่าบนเขาสูงนั้นอันตรายนัก แต่ไม่มีใครเลยที่จะล่วงรู้ถึงสถานที่เช่นนี้ ซึ่งเหมาะแก่การฝึกทหาร”
นางหันมองชายหนุ่มขณะใคร่ครวญในคำพูดนั้น ที่นี่มีพรหมแดนติดกับชิงโจว ส่วนตัวเขาก็มิได้ฝึกซ้อมกองทหารส่วนตัวหรือองครักษ์ลับอยู่ที่นี่ ดังนั้น คำตอบที่เป็ไปได้เพียงอย่างเดียวย่อมต้องเป็กองทหารของชิงโจว นางเขยิบเข้าไปใกล้หูเขา แล้วถามเสียงเบาที่เบายิ่งกว่า “ชิงโจว? ”
เขาพยักหน้า “จางเจียวานนี้ไม่ได้มีแค่คนท้องถิ่นแต่ดั้งเดิมอาศัยอยู่ แต่ยังมีบางส่วนที่มาจากแหล่งอื่น คนเ่าั้เพิ่งย้ายมาอยู่ที่นี่เมื่อไม่กี่ปีก่อน ในบรรดาพวกเขาก็มีบางคนที่แปลงโฉมมา ข้าจึงไม่อาจรู้ได้ว่าใครเป็ใคร และทำได้เพียงคอยควบคุมให้สถานการณ์ทุกอย่างเป็ไปอย่างปกติ ทว่าเมื่อมาถึงที่นี่แล้วก็อยากจะใช้โอกาสนี้เพื่อสืบดูให้ดี”
“แม่ทัพใหญ่แห่งชิงโจว ป่ายเจี้ยนตง เป็คนซื่อตรงนี่ หรือว่าจะมีความเป็ไปได้จริงๆ ที่เขาจะซุ่มฝึกกองทหารอย่างลับๆ ? ” สำหรับแคว้นหนานเย่านี้ ไม่ว่าผู้ใดหากซ่องสุมกองทหารส่วนตัวไว้ล้วนมีโทษถึงตาย ส่วนป่ายเจี้ยนตง แม้คนจะเป็เขยตระกูลลู่ ทว่าเขาก็เหินห่างกับคนตระกูลลู่มาโดยตลอด ทั้งยังใกล้ชิดสนิทสนมกับคนตระกูลอวิ๋นมากกว่า ยิ่งกว่านั้น ตระกูลอวิ๋นนี้นับเป็ตระกูลหนึ่งที่ภักดีต่อฮ่องเต้มาโดยตลอด ดังนั้น หากจะบอกว่าป่ายเจี้ยนตงซ่องสุมกำลังทหารไว้ ความเป็ไปได้จึงมีไม่มาก
จวินเหยียนยิ้มบางๆ ก่อนจะอธิบายเสริม “แล้วใครบอกเ้าเล่าว่าคนที่จะซุ่มฝึกกองทหารส่วนตัวที่ชิงโจวได้นั้นจะต้องเป็ป่ายเจี้ยนตง”
“หากไม่ใช่เขา แล้วจะเป็ผู้ใดได้อีก? ไม่ว่าอย่างไรชิงโจวก็ถือเป็ถิ่นของเขา หากไม่ได้รับความเห็นชอบจากเขา แล้วใครเล่าจะหาญกล้ามาสร้างเื่ที่นี่” ครั้งนี้อวิ๋นซีงุนงงมากจริงๆ
จวินเหยียนมองนางที่สีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย อดหัวเราะพูดออกมาไม่ได้ “เด็กน้อย ถึงแม้ป่ายเจี้ยนตงจะเป็แม่ทัพใหญ่คุมกองทัพชิงโจว แต่นอกจากป่ายเจี้ยนตงแล้ว ที่ชิงโจวนี้ก็ยังมีขุนนางตำแหน่งสูงอยู่ด้วย”
“ขุนนางตำแหน่งสูง? ” อวิ๋นซีขบคิด จากนั้นก็คิดได้ว่า หรือจะเป็นายอำเภอของชิงโจว หลี่ตง น้องสาวเพียงคนเดียวของเขาได้ตบแต่งไปเป็ภรรยาให้ลู่เหวินจง หรือให้พูดโดยง่าย สตรีแซ่หลี่นางนั้นก็คือมารดาบังเกิดเกล้าของลู่หลิงฉิง หรือว่า แท้จริงแล้วผู้อยู่เื้ัการซ่องสุมกองทหารส่วนตัวจะเป็ หลี่ตง?
“หลี่ตงเป็แค่หนอนหนังสือจะไปมีความสามารถถึงขั้นคิดซ่องสุมกำลังทหารได้อย่างไร? ” สิ่งที่ควรต้องรู้ แคว้นหนานเย่านั้นสร้างชาติบนหลังม้า จึงให้ความสำคัญกับฝ่ายบู๊มากกว่าฝ่ายบุ๋นมาโดยตลอด ดังนั้น หากคิดจะนำกองทหาร ทำให้เหล่าทหารกล้าเกิดความเชื่อถือได้ก็ย่อมต้องเป็ผู้มีวรยุทธ์สูงส่ง และจากที่นางรู้มา หลี่ตงผู้นั้นเป็แค่พวกหนอนหนังสือที่ไม่เป็วรยุทธ์
จวินเหยียนลูบจมูกนางทีหนึ่งด้วยความเอ็นดู จากนั้นจึงพูดอย่างปลงๆ “ข้าเคยบอกเ้าแล้วไม่ใช่หรือ สิ่งที่ตาเห็นไม่ใช่ว่าจะเป็เื่จริง แล้วนับประสาอะไรกับสิ่งที่เห็นเพียงบนกระดาษ ในตำรา”
เมื่ออวิ๋นซีได้ยินก็เบิกตากว้างมองเขา แล้วจึงถามออกไปอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ท่านกำลังจะบอกว่าหลี่ตงปลอมเป็หมูรอกินเสือมาโดยตลอด ที่จริงแล้วเขาเป็ยอดฝีมือ? ”
“ใช่หรือไม่ หากเราไปดูก็จะรู้เอง” พูดจบ เขาก็เดินไปอีกด้านเพื่อนำชุดดำสำหรับปฏิบัติภารกิจลับยามค่ำคืนมาสองชุด “ฮูหยินสนใจจะเข้าไปในป่าทึบเพื่อสืบเื่นี้ให้กระจ่างพร้อมกับสามีหรือไม่? ”
อวิ๋นซีมองชุดดำที่วางอยู่ตรงหน้าตน คิดอยู่ครู่หนึ่งก็หยิบชุดดำขึ้นมาแล้วผลักคนออกไปนอกฉากกันลม จากนั้นจึงพูดว่า “หากข้าไม่อนุญาต ท่านห้ามเข้ามา มิฉะนั้น ข้าจะไม่ไปกับท่านแล้ว”
“ได้ คำสั่งของฮูหยิน สามีจะปฏิบัติตาม” เขายิ้มมองนาง ถึงแม้ว่าความระแวดระวังในใจนางจะยังมีอยู่เช่นเดิม ทว่า่หลังมานี้ที่ได้อยู่ด้วยกัน เขากลับรู้สึกได้ว่าผ่อนคลายขึ้นมาก ส่วนหนามแหลมบนร่างนางเ่าั้ เขาก็เชื่อมั่นว่า สักวันตนย่อมสามารถถอนมันออกมาทีละเส้นๆ ได้
อวิ๋นซีมองท่าทีของเขาก็อดยิ้มบางๆ ไม่ได้ ก่อนจะก้มลงมองชุดดำในมือตน จากนั้นก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ บางครั้งคนเราก็ไม่ควรมีชีวิตอยู่โดยรู้อะไรที่แจ่มชัดมากเกินไปนัก มิน่าเล่าคนโบราณถึงได้กล่าวไว้ว่า ยากจะทำตัวเลอะเลือน [1] เพราะที่จริงแล้ว การเลอะเลือนคงจะช่วยให้มีความสุขที่สุดแล้วกระมัง
คนทั้งสองผลัดเปลี่ยนชุดใหม่เพื่อออกปฏิบัติภารกิจยามราตรี แม้วรยุทธ์ของอวิ๋นซีจะไม่ได้ดีนัก แต่วิชาตัวเบานั้นกลับเรียกได้ว่าดีมาก นางสามารถติดตามอยู่เื้ัชายหนุ่มได้โดยไม่แม้แต่จะพลัดหลงหรือล่าช้า เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ จวินเหยียนก็รู้สึกว่า ตนควรจะเปลืองแรงเปลืองสมองเพื่อฝึกสอนวรยุทธ์ให้นางสักหน่อย อย่างไรเสียคนก็เป็สตรีของตน วันหน้าคงไม่มีใครกล้ารับรองว่านางจะไม่มีเหตุให้ต้องพบเจอกับอันตรายใด หากนางสามารถปกป้องตนเองได้ เขาก็ไม่ต้องกังวล
คนทั้งสองพุ่งกายผ่านป่ารกทึบ ในที่สุดก็มาถึงพื้นที่ลุ่ม่ครึ่งไหล่เขา จวินเหยียนและอวิ๋นซีหยุดยืนอยู่บนก้อนหินขนาดใหญ่เพื่อลอบมองเข้าไปด้านในที่ราบลุ่มนั้น ซึ่งยามนี้มีแสงไฟส่องสว่างออกมา ริมฝีปากของชายหนุ่มโค้งขึ้นน้อยๆ “เห็นแล้วใช่หรือไม่ สามีบอกเ้าแล้วว่าจางเจียวานนี้หาใช่พื้นที่ธรรมดา เพียงแต่คนของข้ามาเยือนตั้งหลายครั้งหลายคราแล้ว แต่สุดท้ายกลับกลับไปมือเปล่า”
อวิ๋นซีครุ่นคิดถึงเส้นทางเมื่อครู่ที่เขานำทางนางมา จากนั้นจึงพูดด้วยท่าทีสงบนิ่ง “ด้านนอกนั่นมีค่ายกลอยู่ หากมิใช่เพราะหนนี้ท่านมาเยือนด้วยตนเอง เกรงว่าเราคงหาที่นี่ไม่พบ เพียงแต่ ข้าไม่ทราบมาก่อนเลยว่าท่านเองก็รู้เื่ค่ายกลด้วย”
ในความทรงจำของนาง คนข้างกายที่นับเป็ยอดฝีมือเื่การวางค่ายกลก็คือพี่รองของนาง เฉียวอวิ๋นชง นับแต่เล็กเขาได้มอบตัวเป็ศิษย์ในสำนักของผู้เฒ่าเทียนซวนแห่งเขาเทียนซวน ด้วยเหตุนี้ นอกจากคนจะเป็วรยุทธ์แล้วก็ยังชำนาญเื่ห้าธาตุ แปดทิศ [2] เื่นำทัพ วางค่ายกล
จวินเหยียนยืมแสงจากดวงจันทร์เพื่อมองดูดวงหน้าเ็าที่ประดับรอยยิ้มบางๆ ของนาง ก่อนจะคิดในใจว่า แท้จริงแล้วยามนี้นางกำลังคิดถึงผู้ใดอยู่กันแน่? ถึงได้ผุดรอยยิ้มอ่อนโยนเช่นนี้ออกมา แต่เพียงครู่เดียวรอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าพลันจางหายไป และหลงเหลือไว้เพียงดวงตาที่เต็มไปด้วยความเศร้าโศก
นางเศร้าโศกเพราะเื่ใดกันแน่?
“จะลงไปดูหรือไม่” จวินเหยียนยิ้มพร้อมกับขัดจังหวะความคิดนางด้วยการถามเสียงเบา
เมื่ออวิ๋นซีได้ยินก็ราวกับถูกฉุดสติที่หลุดลอยให้กลับมา นางมองจวินเหยียน จากนั้นก็อืมออกมาเรียบๆ กว่าจะเดินทางมาถึงที่นี่ได้ถือว่าไม่ง่ายเลย ดังนั้นจะมีเหตุผลให้ไม่ไปสืบดูให้แน่ชัดได้อย่างไร
คนทั้งคู่ราวกับอินทรีตัวผู้สองตัวปรากฏกายขึ้นในความมืดยามราตรี ก่อนจะพุ่งตรงไปยังบริเวณหลุมเขานั้น
————————————————————————————————
เชิงอรรถ
[1] ยากจะทำตัวเลอะเลือน(难得糊涂)เปรียบถึงว่ายามที่ควรทำตัวเลอะเลือนนั้นยากที่จะทำตัวเลอะเลือน สำนวนนี้้าสื่อว่าบางครั้งคนเราก็ไม่ควรเร่งรัดหรืออยากรู้แจ้งไปเสียทุกเื่ ควรจะปล่อยตัวไหลตามสบายไปกับเื่ต่างๆ บ้าง
[2] ห้าธาตุ แปดทิศ(五行八卦)หลักโหราศาสตร์และโหวงเฮ้งของจีน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้