“ในโลกนี้มีบางคนที่ต่ำทราม ไม่แสวงหาพลังในการบ่มเพาะ กระทั่งสมองก็เต็มไปด้วยความคิดที่น่ารังเกียจ” หลิ่วเฟยยิ้มขณะจ้องมองไปที่หลินเฟิงและกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงเ็าว่า “ข้าจะรอดูว่าเ้ามีสักกี่ชีวิตกัน”
หลิ่วเฟยกล่าวขณะที่กระโจนขึ้นจากบ่อน้ำพุร้อน เสื้อผ้านั้นเปียกชุ่มไปด้วยน้ำ ทำให้เสื้อแนบไปกับร่างกายจนเห็นส่วนเว้าส่วนโค้งได้อย่างชัดเจน เต็มไปด้วยเสน่ห์ ใบหน้าและเรือนร่างเช่นนี้ หากเป็โลกของหลินเฟิงก่อนหน้านี้ อาจจะทำให้ผู้คนจำนวนมากต้องคลั่งไคล้ในตัวนางอย่างแน่นอน
แต่หลินเฟิงที่เกือบตายไปแล้วหนหนึ่ง จิตใจจึงเข้มแข็งกว่าคนปกติ แม้ทัศนียภาพจะสวยงาม ทว่าจิตใจของเขาก็ยังมั่นคงแข็งแกร่งดุจหินผา
“ไม่คิดเลยว่านางจะเห็นข้าเป็เสือผู้หญิงที่้าจะนาง” ในใจของหลินเฟิงนั้นไร้ซึ่งคำพูด สายตาของเขากวาดมองร่างของหลิ่วเฟยแบบสบายๆ และมีรอยยิ้มชั่วร้ายปรากฏขึ้นที่มุมปาก หากนางว่าข้าว่าไร้ยางอายและหื่นกาม งั้นข้าก็จะแสดงให้เห็นว่าบ้ากามมันเป็เช่นไร
เมื่อหลิ่วเฟยเห็นรอยยิ้มที่ชั่วร้ายปรากฏอยู่บนใบหน้าของหลินเฟิง จึงคว้าคันธนูขึ้นมาทันที
“เ้านี่รนหาที่ตายจริงๆ”
เสียงแหลมคมของลูกศรดังขึ้นมาราวกับเสียงนกหวีด พร้อมกับประกายแสงสีขาวที่กะพริบขึ้นมา
“พลังแข็งแกร่งขึ้นมาก” หลินเฟิงคิดแต่สีหน้าก็ไม่ได้เปลี่ยนไป เขาใช้คลื่น์เก้ากระแทกโจมตีออกไป เสียงระลอกคลื่นที่รุนแรงดังกึกก้องอยู่ในอากาศ ลูกศรของนางจมหายไปในคลื่น์เก้ากระแทกและร่วงลงกับพื้น
ตอนนี้หลินเฟิงใช้คลื่น์เก้ากระแทกอย่างชำนิชำนาญ ทั้งยังมีพละกำลังมากกว่า 9,000 จิน ซึ่งสามารถสกัดกั้นลูกศรของหลิ่วเฟยได้อย่างง่ายดาย
“ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเ้าถึงยังกล้ามาที่นี่อีก ด้วยพลังเพียงแค่นี้คิดว่าจะทำอะไรข้าได้งั้นหรือ?”
หลิ่วเฟยปลดปล่อยจิติญญาแห่งลูกศรออกมา โดยปลายลูกศรเล็งไปทางหลินเฟิง จากนั้นก็หยิบลูกศรออกมาทาบกับคันธนูและดึงสายธนูออกจนกว้าง จนเกิดเสียงวิ้งๆ ขึ้นมา
“ไป”
ลูกศรที่นางปล่อยออกมา มันรวดเร็วและทรงพลังกว่าครั้งก่อนมาก!
หลินเฟิงร้องหึออกมาขณะที่ก้าวเท้าไปด้านหน้า ลมปราณในร่างเขาเพิ่มขึ้นหลายเท่า ชั่วพริบตาหมัดซ้ายของเขาก็ปล่อยคลื่น์เก้ากระแทกออกไป อากาศในบริเวณนั้นพลันหมุนเป็เกลียวอย่างบ้าคลั่ง
ลูกศรถูกขัดขวางไว้โดยคลื่นพลังของหลินเฟิง แต่มันยังคงพุ่งไปข้างหน้า ดังนั้นหลินเฟิงจึงชกคลื่น์เก้ากระแทกที่มือขวาออกไป คลื่นลูกใหม่รุนแรงกว่าลูกเก่าเสมอ
“หืม?” หลิ่วเฟยขมวดคิ้ว นางไม่คิดเลยว่าพลังของหมอนี่จะแข็งแกร่งและก้าวหน้ามากเช่นนี้
หลิ่วเฟยยกคันธนูขึ้นมาและกระหน่ำยิงลูกศรออกไป
“คิดว่ามีแต่เ้าเท่านั้นที่โจมตีเป็หรือ?” หลินเฟิงแสยะยิ้มอย่างเ็า เขาใช้เคล็ดวิชาเคลื่อนไหวดั่งเงาพุ่งเข้าหาหลิ่วเฟย เมื่อเผชิญหน้ากับลูกศรหลินเฟิงก็ชักดาบจากด้านหลังออกมา ดาบเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วดุจสายธารที่ไหลหลากในฤดูใบไม้ร่วง ทุกครั้งที่ดาบขยับจะต้องตัดลูกศรเป็สองซีก
แววตาของหลิ่วเฟยฉายแววประหลาดใจออกมา หลินเฟิงก้าวหน้ารวดเร็วเกินไปแล้ว จนสามารถตัดลูกธนูของนางได้อย่างง่ายดาย
“แมลงปอบนผิวน้ำ!”
ร่างกายของหลิ่วเฟยกลายเป็เงาพุ่งถอยหลังอย่างรวดเร็ว เพื่อไม่ให้หลินเฟิงสามารถประชิดร่างได้ ในขณะเดียวกันก็หยิบลูกศรอีก 3 ดอกขึ้นมาใส่ในคันธนูทันที
“เมื่อลูกศรทั้ง 3 ถูกยิงออกไปพร้อมกัน ลูกศรแต่ละดอกจะมีพลังกว่า 9,500 จิน ข้าจะดูสิว่าเ้าจะสามารถต้านทานมันได้อย่างไร” หลิ่วเฟยกล่าวอย่างเ็า แล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะยิงลูกศรทั้ง 3 ดอกได้ตัดผ่านอากาศออกไป
“อัสนีคำรน” คลื่นดาบที่ทรงพลังถูกฟันเป็แนวตั้งและแนวนอน ปะทะกับลูกศรที่ใกล้เข้ามา
“อัสนีกัมปนาท” หลินเฟิงอาศัยจังหวะที่คลื่นดาบอันแรกจู่โจมไปที่ลูกศร ฟันดาบออกไปอีกครั้ง ด้วยพลังที่แข็งแกร่งของคลื่นดาบ ทำให้สามารถทำลายลูกศรทั้งสามดอกได้ในพริบตาเดียว
“ได้ยังไง?” ม่านตาของหลิ่วเฟยหดตัวลงทันที ตอนนี้ความสามารถที่แข็งแกร่งที่สุดของนางก็คือ การยิงลูกศรพร้อมกันถึงสามดอก หากยิงลูกศรออกไป 5 ดอก มันจะมีพลังแค่ 9,000 จินเท่านั้น หากเป็การต่อสู้แบบกลุ่มจะมีประโยชน์มาก ด้วยพลัง 9,500 จินของลูกศรทั้งสามดอก สามารถจัดการกับคนหนึ่งคนได้อย่างสบาย
แต่หลินเฟิงกลับสามารถทำลายลูกศรทั้งสามดอกได้อย่างง่ายดาย
เมื่อเห็นรอยยิ้มมีเลศนัยของหลินเฟิง ร่างของหลิ่วเฟยก็ถอยอย่างต่อเนื่อง และยิงลูกศรทั้ง 3 ดอกไปที่หลินเฟิงอีกครั้ง
ซึ่งผลที่ได้ก็เหมือนกับครั้งแรก เพียงดาบเดียวก็สามารถทำลายลูกศรทั้งหมด
ดาบของหลินเฟิงจ่อไปที่คอหอยของหลิ่วเฟย นางรู้สึกสับสน นางจำได้ว่าเมื่อตอนที่เจอกับหลินเฟิงครั้งแรก เขาอ่อนแอมากและทำได้เพียงแค่หนีนางไป ครั้งที่สองที่เจอกันในหุบเขาเมฆพายุ หลินเฟิงก็ก้าวหน้าเพียงเล็กน้อย แต่กลับกล้าที่จะเริ่มโจมตีนางก่อน ซึ่งสุดท้ายเป็หลิ่วเฟยที่ปล่อยเขาไป ครั้งที่สามที่หลิ่วเฟยพบกับหลินเฟิง ผลลัพธ์กลับแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง! นางแพ้!!!
“ได้ยังไงกัน? ทำไมความก้าวหน้าของเขาถึงรวดเร็วเช่นนี้?”
หลิ่วเฟยพอใจในพร์ของตัวเอง ทุกๆ วันนางจะขัดเกลาและเพิ่มความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง แต่ทว่าั้แ่ที่หลินเฟิงปรากฏกายขึ้น ทำให้นางเหมือนโดนโจมตีอย่างหนักหน่วงจนตาสว่างขึ้นมา
หลินเฟิงเห็นสีหน้าของนางจึงแสยะยิ้มออกมา ทำให้หลิ่วเฟยรู้สึกหนาวสั่นไปทั่วร่าง
“เ้าจะทำอะไรกับข้า?”
หลิ่วเฟยมองไปที่หลินเฟิงขณะกัดริมฝีปากของนาง
หลินเฟิงจ้องมองไปที่ร่างของหลิ่วเฟยที่เปียกโชก มันช่างดูมีเสน่ห์และเย้ายวนชวนก่ออาชญากรรมเป็อย่างมาก หลินเฟิงจำต้องยอมรับว่า หญิงสาวตรงหน้างดงามมาก แต่ทว่าจิตใจของนางเหี้ยมโหดเกินไป
หลินเฟิงกวาดสายตามองเรือนร่างที่เย้ายวนของหลิ่วเฟย ก่อนจะส่งเสียงหึออกมา
“อย่าได้ประเมินตัวเองสูงเกินไปนัก ข้าไม่สนใจเ้า ออกไปซะ!”
หลินเฟิงพูดอย่างเ็า ก่อนจะเก็บดาบเข้าฝักและมุ่งหน้าเข้าไปในถ้ำ โดยไม่เหลือบมองหลิ่วเฟยอีกเลย
หลิ่วเฟยตกตะลึงไปชั่วขณะ ได้มองแผ่นหลังของหลินเฟิง แล้วกัดริมฝีปากของตัวเองจนเืไหลออกมา
ปีนี้หลิ่วเฟยอายุ 16 ปีและบรรลุขอบเขตนักรบลมปราณขั้นที่ 9 ด้วยจิติญญาแห่งลูกศรและทักษะการยิงธนูที่แข็งแกร่ง ในนิกายหยุนไห่มีศิษย์สายนอกเพียงไม่กี่คนที่สามารถเป็คู่ต่อสู้ของนาง อีกทั้งตัวนางก็มีพร์ที่โดดเด่น ประกอบกับใบหน้าที่สวยงาม ทำให้ในนิกายหยุนไห่แทบจะไม่มีใครที่ไม่รู้จักนาง กระทั่งศิษย์สายในและศิษย์หลักจำนวนมากล้วนสนใจนาง ดังนั้นหลิ่วเฟยจึงคิดว่าหลินเฟิงต้องเป็พวกลามกชั่วช้า ที่พบสาวงามเช่นนางไม่กี่ครั้งก็มุ่งหวังจะ เป็พวกหมายปองดอกฟ้า
อย่างไรก็ตามวันนี้หลินเฟิงไม่เพียงแค่ทำลายความมั่นใจในการบ่มเพาะพลังของนาง แต่ยังทำลายความภาคภูมิใจของนางด้วย
“อย่าได้ประเมินตัวเองสูงเกินไป!” คำพูดและสายตาของหลินเฟิงมันช่างเหยียดหยาม และแทงลึกเข้าไปในจิตใจของนาง
“ข้าจะทำให้เ้าพ่ายแพ้ให้จงได้” ในดวงตาของหลิ่วเฟย เผยร่องรอยอาฆาตขึ้นมา นางไม่ยอมจากไป แต่ะโลงไปในบ่อน้ำพุร้อนอีกครั้ง ทั่วทั้งร่างจมลงไปในบ่อ และรอจนลมปราณฟื้นฟูกลับมา นางค่อยดึงสายธนูง้างออก ขณะเดียวกันก็ผสานจิติญญาแห่งลูกศรลงไปด้วย แล้วยิงลูกศรที่แข็งแกร่งออกมา
เมื่อหลินเฟิงเดินเข้ามาในถ้ำ ก็พบว่าด้านในกว้างขวางมาก และยังมีอากาศที่สดชื่นอีกด้วย
ในส่วนลึกของถ้ำมีเตียงหินอยู่หนึ่งหลัง ซึ่ง้าปูด้วยผ้าสะอาดหนึ่งผืน เห็นได้ชัดว่าหลิ่วเฟยใช้ที่นี่เป็สถานที่บ่มเพาะพลัง
“ผู้หญิงคนนั้นเลือกสถานที่ได้ดีจริงๆ” หลินเฟิงพอใจกับถ้ำแห่งนี้เป็อย่างมาก นิกายหยุนไห่ดำรงมาได้หลายพันปี คนรุ่นใหม่มาแทนที่คนรุ่นเก่าเสมอ ถ้ำเหล่านี้ล้วนเป็คนรุ่นก่อนที่ขุดไว้ ทำให้คนรุ่นหลังได้ใช้ประโยชน์ อาจจะกล่าวได้ว่าเป็ดินแดนที่ไม่มีเ้าของ ดังนั้นจึงมีการแย่งชิงถ้ำเพื่อบ่มเพาะอยู่บ่อยๆ
หลินเฟิงเดินไปนั่งบนเตียงหินและปลดปล่อยจิติญญาแห่งความมืดออกมา ประสาทััที่เฉียบคมแพร่กระจายไปทั่วถ้ำ แม้จะเป็เพียงการเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ เขาก็สามารถรู้ได้ทันที
หลินเฟิงเข้าถึงฌานได้อย่างรวดเร็ว และดูดซับหยวนชี่ฟ้าดิน จากนั้นก็เริ่มการบ่มเพาะพลัง
เวลาได้ผ่านไปโดยไม่รู้ตัว
วันนี้ หยวนชี่ฟ้าดินภายในถ้ำเริ่มร้อนรุ่มขึ้นมา ร่างกายของหลินเฟิงกลายเป็แอ่งน้ำวนที่มองไม่เห็น และคอยดูดซึมหยวนชี่ฟ้าดินอย่างตะกละตะกลาม ขณะเดียวกันแสงสว่างสีขาวนวลก็เปล่งประกายขึ้นมา
เมื่อลืมตาขึ้น ดวงตาของเขาก็เป็ประกาย หลินเฟิงเผยรอยยิ้มอย่างพึงพอใจที่มุมปาก
“ขอบเขตนักรบลมปราณขั้นที่ 9 ตอนนี้ต่อให้ข้าต้องเผชิญหน้ากับผู้ฝึกยุทธ์ในขอบเขตแห่งจิติญญา ก็น่าที่จะต่อสู้กับอีกฝ่ายได้อย่างสูสี”
ตอนที่หลินเฟิงอยู่ในขอบเขตนักรบลมปราณขั้นที่ 8 ก็สามารถต่อสู้กับผู้ที่อยู่ในขอบเขตแห่งจิติญญาได้ ยิ่งตอนนี้เขาได้ทะลวงผ่านไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว การต่อสู้ในคราวหน้าเขาจะไม่าเ็สาหัสอีก และแน่นอนหลินเฟิงไม่คิดว่าตัวเองจะสามารถเอาชนะผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ในขอบเขตแห่งจิติญญาได้ เนื่องจากหลังจากที่ก้าวเข้าสู่ขอบเขตแห่งจิติญญา จิติญญาแห่งนักรบของหลายๆ คนจะถูกปลุกขึ้นมา ทำให้พวกเขาแข็งแกร่งเป็อย่างมาก วันนั้นที่เจอกับลู่เหลียง จิติญญานกอินทรีแม้ว่าจะร้ายกาจแต่ทว่ายังแข็งแกร่งไม่พอ เห็นได้ชัดว่าจิติญญาแห่งนักรบอาจจะยังไม่ถูกปลุกขึ้นมา ลู่เหลียงถือว่าเป็คนที่อ่อนแอที่สุดในหมู่ผู้ฝึกยุทธ์ระดับขอบเขตแห่งจิติญญา
การปลุกจิติญญาแห่งนักรบให้ตื่นขึ้นนั้น แม้ว่าทุกคนล้วนมีโอกาส แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะทำมันได้ นี่เป็ความรู้ทั่วไปที่ใครๆ ก็ทราบ
“ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว หวังว่าจะไม่พลาดงานชุมนุมประจำปีของตระกูลนะ” หลินเฟิงไม่ได้บ่มเพาะต่อ เขาลุกขึ้นยืนและเดินออกจากถ้ำ เมื่อเดินออกมาก็เห็นหลิ่วเฟยในบ่อน้ำพุร้อนเหมือนเดิม จึงอดไม่ได้ที่จะหยุดมอง
หลิ่วเฟยเห็นหลินเฟิงเดินออกมา ก็กวาดสายตามองหลินเฟิงอย่างเ็า ดูเหมือนนางจะรู้สึกว่า หลินเฟิงได้มีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง แต่เป็การเปลี่ยนแปลงที่นางไม่สามารถมองออกได้
“ข้าบ่มเพาะได้กี่วันแล้ว?” หลินเฟิงถามออกไปพร้อมรอยยิ้ม โดยไม่สนใจสายตาสงสัยของหลิ่วเฟย
“20 วัน” หลิ่วเฟยตอบอย่างเ็า
“นานขนาดนั้น?” หลินเฟิงขมวดคิ้ว เขาไม่คิดว่าจะใช้เวลานานขนาดนี้
หลินเฟิงก้าวเท้าเดินออกไปจากช่องผา การชุมนุมประจำปีใกล้จะมาถึงแล้ว ดังนั้นเขาต้องรีบกลับเมืองหยางโจว
“ตอนนี้เ้าอยู่ขั้นไหนแล้ว?” หลิ่วเฟยที่ทนเก็บงำความสงสัยเอาไว้ไม่อยู่ ก็อดไม่ได้ที่จะะโออกไป
“ข้าเพิ่งบรรลุขอบเขตนักรบลมปราณขั้นที่ 9” หลินเฟิงตอบ ก่อนจะหายตัวไปในทันที
หลิ่วเฟยพลันตกตะลึง ในใจของนางไม่รู้ว่าได้ลิ้มรสความรู้สึกอะไรแล้ว ที่แท้ หลินเฟิงอยู่ขั้นที่ 8 ของขอบเขตนักรบลมปราณก็สามารถเอาชนะนางได้ง่ายๆ ตลอดมานางคิดว่าตัวเองเป็อัจฉริยะ แต่มาตอนนี้กลับถูกคนที่ไหนไม่รู้ก้าวผ่านนางไปแล้ว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้