อย่างไรก็ตาม หลิวซุนซื่อยังคงปากแข็ง “กลัวอะไร คุณชายผู้นั้นเป็ถึงบุตรแห่งตระกูลสูงส่ง จะเหลียวแลอาเล็กได้อย่างไรกัน”
หลิวจูเอ๋อร์สบายใจขึ้นทันใด เมื่อคิดอย่างละเอียดก็รู้สึกว่ามารดาของตนพูดได้ไม่ผิด “จะว่าไปก็ถูกต้อง หากว่าชอบพอจริง จากไปครานี้เกรงว่าคงจะเอ่ยขอพาตัวอาเล็กไปด้วยแล้ว”
หลิวซุนซื่อฟังคําพูดของนางแล้วก็ปลื้มใจ “จูเอ๋อร์ของข้าหลักแหลมที่สุด ผู้มั่งมีเช่นนี้ใช่ว่าจะเข้าถึงได้ง่ายดาย”
“ท่านแม่ รีบดูเร็ว คุณชายท่านนั้นกำลังจะให้สินน้ำใจแก่อาเล็กแล้วก็ท่านย่าแล้ว”
ดวงตาของหลิวจูเอ๋อร์นั้นคมกริบ มองเห็นรถม้าที่จอดอยู่ด้านนอกลานบ้าน คนสี่คนกำลังยกถาดลงมาคนละหนึ่งถาด นางเคยเห็นคนรวยในตำบลทำเื่เช่นนี้มาก่อน
อย่างไรก็ตาม คนที่ยืนอยู่ด้านนอกทั้งสี่คนล้วนแต่งกายดูดี ผ้าที่สวมใส่ก็ไม่ใช่เนื้อผ้าที่คนธรรมดาทั่วไปหาซื้อได้
ในใจของนางยิ่งเกิดความอิจฉาริษยาอาเล็กที่โชคดี
หลิวซุนซื่อเองก็อิจฉาตาร้อนเช่นเดียวกัน นางได้แต่หน่ายใจที่เื่นี้ไม่ใช่สิ่งที่นางอาจเอื้อมได้ หากตนเองยื่นมือเข้าไป เกรงว่าหลิวฉีซื่อคงจับหั่นแขนทันที แล้วหาภรรยาน้อยให้กับหลิวเหรินกุ้ย
ส่วนหลิวฉีซื่อกับหลิวเสี่ยวหลันที่กำลังถูกโกรธแค้น ขณะนี้กำลังพยายามเผยความยินดีปรีดาจากก้นบึ้งในจิตใจออกมา
ได้ยินว่าพ่อบ้านที่แซ่หวังนั่นพูดว่าอย่างไร?
เขาบอกว่าได้นำสินน้ำใจมาให้ด้วย!
หลิวเสี่ยวหลันและหลิวฉีซื่อเพียงแต่อยากให้พ่อบ้านหวังรีบนำของตอบแทนมาให้เสียที
ซูจื่อเยี่ยส่งสัญญาณทางสายตาให้พ่อบ้านหวัง “ส่งมอบรายการของตอบแทนให้หลิวฉีซื่อ”
แม้ว่าเขาจะรังเกียจหลิวฉีซื่อ แต่ต่อหน้าเขาก็ยังคงสุภาพอยู่
พ่อบ้านหวังตอบรับ แล้วเดินไปทางหลิวฉีซื่อพร้อมกับยิ้มแล้วเอ่ย “หลิวฮูหยิน ขอบพระคุณยิ่งนัก นายน้อยของข้ารบกวนพวกเ้ามานาน และต้องให้หลิวฮูหยินดูแลถึงสองเดือน นายน้อยของเราบอกว่า ต้องมอบของตอบแทนอย่างดีงามให้แก่ท่าน”
ไม่รู้เพราะเหตุใด คำพูดของพ่อบ้านหวังทำให้ใบหน้าของซูจื่อเยี่ยนั้นเ็ากว่าเดิม
พ่อบ้านหวังรู้สึกเพียงความเย็นเฉียบที่แผ่ออกมาและความกดดันจากด้านข้าง พลันรู้สึกได้ว่านายของตนเองกำลังไม่พอใจ จึงรีบแก้คำพูด “นายน้อยของข้าบอกว่า ทั้งครอบครัวของฮูหยินมีบุญคุณกับจวนของเรา ยามนี้ถือว่าสนิทสนมกัน ต่อไปการไปมาหาสู่ก็จะง่ายดายยิ่งขึ้น ต่อไปหากว่าฮูหยินมีโอกาสได้ไปยังเมืองหลวง ก็จงส่งข่าวไปยังจวนผิงหวัง เราจะทำการต้อนรับครอบครัวของฮูหยินเป็อย่างดี ต่อไปหากมีเทศกาลอันใดก็จะส่งคนมาเยี่ยมเยียน อย่างไรก็ตามถือว่าเป็ผู้มีพระคุณของนายน้อย นับจากนี้ถือว่าเป็คนกันเอง”
แม้พ่อบ้านหวังจะกล่าวเช่นนี้ แต่สายตาของเขาหยิ่งผยองยิ่งนัก ประตูของจวนผิงหวังนั้นสูงส่ง แม้ว่าจะเป็ครอบครัวที่ช่วยชีวิตนายน้อย แต่ก็ใช่ว่าใครก็สามารถเข้าไปได้เสียเมื่อไร
แน่นอนว่า คำพูดของเขายังคงความสวยงามไว้
เพียงแต่เขาประเมินความไร้ยางอายและความละโมบของหลิวฉีซื่อต่ำไปหน่อย ตอนนี้นางยิ้มจนปากหุบไม่ลงและเอ่ยอย่างเร็วพลัน “ต่อไปอีกไม่กี่ปี จำต้องไปท่องในเมืองหลวง จะได้ไปให้เห็นกับตาถึงความรุ่งเรืองของเมืองหลวง”
“เป็เื่ดี ฮูหยินให้คนส่งข่าวมาได้เลย” พ่อบ้านหวังได้ยินว่าเป็เื่อีกหลายปี ความลำบากใจจึงผ่อนคลายลง
เขายังกลัวว่าครอบครัวของหลิวฉีซื่อจะตอแยไม่ปล่อย ก่อนที่จะมา นายท่านของเขาได้กำชับอยู่หลายรอบ การช่วยชีวิตนั้นต้องขอบคุณ แต่ห้ามให้คนยากจนเหล่านี้เกี่ยวพันกับบุตรชายของตนเด็ดขาด
เมื่อพ่อบ้านหวังเห็นว่าหลิวฉีซื่อไม่ตอแย จึงชูมือขึ้นปรบมือสองที จากนั้นคนรับใช้ทั้งสี่ด้านนอกลานบ้านก็เรียงรายกันเข้ามาพร้อมกับถาดไม้คนละถาดยืนอยู่ด้านล่างบันไดเรือนหลัก
ปากของหลิวฉีซื่อฉีกออกอย่างไม่สามารถควบคุมได้ จนปัญญา เพราะของมีค่ามากมายกำลังทำให้ดวงตาของนางพร่ามัว นางไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ารอยยิ้มของตนเองนั้นสะท้อนจนทิ่มแทงสายตาผู้อื่นเพียงใด
ซูจื่อเยี่ยนั่งอยู่ตรงนั้นโดยไม่ได้มองนางด้วยซ้ำ แต่มองไปที่ดวงตาของหวังกวนอย่างหงุดหงิดใจ
พ่อบ้านหวังสับสนไปต่อไม่ถูก ตกลงนายน้อยของเขาหมายความอย่างไรกัน?
เขาก็ทำตามความ้าของนายน้อยแล้วไม่ใช่หรือ จวนผิงหวังจะทำดีต่อครอบครัวนี้ไม่ใช่หรือ?
ไม่ว่าอย่างไร พ่อบ้านหวังก็เริ่มเปลี่ยนความคิด ท่าทีที่มีต่อหลิวฉีซื่อก็ไม่ได้กระตือรือร้นเท่าก่อนหน้า เพียงแต่ยังคงรักษามารยาทไว้
น่าเสียดายที่หลิวฉีซื่อเข้าใจเพียงเล็กน้อยตามที่เห็น มิฉะนั้น จำต้องแยกแยะจากคำพูดของเขาได้ว่านั่นคือการพูดอย่างพอเป็พิธี แต่แท้จริงเป็การแสดงถึงความห่างเหินของพ่อบ้านหวัง
พ่อบ้านหวังอธิบายอย่างสุภาพ “หลิวฮูหยิน นายท่านของข้าบอกว่าฮูหยินคือบุคคลที่ดีงาม เกิดในพื้นที่เกษตรกร ย่อม้ามีที่นามากมาย ด้วยเหตุนี้ จึงมอบเงินแท่งหิมะทั้งหมดห้าสิบตำลึงให้แก่ฮูหยิน”
เงินแท่งหิมะห้าสิบตำลึง!
หัวใจของหลิวฉีซื่อเบ่งบาน แม้ว่าตอนที่เรียกหมอท้องถิ่นมารักษาซูจื่อเยี่ยจะใช้จ่ายเงินไม่น้อย แล้วยังเชือดไก่สิบกว่าตัวในบ้านมาตุ๋นน้ำแกงให้เขากินจนหมด แต่มูลค่าก็ไม่ได้สูงถึงห้าสิบตำลึง
นางแอบคำนวณในใจ พลันรู้สึกว่าได้กำไรมากโขทีเดียวสำหรับงานนี้
ยิ่งไปกว่านั้นพ่อบ้านหวังยังส่งสัญญาณให้คนรับใช้อีกคนถือถาดผ้าไหมมา ้ามีผ้าอยู่หลายผืน จากนั้นเขาจึงเอ่ย “ผ้าไหมเหล่านี้เป็ที่นิยมที่สุดในเมืองหลวง นายน้อยของข้าบอกว่าหลายวันมานี้ได้สร้างความลำบากให้แก่ฮูหยินไม่น้อย จึงขอมอบให้แก่ฮูหยิน นายท่าน และแม่นางหลิวเสี่ยวหลันไว้ได้ตัดชุดสวมใส่”
“นี่จะรับไว้ได้อย่างไรกัน แต่ว่าในเมื่อลำบากขนมาแล้ว นับว่าคุณชายน้อยเป็ผู้ที่์ทรงโปรด ย่อมมี์คอยปกปักษ์” หลิวฉีซื่อนับั้แ่รู้ว่าซูจื่อเยี่ยมาจากจวนผิงหวัง ก็แทบอยากจับเขาบูชาไว้บนแท่น แล้วคำนับเช้าเย็นด้วยธูปสามดอก
หลังจากที่นางพูดจบ ก็เลื่อนสายตาไปบนมือของคนรับใช้อีกสองคน ไม่กระจ่างว่าในเมื่อเตรียมผ้าไหมไว้ให้พวกนางแล้ว เหตุใดจึงยังเตรียมผ้าฝ้ายกับตำราอีก?
คงไม่ใช่เพราะรู้ว่าบุตรชายคนเล็กของนางเป็ผู้เล่าเรียน ด้วยเหตุนี้จวนผิงหวังจึงได้เตรียมตำราให้เขาเป็พิเศษหรอกนะ?
พ่อบ้านหวังเผชิญกับสายตารำคาญใจของซูจื่อเยี่ย พลันเอ่ยด้วยความประหม่าว่า “ขอเรียนถามหลิวฮูหยิน ไม่ทราบว่าบุตรชายสามของฮูหยินอยู่บ้านหรือไม่?”
“ซานกุ้ยหรือ?” หลิวฉีซื่อไม่รู้ว่าเหตุใดเขาถึงถาม แต่ตอบเพียงว่า “อยู่สิๆ”
เมื่อคิดได้ นางจึงยืนอยู่ตรงหน้าห้องโถงแล้วะโไปทางห้องปีกทิศตะวันตก “ซานกุ้ย ซานกุ้ย มานี่เร็วเข้า”
ด้วยความรีบร้อน ชั่วขณะนั้นหลิวฉีซื่อลืมตัวไป ตระกูลใหญ่นั้นถือเื่ระเบียบธรรมเนียมประเพณียิ่งนัก ส่วนการะโโหวกเหวกอย่างที่หลิวฉีซื่อทำนั้น ยิ่งทำให้พ่อบ้านหวังดูแคลน
“ท่านแม่ ข้ามาแล้ว” เสียงของหลิวซานกุ้ยดังขึ้นในห้องปีกทิศตะวันตก
เมื่อซูจื่อเยี่ยได้ยินเสียงของเขา แววตาก็นิ่งขรึม ความรำคาญใจในสายตาหายไปไม่น้อย
ดวงตาของหลิวฉีซื่อเต็มไปด้วยเงินห้าสิบตำลึง หวังเพียงอยากตะครุบเงินเ่าั้เข้ามาไว้ในอ้อมอก
หลิวซานกุ้ยสวมชุดที่มีแต่รอยปะเต็มตัว แต่ก็ดูสะอาดสะอ้าน เดินออกมาจากห้องปีกทิศตะวันตกพร้อมกับแววตาสดใสบริสุทธิ์
เมื่อพ่อบ้านหวังเห็นเขา สีหน้าจึงเปลี่ยนไปเล็กน้อย แล้วส่งสายตาไปทางซูจื่อเยี่ยว่า บรรพบุรุษน้อย ท่านกำลัง้าเล่นอะไรอยู่หรือ?
เขารู้สึกว่าชีวิตตาเฒ่าของเขา ช้าเร็วคงต้องถูกบรรพบุรุษตัวน้อยเล่นงานจนตายแน่นอน
ซูจื่อเยี่ยเหลือบมองเขาเบาๆ โดยไม่ส่งเสียง และนั่งชิมชาอย่างเชื่องช้า ทั้งที่เป็เพียงใบชาที่สากคอทั่วไป แต่ขณะนี้เขากลับแกล้งทำทีเป็ลิ้มชิมรสชาชั้นดี
ในเวลานี้พ่อบ้านหวัง้ากลับบ้านแล้วโอบกอดขาของนายน้อย ได้โปรดปล่อยข้าไปเถิด มิเช่นนั้นเขาคงตายโดยไม่รู้กระทั่งสาเหตุ
เนื่องจากหลิวซานกุ้ยทำงานใช้แรงงานหนัก รูปร่างจึงสูงใหญ่ ฝีเท้ามั่นคงหนักแน่น
“ท่านแม่ คุณชายน้อย แล้วก็ท่านนี้...”
“เ้าเรียกข้าว่าพ่อบ้านหวังย่อมได้” พ่อบ้านหวังเป็ผู้มีไหวพริบจึงรีบเผยรอยยิ้ม ไม่รู้เพราะเหตุใดคนผู้นี้ถึงอยู่ในสายตาของนายน้อย
“หลิวซานกุ้ยใช่หรือไม่ นายท่านของข้าได้ยินว่าท่านชอบทำการเกษตร จึงได้สรรหาตำราการทำนามาให้ และได้ยินว่าบุตรสาวของท่านได้ปรนนิบัติดูแลเื่อาหารการกินของนายน้อย จึงมอบผ้าฝ้ายเนื้อละเอียดให้แก่พวกท่านเป็ของตอบแทน”
เสียงของพ่อบ้านหวังสิ้นสุดลง หลิวฉีซื่อท่าทีสลดใจและนึกดูแคลน นางนึกว่าจะเป็ของล้ำค่าอะไร ที่แท้ก็เป็ตำราที่สอนการทำนา
หลังจากรู้ว่ามันเป็ตำราทำนา นางจึงพักความคิดเื่ที่จะให้หลิวซานกุ้ยยกตำราเหล่านี้ให้แก่บุตรชายคนเล็กไป
นางมองตามคำพูดของพ่อบ้านหวัง คนรับใช้คนนั้นกำลังแกะห่อผ้าพอดี
นางจ้องมองไปที่มัน ตามคาด มันคือผ้าฝ้ายธรรมดา แม้ว่าจะไม่มีขายในตำบล แต่หากไปเมืองฝู่คงมีขายอยู่ทั่วทุกที่
ผ้าฝ้ายที่พ่อบ้านหวังระบุนั้นเป็สินค้าธรรมดาทั่วไป ไม่ได้มีลวดลายอันใด มีเพียงสองผืนที่มีลายดอก เดาว่าคงเตรียมให้หลิวชิวเซียงกับหลิวเต้าเซียง
ซูจื่อเยี่ยเห็นว่ามอบของให้เรียบร้อย จึงวางจอกน้ำชาลง เห็นทีการจะได้เห็นแม่สาวน้อยอีกหนคงยาก จึงไม่อยากเสียเวลาต่อ “ท่านป้าหลิว หลายวันมานี้ขอบน้ำใจมาก พ่อบ้านของข้าพอได้รับข่าวก็รีบมา ไม่ได้ตระเตรียมมาได้ครบถ้วนดีนัก”
หลิวฉีซื่อได้ยินดังนั้น เดิมทีความคิดที่้าเล็งผ้าฝ้ายเ่าั้จึงต้องเลื่อนไปก่อน
ตอนนี้คือเดือนพฤษภาคม อีกสองถึงสามเดือนก็จะเป็วันที่สิบห้าเดือนแปด วันไหว้พระจันทร์ ไม่รู้ว่าที่พ่อบ้านหวังพูดก่อนหน้านั้นจะเป็เื่จริงหรือไม่
“ไม่เห็นต้องเกรงใจกันเพียงนี้ ขอเพียงคุณชายน้อยมีเวลาก็มาเที่ยวเล่นที่นี่อีก ยายเฒ่าอย่างข้าหากได้เห็นคุณชายน้อยอยู่ดี ก็พึงพอใจแล้ว”
นางกำลังลองหยั่งเชิงสินะ? ซูจื่อเยี่ยดูแคลนในใจ นั่งนิ่งไม่ส่งเสียง
พ่อบ้านหวังเป็คนฉลาดหลักแหลม เขามองออกเสียที คนที่นายน้อยให้ความสำคัญในบ้านหลิวคือหลิวซานกุ้ย ส่วนหลิวฉีซื่อกับหลิวเสี่ยวหลันนั้นคือตัวแถม คงเพราะเกี่ยวข้องกับเื่ที่ช่วยชีวิต ถึงให้ของตอบแทนแก่หลิวฉีซื่อมากมาย ลำพังผ้าไม่กี่ผืนนั้นก็มีมูลค่าเท่ากับยี่สิบกว่าตำลึงแล้ว
“หลิวฮูหยินวางใจเถิด แม้ว่านายน้อยจะไม่มีเวลา นายน้อยก็ไม่มีทางลืมเป็แน่ เมื่อใดที่เป็เทศกาลต้องส่งคนมาเยี่ยมเยียนท่านแน่ ถึงจะทำให้นายน้อยของเราหมดห่วง”
นี่เป็เพียงเื่ที่ส่งไปยังฝ่ายดูแลของกำนัลก็จบ เพิ่มมาอีกหนึ่งบ้านก็ไม่ได้ใช้เงินมากมายเท่าใด แล้วยังสร้างชื่อเสียงให้แก่นายน้อยได้อีก พ่อบ้านหวังจึงไม่ได้บอกอะไรชัดเจนนัก
ซูจื่อเยี่ยไม่สนใจสิ่งเหล่านี้ แต่แค่ไตร่ตรองในใจ กลับไปต้องกำชับกับพ่อบ้านหวัง ครั้งหน้าเวลาจัดเตรียมของให้ครอบครัวหลิวซานกุ้ย ต้องเพิ่มให้อีกหลายอย่าง เช่นนี้ดูใจดำเกินไป
หากพ่อบ้านหวังรู้ว่าเขากําลังคิดอะไรอยู่ คงจะร้องป่าวว่าผิดไปแล้ว เขาได้ยินว่าซูจื่อเยี่ยส่งจดหมายมา แต่ไม่ได้ระบุชัดเจนว่าผู้ใดคือคนที่ช่วยชีวิต เขาจึงเอ่ยถามที่คนส่งจดหมาย ถึงรู้ว่านายน้อยกำลังพักรักษาตัวอยู่ที่บ้านแซ่หลิวหลังนี้
ดังนั้นพ่อบ้านหวังจึงไม่รู้เลยเกี่ยวกับการมีตัวตนของแม่สาวน้อยหลิวเต้าเซียง
“ออกเดินทางได้” ซูจื่อเยี่ยไม่เห็นหลิวเต้าเซียง ทำให้ไม่สามารถบอกลานางได้ เขาจึงอารมณ์เสียเล็กน้อยและยิ่งไม่ชอบหน้าคู่แม่ลูกเข้าไปใหญ่
ทันทีที่เขาพูดเช่นนี้ พ่อบ้านหวังก็ดำเนินการทันที
คนรับใช้ทั้งสี่คนส่งของเข้าไปในเรือนหลักกับห้องปีกทิศตะวันตก ส่วนซูจื่อเยี่ยก็เข้าไปนั่งรออยู่ในรถม้าเรียบร้อย พร้อมกับจ้องมองพ่อบ้านหวังด้วยใบหน้าเยือกเย็น
-----
