“หมอนี่หมายความว่าอย่างไร หรือเขาสามารถเดินติดต่อสามก้าวได้เช่นกัน?” ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งกล่าว
“ฝันกลางวันหรือ เย่เฟิงนับเป็สิ่งใด เขาจะเดินสามก้าวติดต่อกันได้อย่างไร? หวังเกินตัวสิไม่ว่า!” ผู้ฝึกยุทธ์อีกคนไม่เห็นด้วยกับคนนั้น ซึ่งเป็ความจริง เมื่อยิ่งใกล้ถึงบนสุดของบันได ทุกย่างก้าวล้วนยากลำบาก จึงยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเดินสามก้าว
ตู๋กูหลงได้ยินคำพูดของเย่เฟิงก็มองเย่เฟิงสายตาเหยียดหยาม “ไหน ข้าก็อยากเห็นว่าจะทำได้หรือไม่!”
“เย่เฟิง อย่าวู่วาม” เสียงของฉินเยียนหรานดังขึ้น ฉินเยียนหรานรู้ดีถึงความแข็งแกร่งของตู๋กูหลง เย่เฟิงสู้ไม่ได้อย่างแน่นอน ถึงอย่างไรเย่เฟิงก็อยู่คนละชั้นกับตู๋กูหลง หากเผชิญหน้ากันจริง ๆ เกรงว่าคนที่เสียเปรียบจะเป็เย่เฟิง
“วางใจเถอะ!”
เย่เฟิงส่งสายตาเปี่ยมรอยยิ้มให้ฉินเยียนหราน จากนั้นกล่าวเสียงแ่ว่า “ข้าจะพาเ้าขึ้นไป้าสุด”
ฉินเยียนหรานชะงักไปเล็กน้อย นางไม่เข้าใจว่าเย่เฟิงหมายถึงอะไร ตอนนี้พวกเขามาถึงบันไดขั้นที่ 73 แล้ว แต่ยังอีกยาวไกลกว่าจะถึงขั้นที่ 81
ตอนนั้นเองเย่เฟิงก้าวเท้าออกไป พร้อมกับแสงแห่งอำนาจห่อหุ้มร่างกายหนึ่งชั้น ซึ่งสามารถเชื่อมโยงกับพลังอำนาจที่อยู่ในพื้นที่นี้ได้ ทำให้ก้าวนี้ไปยืนบนบันไดขั้นที่ 74 ได้อย่างมั่นคง
“หมอนี่เอาจริงหรือ แต่ข้าก็อยากดูว่าเขาจะถูกอำนาจฟ้าดินสยบได้อย่างไร!” ผู้คนต่างเผยสีหน้าดูแคลน โดยเฉพาะทางฝั่งตระกูลตู๋กู ยิ่งมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังกว่าใคร
“ตึก!” เย่เฟิงเดินขึ้นบันไดขั้นที่ 75 โดยไม่หยุดพัก ร่างโคลงเคลงเล็กน้อย แต่ก็กลับมายืนได้อย่างมั่นคง
“สองก้าวแล้ว แต่ครั้งนี้เขาน่าจะหยุดแล้วกระมัง!”
ผู้คนจำนวนมากต้องใเมื่อเย่เฟิงเดินขึ้นสองก้าวต่อเนื่อง เพราะสองก้าวถือว่าเกินความคาดหมายของพวกเขาไปมาก
“ตึก!” หลังจากเสียงฝีเท้าดังครั้งที่สาม สุดท้ายผู้คนก็มิอาจสงบนิ่งได้อีกต่อไป พวกเขาต่างตาเบิกโพลงขณะมองทุกอย่างที่เกิดขึ้นตรงหน้าและหัวใจก็ยังเต้นระส่ำ
เย่เฟิงทำในสิ่งที่ตู๋กูหลงทำได้ ขึ้นบันไดสามก้าวติดจนเกือบถึง้าสุด หนำซ้ำความเร็วก็ยังใกล้เคียงกับตู๋กูหลง
“สามก้าวติด แล้วอย่างไรเล่า?” ตู๋กูหลงเห็นเย่เฟิงตามขึ้นมาทันก็เผยสีหน้าไม่ค่อยดี จึงกล่าวเช่นนั้น
“ถ้าเ้าคิดว่าเดินสามก้าวเป็เื่ที่น่าภาคภูมิใจมาก เช่นนั้นข้าจะทำให้เ้ารู้ว่า ความภาคภูมิใจของเ้ามันต่ำต้อยด้อยค่าเพียงใด!” เย่เฟิงกล่าวเสียงเย็น จากนั้นพลังปราณพวยพุ่งออกจากร่างเขา ในนั้นยังแฝงด้วยอำนาจฟ้าดิน นาทีต่อมาเห็นเย่เฟิงยกเท้าและขึ้นไปยังบันไดขั้นที่ 77
“วูบ!” ตอนนั้นเองอำนาจฟ้าดินดุจคลื่นสัตว์อสูรมาเยือนเย่เฟิง ทว่าร่างกายของเย่เฟิงผสานกับพื้นที่แห่งนี้ มันจึงทำอะไรเขามิได้ เขามั่นคงราวกับูเาไท่ซาน
“นี่... จะเป็ไปได้อย่างไร?”
เมื่อเหล่าคนที่ดูแคลนเห็นเย่เฟิงขึ้นบันไดอีกครั้งต่างก็เผยสีหน้าเหลือเชื่อ การกระทำของเย่เฟิงทำให้พวกเขาไร้ซึ่งคำพูดและต้องอ้าปากค้างด้วยความใ
“ตึก ๆ ๆ!”
ทว่านี่เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น เย่เฟิงไม่หยุดเพียงก้าวเดียว แต่เป็สามก้าว ทั้งยังยืนได้อย่างมั่นคงดุจภูผา
บัดนี้เย่เฟิงยืนอยู่บนบันไดขั้นที่ 80 นาทีนี้เขากลายเป็จุดสนใจของทุกคน ราวกับว่าแสงรัศมีของเขากลบคนอื่น ๆ จนมิด
“ขั้นที่ 80 แล้ว ชายผู้นี้...” ผู้คนต่างต้องใจเต้นระรัวและไม่รู้จะพูดอย่างไรดีกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงกน้า ช่างน่าใเสียเหลือเกิน
“เ้าตู๋กูหลงหยิ่งผยองและไม่สนใจ บัดนี้เ้ารู้หรือไม่ว่าความภาคภูมิใจของเ้ามันต่ำต้อยด้อยค่าเพียงใด? ทุกสิ่งของเ้าเป็สิ่งที่ครอบครัวสร้างขึ้นมาให้เ้ารวมถึงระดับการบ่มเพาะที่แข็งแกร่ง หากไม่มีสิ่งเหล่านี้ เ้าตู๋กูหลงนับเป็สิ่งใด?” เสียงของเย่เฟิงดังกังวานไปทั่วลานประลอง ทุกคนต่างได้ยินกันอย่างชัดเจน
ตู๋กูหลงเผยหน้าเขียว เขาถูกเย่เฟิงด่าทอต่อหน้าสาธารณชน เขาจึงโมโหและอยากกระโจนไปฆ่าเย่เฟิงเดี๋ยวนี้
“ทางที่ดีเ้าอย่าเหิมเกริม ในการประลองรอบสุดท้าย ข้าจะฆ่าเ้าด้วยมือข้าเอง!” ตู๋กูหลงกล่าวพลางกัดฟันแน่น น้ำเสียงก็ยังเย็นะเื เขา้าฆ่าเย่เฟิงมากกว่าก่อนหน้านี้หลายเท่า วันนี้หากเขาฆ่าเย่เฟิงไม่ได้ เขาตู๋กูหลงคงไม่มีหน้าให้อยู่ในสำนักยุทธ์ต่อ
นาทีนี้เหล่าคนที่กำลังปีนขึ้นบันไดอยู่ด้านล่างต่างมองเย่เฟิงเป็สายตาเดียวกัน บ้างใ บ้างแปลกใจ แต่ยิ่งกว่านั้นคือความเกลียดชัง
เมื่อได้เห็นเย่เฟิงแสดงฝีมือที่น่าทึ่งนั่น คนเ่าั้ที่เกลียดชังเย่เฟิงก็ยิ่งอยากฆ่าเย่เฟิงมากขึ้นกว่าเดิม
ส่วนฉินเยียนหรานที่อยู่ในอ้อมกอด นางมองใบหน้าหล่อเ่าั้ที่อยู่ใกล้เพียงคืบ หัวใจดวงน้อย ๆ ก็มิอาจสงบนิ่งได้
เย่เฟิงเข้าสำนักยุทธ์ได้ไม่นาน ฉินเยียนหรานก็กลายเป็สักขีพยานในการเติบโตของเย่เฟิง จนตอนนี้เขายืนตระหง่านบนบันไดแห่งนี้ได้อย่างสง่าผ่าเผย
เวลาหนึ่งปี สำหรับผู้ฝึกยุทธ์หลาย ๆ คนแล้วมันสั้นมาก กระทั่งยกระดับการบ่มเพาะก็ยังไม่ได้ ทว่าเพียงระยะเวลาสั้น ๆ นี้ อัจฉริยะแท้จริงกลับเปลี่ยนแปลงตนเองได้อย่างน่าทึ่ง จนกลายเป็ที่สรรเสริญของเหล่าผู้คน
“ข้าจะคอยดู” เย่เฟิงกล่าวด้วยเสียงนิ่งเรียบเช่นเดิม แม้เผชิญหน้ากับผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่งสุดในสำนักยุทธ์เทียนเสวียน ท่าทีของเขาก็ยังคงสง่าผ่าเผย
เมื่อกล่าวจบ เย่เฟิงเดินไปที่ด้านหน้ากลองใบหนึ่งบนบันไดขั้นที่ 80 ก่อนจะทำลายมัน ด้วยการโจมตีนี้กลองแตกะเิกระจัดกระจาย ผู้คนต่างมองสิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่พูดอะไร มีเพียงเสียงะเิตูมตามที่ดังกึกก้องทั่วลานประลอง จากนั้นเย่เฟิงและฉินเยียนหรานก็ไปปรากฏตัวบนบันไดขั้นที่ 81
นาทีนี้ทุกคนต่างเงียบกริบ บรรยากาศเงียบเชียบไร้ซึ่งเสียงใด ๆ
ชายหนุ่มผู้เคยโดนดูถูก เขาใช้พลังและพร์ของตนเข้ากำราบคู่แข่งทั้งหมด ไต่เต้าขึ้นเป็อันดับหนึ่ง ทุกคนทำได้เพียงมองเขา ถึงอย่างไรเื่นี้ก็จะเป็แรงกระตุ้นที่คอยผลักดันผู้อื่นให้เดินไปข้างหน้า
“เยี่ยม ศิษย์น้องเย่!”
ที่ด้านล่าง ฉู่หานและเฉิงเฟยเอ่ยชมเย่เฟิงเป็คนแรก ขณะมองเงาร่างที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุด ในใจของพวกเขาก็เปี่ยมไปด้วยความสุข
“เ้าเด็กนี่ไม่ทำให้ข้าผิดหวังจริง ๆ”
บนอัฒจันทร์หลัก เยว่กู่ยิ้มอย่างพึงพอใจ วันนี้เย่เฟิงทำให้เขาสุขใจเป็อย่างมาก แม้ในการประลองรอบสุดท้ายเย่เฟิงจะชิงอันดับดี ๆ ไม่ได้ แต่ด้วยฝีมือที่เย่เฟิงแสดงออกมาในรอบนี้ก็เพียงพอแล้ว บางทีในงานประลองปีหน้า เย่เฟิงอาจจะเหยียบย่ำทุกคนแล้วขึ้นเป็ที่หนึ่งก็เป็ได้
“บัดซบ!”
เฉินเซี่ยงเทียนเผยหน้าเขียว ก่อนหน้านี้เขาส่งข้อความไปให้เฉินอ้าวเทียนและเว่ยจี้ ว่าให้สังหารเย่เฟิงในการประลองรอบนี้ แต่ทั้งสองกลับทำไม่สำเร็จ ส่วนเย่เฟิงกลับกลายเป็ผู้ผ่านเข้ารอบ ซ้ำยังเฉิดฉายกว่าใคร ๆ
นี่คือสิ่งที่เฉินเซี่ยงเทียนไม่้าเห็น เขาจะต้องฆ่าเย่เฟิงก่อนที่จะแสดงศักยภาพออกมาเต็มที่ หากไม่เช่นนั้นเย่เฟิงจะได้รับความสนใจจากสำนักยุทธ์ ถึงยามนั้นเขาจะฆ่าเย่เฟิงก็ไม่ง่ายแล้ว
อาจารย์ของนี่จ้านเทียนเผยสีหน้าเย็นเยียบ ลูกศิษย์ของเขาถูกผู้อื่นแซงหน้า หนำซ้ำคนที่แซงหน้ายังเป็ผู้ที่ฆ่าเฟิงเฉียนลูกศิษย์เขา นี่เป็ความจริงที่ทำให้เขายอมรับไม่ได้
คนของตระกูลตู๋กูต่างเผยสีหน้าไม่สู้ดี นายน้อยของพวกเขา อัจฉริยะอันดับหนึ่งของตระกูลตู๋กู บัดนี้ได้รับความอัปยศ ในฐานะตระกูลใหญ่ที่มีหน้ามีตาของเมืองหลวงจะขายหน้าเช่นนี้ได้อย่างไร
บนบันไดขั้นที่ 81 เย่เฟิงไม่สนใจคำพูดของคนอื่น เขาค่อย ๆ วางฉินเยียนหรานลง จากนั้นฉินเยียนหรานกล่าวว่า “เมื่อครู่เ้าผลาญพลังไปเยอะมาก ฉวยโอกาสนี้รีบฟื้นฟูพลังก่อนดีกว่า”
เมื่อกล่าวจบ เห็นเย่เฟิงไขว้ขานั่งลงขัดสมาธิ หลับตาและปรับลมหายใจทันที
ฉินเยียนหรานมองเย่เฟิงกะพริบตาปริบ ๆ เย่เฟิงฝ่าฟันอุปสรรคต่าง ๆ นานาจนพานางมาถึงที่นี่ ทำให้นางไม่ต้องเปลืองแรงใด ๆ และไม่สูญเสียพลังเฉกเช่นเย่เฟิง แต่เมื่อเย่เฟิงเริ่มฟื้นฟูพลัง นางก็ไม่รู้จะทำอะไร จึงบ่มเพาะพลังเพื่อฆ่าเวลา