ถึงหลินจื้อชิงได้นั่งตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักการคลังั้แ่อายุไม่ถึงสามสิบปี แต่เงินเดือนที่เขาได้รับไม่ได้มากมายอะไร เนื่องจากเป็กฎระเบียบสำหรับทุกคน ตระกูลหลินไม่้าให้ลูกหลานใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย รายได้ส่วนใหญ่ของหลินจื้อชิงจึงมาจากการร่วมมือกับบริษัทเ่าั้เป็ประจำ
อย่างเช่นครั้งนี้ เขาหารือกับหลินเหรินเทียน ใช้โอกาสนี้ดึงบริษัทอัญมณีทั้งสองมางานแสดงสินค้า เพื่อใช้ประโยชน์และรับค่านายหน้า แม้งานรักษาความปลอดภัยจะถูกเย่เฟิงแย่งไปแล้ว หลินจื้อชิงก็ปรับเปลี่ยนวิธีการใหม่ สรุปก็คือต้องทำเงินในเื่สีเทา เมื่อเป็เื่เกี่ยวกับเงินแล้ว เขามักจะกลายเป็พวกหน้ามืดตามัว
แต่ตอนนี้ เย่เฟิงกลับทำให้ดวงตาของเขาสว่างวาบ เย่เฟิงคนนี้มีความลับมากมายแค่ไหนกัน?
จากเหตุการณ์ที่ลูกน้องของเตาปาจัดการคนกลุ่มหนึ่งที่มาก่อกวน ทำให้หลินจื้อชิงรู้สึกเหลือเชื่อเล็กน้อย ตอนนี้ ทับทิม ไพลิน โมรา และอื่นๆ สารพัดที่อยู่เบื้องหน้า ทำให้เขามึนงงไปหมด ได้แต่ขยี้ตาเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้มองผิดไป มันยังคงเป็อัญมณีหลากหลายซึ่งแต่ละชนิดมีไม่ต่ำกว่าหนึ่งโหลกองอยู่บนโต๊ะ
หลินซือฉิงคาดเดา เป็ไปได้ว่าเย่เฟิงนำของเหล่านี้มาจากสำนักอิ่นเซียน เธอคิดว่าสำนักในยุทธจักรต่างมั่งคั่ง แต่สิ่งเหล่านี้ดูเหมือนเป็เพียงทรัพย์สินส่วนตัวของฉีหลินจือเพียงคนเดียวเท่านั้น หญิงสาวยากจะเข้าใจว่าเย่เฟิงนำของพวกนี้ออกมาทั้งหมดได้อย่างไร แต่ก็ไม่ได้คิดอย่างจริงจัง
เมื่อเย่เฟิงนึกได้ก็หยิบบัตรเอทีเอ็มออกมาหลายใบพลางพูดด้วยรอยยิ้ม “เอ่อ… พี่หลินช่วยตรวจสอบรหัสผ่านและยอดเงินของบัตรแต่ละใบได้หรือเปล่า? ฉีหลินจือตายไปแล้ว นอกจากนี้ยังเป็คนในยุทธจักร การดูข้อมูลคงไม่เป็อะไรใช่ไหม?”
พี่ชายกับน้องสาวตระกูลหลินมองมาอย่างประหลาดใจและเห็นบัตรเอทีเอ็มห้าใบ ซ้ำยังเป็บัตรของธนาคารรายใหญ่ในประเทศ ไม่รู้เหมือนกันว่ามีเงินในบัตรเท่าไร ได้แต่ทึกทักว่า ในเมื่อเป็บัตรที่ฉีหลินจือเก็บไว้ ก็คงไม่ได้มีแค่พันหรือหมื่นหรอกใช่ไหม?
“น่าจะไม่มีปัญหาอะไรนะ เดี๋ยวพี่จะช่วยดูให้ แต่ต้องหลังจากวันนี้นะ”
หลินซือฉิงรับบัตรเอทีเอ็มมาเก็บใส่กระเป๋าสีชมพูอย่างรวดเร็ว การใช้อำนาจของหน่วย NSA เพื่อตรวจสอบบัญชีธนาคารของฉีหลินจือคงง่ายดายและไม่มีปัญหาอะไร
ต่อมาหญิงสาวก็กดโทรศัพท์โทรออกโดยไม่ลังเล และเรียกเ้าหน้าที่หลายคนของตระกูลหลินเข้ามาหา เพื่อประเมินอัญมณีมากมายที่อยู่ตรงหน้า รวมถึงตั้งราคาที่เหมาะสม
ภายใต้การคุ้มกันโดยลูกน้องของเตาปาสี่คน อัญมณีแต่ละชุดถูกส่งออกจากห้องประชุมไปยังห้องโถงของงานแสดงสินค้าและทำป้ายราคาอ้างอิงเริ่มต้น รวมถึงวันเวลาปิดประมูล ฯลฯ
ความจริงงานแสดงเครื่องประดับในครั้งนี้ก็เหมือนกับงานประมูลสินค้า เพียงแต่มีสินค้ามากกว่า นอกจากนี้ยังมีระยะเวลานานกว่าอีกด้วย ตราบเท่าที่มีลูกค้าให้ราคาสูงกว่ามูลค่าที่อ้างอิงเริ่มต้นถึงสองหรือสามเท่า ลูกค้าก็สามารถที่นำของกลับไปได้ในทันที
แน่นอนว่ามันเป็เกณฑ์สำหรับสินค้าคุณภาพสูงซึ่งส่วนใหญ่ถูกแสดงอยู่ที่ศูนย์การแสดงสินค้าชั้นสอง แต่ภายในศูนย์การแสดงสินค้าชั้นหนึ่งนี้ป้ายอ้างอิงราคาเป็เพียงสินค้าราคาต่ำธรรมดา ยกตัวอย่างเช่น แหวนเพชร กำไลหยก และอื่นๆ ที่มีราคาหนึ่งหมื่นถึงหนึ่งแสนเท่านั้น
สินค้าภายในศูนย์การแสดงสินค้าชั้นที่หนึ่งและสองมีความสำคัญต่างกันอย่างสิ้นเชิง
จากการคำนวณสินค้าแต่ละชิ้นของเย่เฟิง ถ้าขายพวกมันทั้งหมดจะรู้ว่ามีมูลค่ารวมกันประมาณสองร้อยล้าน แน่นอนว่าจะต้องขายทั้งหมดโดยไม่ต่ำกว่าราคาที่กำหนดไว้ และตราบเท่าที่ขายมันได้เพียงครึ่งเดียว เย่เฟิงก็จะกลายเป็เศรษฐีร้อยล้านทันที แน่นอนว่าเงื่อนไขของเงินที่ขายได้มันควรเป็ของเย่เฟิง
“เสี่ยวเย่ ในเมื่อนายช่วยพี่เื่นี้ หากเครื่องประดับเหล่านี้ขายไปแล้ว พี่จะไม่รับเงินนายสักบาทเดียว”
หลินซือฉิงหยอกล้อด้วยรอยยิ้ม
“มันจะดีเหรอ ทำตามระเบียบของพี่ แบ่งไปสักสองเปอร์เซ็นต์เถอะ”
เย่เฟิงส่ายหน้า เขารู้เป้าหมายของงานแสดงสินค้าที่หลินซือฉิงจัดว่าจะต้องทำกำไร ในฐานะผู้จัดงาน ผลกำไรโดยรวมของงานแสดงสินค้านี้อาจไม่ใช่เครื่องประดับราคาแพงที่สุด แต่พวกเขาเพียงเตรียมการลงทุน ใช้โอกาสของทรัพยากรเพื่อดำเนินการที่ยังไม่ได้เปิดตัวสินค้า หากในสามวันมียอดถึงสิบล้านก็ถือว่าเพียงพอแล้ว
เย่เฟิง้าเงินจำนวนมากก็จริง แต่เมื่อกับเงินไม่กี่ล้านที่จะมอบให้หลินซือฉิง เขาก็คร้านจะใส่ใจ ในเมื่อต้องพึ่งพางานแสดงสินค้าของอีกฝ่ายในการหาเงินก้อนนี้
หลินจื้อชิงที่อยู่ด้านข้างมองเครื่องประดับที่นำออกไปทีละกองจนต้องกลืนน้ำลาย พวกมันต่างเป็เงินทั้งนั้น น่าเสียดายที่ไม่ใช่ของเขา เื่นี้ทำให้เขาอิจฉาเล็กน้อยและไม่รู้ว่าเย่เฟิงหาของเหล่านี้มาจากที่ไหน
“น้องสาว ในเมื่อบูธชั้นที่สองเกือบเต็มแล้ว บูธชั้นที่หนึ่งก็ปล่อยให้เป็หน้าที่อีกสองบริษัทนั้นดีไหม?”
หลินจื้อชิงกลั่นกรองถ้อยคำจนเอ่ยปากออกมาในท้ายที่สุด
ตอนนี้ชายหนุ่มไม่ถือดีอีกแล้ว เขาแสร้งพูดช่วยหลินซือฉิงแต่แท้จริงแล้วเป็หลินซือฉิงต่างหากที่ช่วยเขา อย่างไรก็ตามตัวแทนบริษัททั้งสองบรรลุข้อตกลงกันแล้ว และยังได้ผลตอบแทนมากมายเช่นกัน ฉะนั้นจำต้องช่วยหาโอกาสเพื่อให้อีกฝ่ายกอบโกยเงิน
ถ้าอีกฝ่ายทำเงินได้ ตัวเขาหลินจื้อชิงก็จะได้เงินเหมือนกัน!
อย่างน้อยก็ต้องมั่นใจให้หนึ่งในนั้นได้มีส่วนร่วมด้วย
“บริษัททั้งสองมาจากไหนบ้าง?”
เมื่อหลินซือฉิงได้รับความช่วยเหลือจากเย่เฟิง ใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มหวาน ไม่เป็ปฏิปักษ์กับหลินจื้อชิงอีก ดูเหมือนว่าตอนนี้พี่ใหญ่้าทำเงินเพิ่มขึ้นเพียงอย่างเดียวและไมมีพิษภัยต่อเธอ ทำให้หญิงสาวคลายความระมัดระวัง
เมื่อกล่าวถึงผลประโยชน์ การช่วยเหลือของหลินจื้อชิงอาจจะเป็เื่ดีก็ได้ เนื่องจากได้สานสัมพันธ์ทั้งสองฝ่าย และยังสามารถเบี่ยงเบนความสนใจหลินเหรินเทียนได้เช่นกัน
“บริษัทบลูสกายจิวเวลรี่และหลิวกรุ๊ป”
หลินจื้อชิงบอกชื่อของทั้งสองบริษัท
“อะไรนะ หลิวกรุ๊ปเหรอ?”
หลินซือฉิงขมวดคิ้วมุ่น หลิวกรุ๊ปไม่ใช่บริษัทเกี่ยวกับจิวเวลรี่ เมื่อหลายปีก่อนเป็นักธุรกิจที่มีอำนาจภายในเมืองเยี่ยนจิง แต่ก็ตกต่ำลงเมื่อเร็วๆ นี้ อิทธิพลด้านอุตสาหกรรมอัญมณีก็อยู่ในระดับต่ำมาก สาเหตุจากคุณชายผู้เ้าชู้ เพียงไม่กี่ปีตระกูลหลิวก็ล้มละลาย จากตระกูลอันดับสองของเมืองเยี่ยนจิง ตระกูลหลิวก็กลายเป็เื่ตลกในแวดวงผู้มีอิทธิพลทันที
“น้องสาว ถือว่าให้โอกาสพวกเขา ยังไงเขาก็เคยยิ่งใหญ่มาก่อน”
หลินจื้อชิงค่อนข้างอึดอัดเช่นกัน รู้อยู่แล้วว่าหลิวกรุ๊ปชื่อเสียงไม่ค่อยดีเท่าไรนัก แต่อย่างไรมันก็ทำให้เขาได้ผลประโยชน์มากมาย จึงไม่ลังเลที่จะช่วยพูดสิ่งดีๆ ให้อีกฝ่าย
เย่เฟิงไม่รู้จักหลิวกรุ๊ปเลยสักนิด แต่คุ้นหู ‘บริษัทบลูสกายจิวเวลรี่’ มากกว่า จำได้ว่าตอนมายังโลกนี้ครั้งแรกก็ปะทะกับเพื่อนร่วมชั้นที่ชื่อเถียนโหย่วเลี่ยง และพ่อของเขาที่ชื่อเถียนจงข่ายผู้เป็ประธานของบริษัทบลูสกายแอดเวอร์ไทซิ่ง
หลังจากวันที่บุกคาสิโนของเตาปา พ่อลูกคู่นั้นก็ไม่ได้ปรากฏตัวให้เย่เฟิงเห็นอีกเลย ไม่รู้ว่าบริษัทบลูสกายแอดเวอร์ไทซิ่งและบริษัทบลูสกายจิวเวลรี่ในวันนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกันหรือเปล่า เื่นี้ทำให้เย่เฟิงซึ่งอยู่ในห้องประชุม้าเดินออกไปยลโฉมอีกฝ่าย แต่ไม่นานหลังจากนั้น ตัวแทนบริษัททั้งสองแห่งก็เข้ามายังห้องประชุมนี้
“โอ้ ไม่คิดว่าจะเป็หนุ่มคนนั้นจริงๆ”
เย่เฟิงเห็นชายหนุ่มผมมันวาวผ่านประตูเข้ามา นั่นมันเถียนโหย่วเลี่ยงไม่ใช่หรือ? แม้จะสวมเสื้อสูท แต่ชายคนนี้ยังมีท่าทางอันธพาล ยกเท้าสูงยามก้าวเดิน และถือดีเดินเข้าห้องประชุมอย่างมั่นใจในตัวเอง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้