เสี่ยวชิงยังคงมีอารมณ์เหมือนเด็ก เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ก็ทิ้งเื่ราวอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นไว้ข้างหลัง นางยิ้มอย่างมีความสุขแล้วพูดเสียงดังว่า “ข้าทำรองเท้าออกมาคู่หนึ่งแต่ใส่ยังไงก็ใส่ไม่พอดี ท่านป้าหลี่จึงช่วยข้าแก้สักหน่อย เมื่อครู่ข้าก็เลยไปลองใส่มา หากข้ารู้ั้แ่แรกว่าพี่ติงจะย้ายเข้ามาข้าคงยืนรออยู่ตรงหน้าประตูตลอดแล้ว”
สองคนพูดคุยและหัวเราะกันไม่นานก็เข้าไปในห้อง เป็ไปตามที่คาดไว้ ของใช้เ่าั้ทำให้เสี่ยวชิงประหลาดใจอยู่ไม่น้อย และถอนหายใจ “นายน้อยช่างปฏิบัติต่อพี่สาวดีจริงๆ!”
ติงเหว่ยไม่อยากให้นางคิดมาก จึงพูดเปลี่ยนเื่ไปว่า “หลังจากนี้เ้าก็เล่นให้น้อยลงหน่อย เรียนรู้ฝีมือการทำอาหารกับข้าให้มากขึ้น หลังจากนั้นก็จะสามารถอยู่ในห้องแบบนี้ได้ ไม่รู้ว่าผู้ดูแลหลินซื้อของดีอะไรกลับมามากมายอีกแล้ว พวกเราไปปรึกษาเื่รายการอาหารกลางวันกันเถอะ”
“ได้” เป็อย่างที่คิดไว้เมื่อเสี่ยวชิงได้ฟังติงเหว่ยพูดดังนั้นก็มีความรู้สึกฮึกเหิมขึ้นมา ผู้ดูแลหลินนั้นมีฝีมือเก่งกาจไม่รู้ว่าเขาไปหาปลาสีขาวตัวใหญ่มาจากที่ใดอีกแล้ว…
เพียงชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านไปห้าหกวันแล้ว นอกจากติงเหว่ยจะเตรียมอาหารสามมื้อในแต่ละวัน ก็มีทั้งเดินไปรอบๆ จวน และยังเย็บผ้ากับท่านป้าหลี่และเสี่ยวชิงด้วย เดิมทีวันที่นางเห็นกงจื้อิโมโหนั้นยังเข้าใจว่าหลังจากนี้ก็ไม่ต้องไปทำหน้าที่กินข้าวเป็เพื่อนแล้ว คิดไม่ถึงว่าตอนกลางวันนางหยิบกล่องข้าวมาแล้วเขาแค่เหลือบตามอง นางก็นั่งลงอย่างเรียบร้อยทันที
เดิมทีนางรู้สึกหงุดหงิดตนเองที่ไม่มีความกล้ามากพอ กำลังคิดหาข้ออ้างที่จะได้อยู่ในครัว น่าเสียดายที่ท้องของนางกลับไม่ยอม หลังได้กลิ่นก็อยากหยิบถ้วยกับตะเกียบขึ้นมาโดยอัตโนมัติ ทั้งยังกินอย่างเอร็ดอร่อยเป็ที่สุด สุดท้ายนางก็ไม่พยายามหาวิธีอีกต่อไป กินด้วยกันก็กินด้วยกันเถอะ ไม่ต้องนอนเป็เพื่อนก็ดีแล้ว
บางครั้งคนที่ใช้เวลาอยู่ด้วยกันเป็เวลานาน ถึงแม้จะไม่มีความรู้สึกอะไรแต่ก็สามารถคุ้นเคยกันได้เป็อย่างดี ติงเหว่ยทำงานเย็บผ้ามาหลายวันแล้วนางจึงรู้สึกเบื่อหน่ายนิดหน่อย นางนึกถึงการอบรมให้การศึกษาลูกในท้องขึ้นมาดังนั้นจึงเอ่ยปากขอยืมบันทึกการเดินทางของกงจื้อิมาเล่มหนึ่ง
กงจื้อิอารมณ์ดีอย่างหาได้ยาก เขาหยิบบันทึกการเดินทางเล่มที่อยู่ข้างๆ แล้วส่งให้ติงเหว่ย และกงจื้อิยังพูดถึงผู้เขียนบันทึกการเดินทางเล่มนี้ด้วยสีหน้าที่ดูมีชีวิตชีวามากกว่าปกติถึงสามส่วน
ติงเหว่ยกล่าวขอบคุณและกำลังจะเดินออกจากเรือนหลังไป นางหันกลับไปเห็นเงาที่หลบซ่อนอยู่ข้างหน้าต่างกึ่งหนึ่ง เป็ชายที่มีรูปร่างสันทัดผู้หนึ่ง ไม่รู้ทำไมในใจนางกลับรู้สึกเศร้าขึ้นมา
ในเมื่อนางรับเงินเดือนจากบ้านตระกูลอวิ๋นมากขนาดนี้ แล้วยังได้กินอาหารดีๆ มีที่พักให้อยู่สบายๆ ตัวนางเองควรจะพยายามให้มากกว่านี้ใช่หรือไม่?
พอคิดได้เช่นนั้นติงเหว่ยก็ให้อวิ๋นอิ่งถือกล่องข้าวกลับไปก่อน หลังจากนั้นนางก็เดินกลับไปยังเรือนด้านข้างที่ท่านลุงอวิ๋นอาศัยอยู่
……
เรือนหลังนี้ไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากมาย แต่ทำความสะอาดไว้สะอาดมาก ที่มุมเรือนมีต้นกุ้ยฮวา [1] อยู่สองต้นและข้างใต้ก็มีเก้าอี้ตัวเล็กๆ ตั้งอยู่ โดยมีเซียงเซียงที่กำลังนอนคว่ำหน้าเย็บผ้าอยู่ ทันทีที่นางเห็นติงเหว่ยเดินเข้ามา นางก็โมโหจนลุกขึ้นมานั่งในทันที และแน่นอนว่าเมื่อนางนึกถึงอาการาเ็ขึ้นมาก็ทำให้นางโกรธจนแยกเขี้ยวยิงฟันอย่างน่าตกตะลึง
“เ้าคนชั้นต่ำ เ้ามาทำอะไรที่เรือนของข้า? ล้วนเป็เพราะเ้าทำให้ข้าโดนตี ข้าไม่ไปหาเ้าเพื่อคิดบัญชีก็ดีแค่ไหนแล้ว นึกไม่ถึงเลยว่าเ้ายังกล้ามาถึงที่นี่”
ติงเหว่ยไม่ได้มีความรู้สึกดีๆ อะไรกับเด็กสาวที่ “โง่บริสุทธิ์” คนนี้ นางไม่เข้าใจจริงๆ ต่อให้นางจะไม่ใช่คนที่ใครเห็นก็รักใครเห็นก็ชอบแต่อย่างน้อยก็ไม่มีใครเกลียด เหตุใดนางถึงกลายเป็เหมือนหนามในตา [2] ของเด็กคนนี้ไปได้
แต่ติงเหว่ยก็ไม่ไปคิดเล็กคิดน้อยกับสาเหตุ อย่างไรการขาดคนที่ชอบนางไปสักหนึ่งคน นางก็ไม่ได้เสียหายอะไร ดังนั้นก็ปล่อยเซียงเซียงไปเถอะ
พอคิดได้เช่นนั้นนางก็ตรงเข้าไปที่ห้องโถงโดยไม่ชายตามองแม้แต่น้อย เซียงเซียงกุมบริเวณที่โดนตีพร้อมกับะโด่าเสียงดังว่า “เ้าหยุดอยู่ตรงนั้นเดี๋ยวนี้ กลับมาหาข้าเดี๋ยวนี้ ข้ายังด่าไม่เสร็จเลยนะ!”
ติงเหว่ยไม่สนใจนางอยู่ดี และนางก็เจอท่านลุงอวิ๋นอยู่ในห้อง เมื่อเขาได้ยินเสียงหลานสาวะโด่าก็เปิดหน้าต่างทันที และตะคอกเสียงดังว่า “เซียงเซียง เ้ายังจะโวยวายอะไรอีก? ถ้ายังไม่เชื่อฟัง ข้าจะส่งเ้ากลับบ้านไป!”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ เซียงเซียงเหมือนกับโดนจี้จุดตายจึงหุบปากในทันที แต่ในตากลับเหมือนมีมีดเล็กๆ พุ่งตรงไปทางติงเหว่ยอย่างรวดเร็ว
ติงเหว่ยทักทายท่านลุงอวิ๋นั้แ่ไกลๆ นางยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านลุงอวิ๋นข้าเพิ่งออกมาจากเรือนของนายน้อย นึกขึ้นมาได้ว่าไม่ได้เจอท่านหลายวันแล้วก็เลยเดินมาดูสักหน่อย ข้าไม่ได้มารบกวนการพักผ่อนของท่านใช่หรือไม่?”
“ไม่เลย” ท่านลุงอวิ๋นยิ้มพร้อมโบกมือและเอ่ยทักทายว่า “รีบเข้ามาดื่มน้ำชาก่อน ข้างนอกแดดแรงมาก”
ติงเหว่ยก้าวผ่านห้องรับแขกเข้าไปยังห้องด้านใน ท่านลุงอวิ๋นกำลังนั่งตัวแข็งทื่ออยู่บนเก้าอี้นุ่ม และเห็นได้ชัดว่ายังมีร่องรอยของการลงโทษหลงเหลืออยู่ ติงเหว่ยไม่ได้ถามอะไรให้มากความ นางคิดถึงเหตุผลที่มาในวันนี้ หลังจากที่ดื่มชาไปคำหนึ่งแล้วจึงพูดออกมาอย่างตรงประเด็นว่า “ท่านลุงอวิ๋น ที่ข้ามาวันนี้เพราะมีเื่ที่ไม่เข้าใจจึงอยากขอให้ท่านช่วยชี้แนะสักหน่อย”
“มีเื่อะไรไม่เข้าใจ เชิญเ้าพูดออกมาได้” ท่านลุงอวิ๋นมองท้องที่นูนออกมาของติงเหว่ย ในตาเต็มไปด้วยความสุข ตอนนี้อย่าว่าแต่ติงเหว่ยจะถามสักกี่คำถาม ต่อให้อยากได้ดาวบนฟ้าเขาก็จะต้องเอาลงมาให้
ติงเหว่ยคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ท่านลุงอวิ๋น ท่านคงเคยได้ยินเื่ซุบซิบจากคนในหมู่บ้านมาบ้างใช่หรือไม่? ข้าขอพูดตามตรงว่าข้าได้เรียนรู้เื่บางอย่างมาจากท่านย่าเทวาูเา ถึงแม้คนที่ได้ยินจะรู้สึกประหลาดใจ แต่ไม่กี่เดือนมานี้ข้าก็สามารถช่วยที่บ้านเปิดร้านเล็กๆ ได้ถึงสองแห่งซึ่งนับว่ามีประโยชน์อยู่บ้าง นอกจากหญิงาุโท่านนั้นจะสอนข้าทำอาหารแล้วยังสอนเคล็ดลับบางอย่างให้แก่ข้า ประกอบกับไม่กี่วันมานี้ข้าเห็นร่างกายของนายน้อยเหมือนจะแย่ลงทุกวัน จึงอยากถามท่านเกี่ยวกับสาเหตุและอาการป่วยอย่างละเอียด เผื่อว่าข้าจะช่วยอะไรได้บ้าง”
“ท่านพูดว่าอะไรนะ?” เดิมทีตอนที่ท่านลุงอวิ๋นเริ่มฟังไม่กี่ประโยคก็ยังรู้สึกว่าไม่ถูกต้องแต่อันที่จริงคนในชนบทก็ความรู้น้อย ข่าวลือที่พูดต่อกันมามักเชื่อถืออะไรไม่ได้ ติงเหว่ยยอมใช้ชื่อในฐานะลูกศิษย์ของท่านย่าเทวาูเาเพื่อปกป้องเด็กที่อยู่ในท้องของนางก็ไม่ได้ผิดอะไร แต่สุดท้ายติงเหว่ยกลับพูดขึ้นมาว่าจะช่วยรักษาอาการป่วยให้กับกงจื้อิ เขาก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที
“เ้าสามารถช่วยรักษาโรคให้นายน้อยได้และเ้าก็สามารถทำให้นายน้อยกลับมาเดินได้อีกครั้งอย่างนั้นหรือ?”
ติงเหว่ยเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความหวังของท่านลุงอวิ๋น ดวงตาของเขาราวกับจะหลุดออกมา นางก็รู้สึกเสียใจภายหลังเล็กน้อย อย่างไรเื่นี้ก็ยังไม่แน่นอน หากถึงเวลานั้นช่วยอะไรไม่ได้แล้วทำให้ชายชราคนนี้ผิดหวังก็คงเป็เื่ไม่ดีอย่างแน่นอน
“ท่านลุงอวิ๋น ท่านอย่าตื่นเต้นจนเกินไป ข้าก็แค่มีวิธีการเล็กๆ น้อยๆ ยังต้องรู้สาเหตุและอาการป่วยของนายน้อยอย่างละเอียด หลังจากนั้นถึงจะบอกได้ว่าวิธีการเหล่านี้พอจะช่วยนายน้อยได้บ้างหรือไม่?”
“ตกลง” ท่านลุงอวิ๋นอาจรู้สึกตัวว่าท่าท่างแบบนี้จะทำให้ติงเหว่ยใเอาได้ ดังนั้นเขาจึงรีบเปลี่ยนท่าทางให้เรียบร้อย และพยายามระงับอาการร้อนใจอย่างถึงที่สุดก่อนพูดช้าๆ “แม่นางติง หากเ้ามีวิธีทำให้นายน้อยกลับมาเดินได้จริงๆ พวกเราทุกคนในสกุลอวิ๋นหรือแม้กระทั่งคนอีกมากมายจะต้องขอบคุณในบุญคุณครั้งนี้ของเ้า ต่อให้เป็เพียงวิธีเล็กๆ น้อยๆ เ้าก็ต้องลองดู อย่าได้ปล่อยผ่านโอกาสอะไรไป”
“ตกลง ท่านลุงอวิ๋นพูดถึงอาการป่วยของนายน้อยก่อนเถอะ” ติงเหว่ยได้ฟังก็หน้าแดง ในใจมีความกังวลมากขึ้นไปอีก
ท่านลุงอวิ๋นดื่มเหลียงฉาไปแก้วหนึ่งแล้วจึงเริ่มพูดอย่างรอบคอบว่า “ความจริงแล้วคุณชายของครอบครัวเราไม่ได้ป่วยเป็โรคอะไร แต่ถูกคนลอบทำร้ายโดยยาพิษชนิดหนึ่ง ยาพิษนี้ไม่ได้เอาชีวิตในทันที แต่จะค่อยๆ เปลี่ยนร่างกายของเขาอย่างช้าๆ จนกลายเป็เหมือนก้อนหินในที่สุด เขาจะไม่สามารถขยับได้แม้เพียงปลายนิ้ว วันนี้ก็ผ่านมาประมาณครึ่งปีแล้วนับั้แ่วันที่ถูกพิษ คนในครอบครัวหลายคนพยายามตามหาหมอที่มีชื่อเสียงว่าสามารถถอนพิษได้ท่านหนึ่ง ทว่าั้แ่เริ่มจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีข่าวคราวอะไร แม้กระทั่งซานอีที่พยายามค้นหายาแก้พิษตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน ก็ยังไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไร หากต้องรอไปอีกสองสามเดือนเกรงว่าแม้แต่ลิ้นของนายน้อยก็คงไร้ความรู้สึกไปแล้ว และถึงตอนนั้นก็…ก็คงหมดหนทางช่วยเหลือแล้ว”
ท่านผู้าุโนึกถึงผลลัพธ์ที่ตัวเขาไม่อยากเห็นมากที่สุดและอดไม่ได้ที่จะน้ำตาไหลออกมา เขาสะอึกสะอื้นแล้วพูดว่า “ข้าสงสารคุณชาย ปีที่แล้วใน่เวลานี้เขายังอยู่ที่ชายแดน ฆ่าฟันเหล่าศัตรูเพื่อปกป้องประเทศ แต่วันนี้กลับทำได้แค่นอนอยู่บนเตียง ในใจไม่รู้ว่าต้องทุกข์ทรมานขนาดไหน เขาเอาแต่อดทนไว้และไม่ยอมพูดอะไร บ่าวอย่างข้าแทบอยากจะสลับให้เป็ร่างของข้าแทน!”
ติงเหว่ยได้ฟังแล้วก็รู้สึกเศร้าใจ นางจึงรีบพูดให้กำลังใจว่า “ท่านลุงอวิ๋นโปรดวางใจ นายน้อยเป็คนที่มีวาสนาดี เป็คนดี์ย่อมต้องคุ้มครอง [3] อีกไม่นานต้องได้พบกับหมอเทวดาท่านนั้นเป็แน่”
“ขอให้เป็เช่นนั้นเถอะ” ท่านลุงอวิ๋นใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาอย่างลวกๆ และมองทางติงเหว่ยอย่างกระตือรือร้น “แม่นางติง ท่านเรียนเคล็ดลับอะไรมาจากเทพเซียนหรือ ถึงจะสามารถช่วยนายน้อยของพวกเราได้?”
ติงเหว่ยขมวดคิ้วแล้วคิดพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง อาการของคุณชายสกุลอวิ๋นคล้ายกับที่นางเดาเอาไว้ก่อน แม้ว่านางจะไม่รู้ว่าเกิดจากพิษ แต่ดูอย่างไรก็เหมือนกับภาวะหลอดเืในสมองแตกทำให้เืไหลไปกดทับเส้นประสาทจนทำให้มีอาการเนื้อตัวชาของในชาติก่อน
ติงเหว่ยจำได้ว่าในยุคก่อนคุณยายของนางก็เป็โรคนี้ พ่อแม่ของนางยุ่งกับการทำงานในร้านน้ำชา ั้แ่เล็กจนโตนางก็อยู่กับยาย ดังนั้นจึงหาหนังสือที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมาอ่าน หากวันไหนมีเวลาว่างก็จะง่วนอยู่กับยายทั้งวัน ไม่ว่าจะนวด ประคบร้อน ประคองเดิน ตุ๋นของบำรุง ทำทุกวิถีทางจนทำให้คุณยายที่มีอาการอัมพาตครึ่งซีกสามารถเดินไปมาได้หลายก้าว ทั้งครอบครัวก็มีความสุขมาก คุณป้าของนางยังให้รางวัลเป็โน้ตบุ๊กหนึ่งเครื่อง แม้ว่าหลังจากนั้นคุณยายจะเสียชีวิต แต่ก็ไม่ได้ทุกข์ทรมานเพราะอาการของโรคเท่าไร เวลาเดินใบหน้าก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
หากวันนี้ดูแลคุณชายอวิ๋นเหมือนกับที่ดูแลคุณยายในตอนนั้น โดยใช้การออกกำลังกายร่วมกับยาและกินอาหารที่เหมาะสม ดูแลครบทั้งสองทาง แม้ว่าจะไม่สามารถฟื้นฟูจนกลับมาเดินได้ แต่อย่างน้อยก็น่าจะช่วยชะลอไม่ให้อาการทรุดลงกว่าเดิม
เมื่อคิดได้เช่นนั้นนางก็พูดอย่างลังเลว่า “ท่านลุงอวิ๋น ข้ามีความคิดง่ายๆ บางอย่าง คาดว่าจะสามารถช่วยได้บ้าง แต่ข้าไม่สามารถรับประกันว่าจะได้ผล แต่จะไม่มีผลเสียกับร่างกายของนายน้อยอย่างแน่นอน หากท่านเชื่อมั่นในตัวข้า ก็ให้ข้าลองดูก่อนสักสองวันเป็เช่นไร?”
เมื่อท่านลุงอวิ๋นได้ฟังคำพูดนี้ ความหวังในดวงตาของเขาก็เหมือนกับดวงดาวบนท้องฟ้าใน่รุ่งสางที่ค่อยๆ มืดลง
“หากไม่มีผลเสียกับร่างกายของนายน้อย เ้าจะลองดูก็ได้ แต่ยังต้องคุยกับซานอีอีกสักหน่อย ถึงยังไงเขาเองก็เป็หมอ และยังคุ้นเคยกับอาการป่วยของคุณชายด้วย”
“ตกลง ท่านลุงอวิ๋นโปรดวางใจ ข้าจะระมัดระวังให้มาก”
“งั้นก็ดี ท่าน้าวัตถุดิบ สมุนไพร หรือของใช้อะไรก็ให้ไปหาซานอีกับหลินลิ่วสองคนนี้ ขอให้์คุ้มครองให้นายน้อยลุกขึ้นมายืนได้ในเร็ววัน”
ติงเหว่ยไม่กล้ารับปาก นางยิ้มแล้วดื่มชา พูดคุยอีกนิดหน่อยแล้วจากไปอย่างรวดเร็ว
……
ในคืนนี้ตะเกียงน้ำมันในห้องของติงเหว่ยสว่างอยู่ตลอด จนกระทั่งอวิ๋นอิ่งเติมน้ำมันไปสองรอบแล้ว และยังเอ่ยปากเร่งนางอีก ติงเหว่ยถึงได้นวดตาที่เหนื่อยล้าแล้วยอมพักผ่อน
วันรุ่งขึ้นหลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ ติงเหว่ยกลับไม่ได้ออกไปในทันที นางร้องเรียกอวิ๋นอิ่งให้เข้ามาช่วยเก็บกวาดโต๊ะ หลังจากนั้นก็ยกเก้าอี้มาวางและนั่งลงข้างเตียง
กงจื้อิขมวดคิ้ว ั์ตาของเขาเต็มไปด้วยความสงสัย
ในใจของติงเหว่ยก็มีความกังวลอยู่ไม่น้อย แต่นางตัดสินใจแล้วว่าจะลงมือและไม่มีเหตุผลที่ต้องถอยหลังกลับ ไม่ต้องพูดถึงว่าท่านลุงอวิ๋นดีกับนางมากมายขนาดไหน อย่างไรนางก็ต้องพยายามอย่างเต็มที่เพื่อตอบแทนบุญคุณ รวมถึงเงินเดือนที่นางได้รับมาสูงมาก
“นายน้อย ท่านนอนอยู่บนเตียงทั้งวันเช่นนี้ เลี่ยงไม่ได้ที่จะมีอาการชาที่ฝ่ามือและฝ่าเท้า ข้าน้อยได้คุยกับท่านลุงอวิ๋นแล้ว หลังจากนี้ข้าจะนวดให้ท่านทุกวัน วันละครึ่งชั่วยาม เพื่อช่วยบำรุงรักษาให้เืไหลเวียนดี ถ้าหากท่านเชื่อในตัวข้าน้อย ก็ขอให้ข้าน้อยได้ลองสักหน่อยเถอะ”
-----------------------------------------
[1] ดอกกุ้ยฮวา 桂花 หมายถึง ดอกหอมหมื่นลี้ เป็หนึ่งในสิบดอกไม้จีนโบราณที่มีชื่อเสียง เป็ไม้ดอกในสวนที่มีความสวยงามและกลิ่นหอม โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน่กลางฤดูใบไม้ร่วง ดอกหอมหมื่นลี้จะบานสะพรั่งจวบจนยามค่ำคืน และยังคงได้กลิ่นหอมอบอวล
[2] หนามในตาหรือหนามตำตา 眼中钉肉中刺 หมายถึง ไม่ถูกชะตา เกลียดเข้ากระดูก
[3] คนดี์ย่อมคุ้มครอง 吉人自有天相 หมายถึง คนดีจะได้รับการช่วยเหลือจาก์เบื้องบน คล้ายกับสำนวนไทยว่า คนดีผีคุ้ม