วิธีเช่นนี้ไม่ได้เป็วิธีฝึกฝนที่เหมาะสำหรับสตรีทว่าตอนนั้นนางรู้สึกถูกใจั้แ่แรกเห็น ขณะที่อาจารย์กำลังฝึกวรยุทธ์นั้นการเคลื่อนไหวของอาจารย์เป็จังหวะและเป็ธรรมชาติ ดุจเมฆาลอยเคลื่อนดุจสายน้ำไหลริน
มันมีชื่อที่แสนเรียบง่ายว่า “สายลมและธรรมชาติ(เฟิงอวี่จื้อหราน)”
ชาติที่แล้ว นางไม่ได้ฝึกวิชานี้ลึกซึ้งมากนักตอนนั้นนางใจร้อนเกินไป คิดว่าตนเองมีช่องว่างมิติเวลาอยู่ในมือท้องฟ้าพสุธากว้างใหญ่ นางสามารถโลดแล่นตามใจปรารถนา
ทว่าสุดท้ายนางกลับมีชีวิตอย่างเดียวดาย พบจุดจบอันน่าอนาถั้แ่อายุไม่มากนักการมีชีวิตเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่นาง้าในตอนแรก
นาง้าร้องเพลงบนยอดภูผา จอดเรือตกปลา ผดุงความยุติธรรมใช้ชีวิตอย่างเป็สุขในยุทธภพ ชาตินี้ นางจะฝึกวรยุทธ์อย่างจริงจังนางจะใช้ชีวิตอย่างใจปรารถนา และต่อไปนางจะเล่นงานกงเจวี๋ยให้ถึงที่สุด
วันเวลาผ่านพ้นไป ในเวลากลางวันกงอี่โม่ตั้งใจฝึกวรยุทธ์แข่งกับเวลาส่วนเวลากลางคืนนางจะออกไปหาข้าวปลาอาหารเพียงแต่ทุกครั้งนางจะเดินอ้อมเรือนของเสี่ยวกงเจวี๋ยอยู่เสมอการกระทำทั้งหมดก่อนหน้านี้ถือว่านางได้พยายามช่วยเหลืออีกฝ่ายอย่างเต็มที่แล้วการไม่แก้แค้นถือเป็ความเมตตาจนถึงที่สุดแล้วนางไม่มีทางยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือใดๆ อีก
เวลาสองเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว
่นี้เป็เพราะนางกินดีอยู่ดีการฝึกพลังภายในก็เริ่มเห็นผลสำเร็จบางส่วน ในที่สุด ใบหน้าของกงอี่โม่จึงเริ่มมีน้ำมีนวลความซีดเหลืองเหมือนคนป่วยค่อยๆ จางหายไป ปรากฏเป็ผิวขาวกระจ่างตามวัยของนางไม่รู้เป็เพราะกรรมพันธุ์จากพระชายาเสวี่ยเฟยท่านนั้นหรือเปล่ากงอี่โม่มีผิวพรรณสวยมาก ผิวขาวนวลใส งดงามราวกับหยกชั้นเลิศทำให้ผู้พบเห็นยากที่จะลืมเลือน
ชาติที่แล้วนางไม่ได้สิ่งนี้ เดิมทีวรยุทธ์ที่นางฝึกฝนเป็วิชาที่ได้มาจากผู้แข็งแกร่งเอาชนะกฎเกณฑ์ธรรมชาติหากสามารถฝึกฝนได้อย่างลึกซึ้งทุกครั้งที่ก้าวข้ามขีดจำกัดเดิมจะสามารถปรับสภาพร่างกายได้อย่างง่ายดายชาติที่แล้วนางใช้ชีวิตอย่างรุ่มร้อนตลอดมา จึงไม่สามารถฝึกวิชาได้ก้าวหน้าเช่นนี้คาดไม่ถึงว่าชาตินี้ แม้ยังอ่อนเยาว์ แต่นางก็เริ่มเห็นผลสำเร็จแล้วถือเป็ความโชคดีในความโชคร้ายของนาง
กงอี่โม่ตบใบหน้าเต็มอิ่มอ่อนวัยของตน นางคิดอย่างมีความสุข
การส่งสำรับที่เรือนเหลิ่งชิว (เรือนสารทฤดูหนาวเย็น)ซึ่งเป็ที่พักอาศัยของนางเริ่มถูกละเลยมากขึ้นเรื่อยๆคาดว่าคนอื่นคงคิดว่านางสิ้นใจไปแล้วถึงแปดส่วน แต่ไม่มีใครกล้าเข้ามาตรวจสอบการส่งสำรับเป็เพียงการกระทำตามหน้าที่เท่านั้น ทว่าคาดไม่ถึงว่าสองวันนี้ตรงหน้าต่างเล็กๆ บานนั้นกลับมีคนเข้ามาส่งสำรับอีกครั้ง
สองวันก่อน หลังจากฝึกวรยุทธ์เสร็จแล้วนางจึงเปิดดูคาดไม่ถึงว่าจะเป็ซาลาเปาขาวนวล ช่างน่าประหลาดเสียจริงหรือว่าคนในตำหนักเย็นเกิดอาการใจดีผิดปกติอย่างนั้นหรือ?
วันนี้ผู้ที่ส่งสำรับไม่มาเสียที ขณะที่กงอี่โม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายไม่มาแล้วนางจึงเตรียมตัวออกไปหาอาหารด้วยตนเอง หน้าต่างบานนั้นพลันถูกเปิดออกกงอี่โม่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ใครกันที่มาส่งสำรับถึงสามวันติดกันช่างมีจิตใจดีงามเสียเหลือเกิน
นางเห็นเพียงมือผอมบางข้างหนึ่งกำลังจับห่อกระดาษสำหรับรองอาหารอีกฝ่ายวางอาหารไว้ตรงหน้าต่างอย่างระมัดระวัง ราวกับว่ากำลังรู้สึกเสียดายอยู่ทว่าสุดท้ายกลับตัดใจวางลงมา จากนั้นจึงเดินจากไป ก่อนจากไปยังปิดหน้าต่างบานเล็กๆบานนั้นลงอย่างเบามือ
กงอี่โม่รู้สึกประหลาดใจ เมื่อวิ่งเข้าไปดูนางจึงรู้สึกใจริงๆคาดไม่ถึงว่าจะเป็น่องไก่ขนาดใหญ่หนึ่งน่อง อีกทั้งยังร้อนอยู่เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ถูกวางอยู่ในสำรับ แต่ถูกใครบางคนเก็บไว้ในอ้อมแขน
กงอี่โม่รู้สึกซึ้งใจในทันใดนางเห็นว่าอีกฝ่ายเป็เด็กที่ยังไม่โตนัก บางทีอาจเป็ขันทีใหม่ที่เพิ่งเข้าวังนางอยากดูว่าบุคคลผู้นั้นเป็ใคร เพราะความมีน้ำใจเช่นนี้ของอีกฝ่ายต่อไปนางอาจตอบแทนบางสิ่งบางอย่างได้บ้าง
เมื่อคิดเช่นนี้ นางจึงปีนกำแพงออกไป
เวลานี้สำหรับนางแล้วการปีนกำแพงถือเป็เื่ง่ายมากซึ่งแตกต่างจากสองเดือนก่อนอย่างสิ้นเชิง เมื่อออกไปแล้วนางจึงเห็นร่างเล็กๆร่างหนึ่งเดินกะโผลกกะเผลกจากไป นางรีบตามไปอย่างรวดเร็วแต่คาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะพักอยู่ในเรือนติดกับนาง ซึ่งก็คือเรือนหานชุน(เรือนวสันตฤดูหนาวเหน็บ) ที่เคยเป็เรือนร้างมานานหลายปีแล้ว
กงอี่โม่นั่งอยู่ตรงมุมหนึ่งของกำแพง มียอดต้นไม้ใหญ่บังอยู่เมื่อมองลอดผ่านลงไป ภาพกลับดูคุ้นตาอยู่ไม่น้อย
นางเห็นเด็กน้อยผู้นั้นเข้าไปในสวน เขาใช้น้ำสะอาดในอ่างเก่าๆใบหนึ่งทำความสะอาดตนเอง ร่างของเขาเต็มไปด้วยคราบสกปรกอีกทั้งบนใบหน้ายังมีรอยช้ำรอยใหม่เพิ่มขึ้นทว่าเขากำลังเช็ดเนื้อเช็ดตัวอย่างตั้งใจ เห็นได้ชัดว่าเขาเป็เด็กน้อยที่รักสะอาดมากคนหนึ่ง
กงอี่โม่สังเกตอย่างละเอียด นางรู้สึกตกตะลึงทันที
เขาเองหรือ? เพราะเหตุใดเขาจึงพักเรือนติดกับนางได้ล่ะ? ข่าวที่นางป่วยเป็โรคร้ายถูกลือสะพัดไปทั่วบริเวณแล้วเขาไม่กลัวเลยหรือ?
ทว่าไม่เจอกันมาสองเดือนแล้วตอนนี้เสี่ยวกงเจวี๋ยกลับผอมแห้งยิ่งกว่าเดิมเสียอีกตอนนี้เขาอยู่ในสภาพหนังหุ้มกระดูกอย่างแท้จริงทำให้ดวงตาสีน้ำหมึกของเขาดูโตยิ่งกว่าเดิม เมื่อเหลือบมองอีกครั้งนางจึงยิ่งใไม่รู้ว่าเขากลิ้งคลุกฝุ่นมาจากไหน ทั้งเนื้อทั้งตัวจึงสกปรกมอมแมมเต็มไปหมดหากเทียบกับเด็กน้อยที่ควบคุมตนเองได้ดีในตอนนั้น ช่างดูแตกต่างราวกับเป็คนละคน
ดูเหมือนว่าทั้งแขนและขาของเขาจะได้รับาเ็ มือน้อยๆถอดชุดคลุมด้านนอกอย่างลำบากด้านในเป็ชุดขนาดกลางที่ชายแขนเสื้อสั้นเต่อไปกว่าครึ่ง แขนผอมบางจนน่าใทั้งสองข้างกลับเต็มไปด้วยรอยาแ
เขาหยิบชุดสีขาวสะอาดชุดหนึ่งออกมาคลุมร่างของตน เมื่อเห็นแล้วกงอี่โม่จึงรู้ได้ทันทีว่าเป็ชุดคลุมอาบน้ำชุดนั้น มันถูกตัดไปบางส่วนจึงสามารถนำมาใช้แทนชุดคลุมได้อย่างเหมาะเจาะ
เมื่อเปลี่ยนชุดเสร็จแล้ว เขาจึงหยิบห่อกระดาษชิ้นเล็กๆ ออกมาเด็กน้อยขมวดคิ้วราวกับผู้ใหญ่ ด้านในน่าจะเป็อาหารบางอย่าง
เมื่อเห็นเหตุการณ์เหล่านี้ กงอี่โม่จึงรู้สึกไม่สบายใจนักการที่เด็กชายตัวน้อยคนหนึ่งต้องเอาตัวรอดในตำหนักเย็นเป็เื่ไม่ง่ายเลยไม่รู้ว่าเมื่อสักครู่เขาเป็คนส่งสำรับให้นางหรือเปล่า
ขณะที่กงอี่โม่คิดจะลงไปสอบถามความจริงให้ชัดเจนนั้นมีใครหลายคนกำลังเดินเข้ามาจากระยะไกล พวกเขาเดินเข้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆกงอี่โม่จึงรีบซ่อนตัวอีกครั้ง นางมองเหตุการณ์อย่างเงียบๆ
ผู้ที่เข้ามายกเท้าถีบประตูโดยตรง อีกฝ่ายหิ้วเสี่ยวกงเจวี๋ยขึ้นมาโดยไม่ให้เวลาตั้งตัวขันทีผู้นั้นอายุไม่น้อยแล้ว เนื่องจากมีการฝึกฝนอยู่บ่อยๆ เขาจึงมีแรงค่อนข้างมากเขากระชากเสี่ยวกงเจวี๋ยจนเด็กน้อยหายใจไม่สะดวก แขนขาเล็กๆ ส่ายไปมาอยู่กลางอากาศเขากัดฟันเอ่ยขึ้น
“บังอาจ!”
คำพูดของเขาทำให้ขันทีทั้งสี่หัวเราะเสียงดังลั่นหนึ่งในนั้นเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเล็กแหลม
“พวกเ้าฟังดูสิเขายังคิดว่าตัวเองเป็องค์ชายเสียด้วย บอกว่าพวกเราทำตัวเหิมเกริม!”
เวลานี้ขันทีน้อยอีกคนจึงหยิบห่อกระดาษที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมาเขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงประชดประชันแกมเย้ยหยัน
“ตอนนั้นข้าคิดว่าช่างน่าประหลาดนักตอนที่พวกเราเตะเขา ทำไมเขาจึงเอาแต่ปกป้องตรงหน้าอกพอหันกลับไปดูก็เป็ไปตามที่คาดจริงๆ น่องไก่หายไปหนึ่งน่องสงสัยว่าซาลาเปาก่อนหน้านี้ก็ต้องเป็เ้าที่ขโมยออกมา คาดไม่ถึงจริงๆ เลยคนที่เป็พระโอรสก็ยังขโมยของเป็!”
ขณะที่กล่าวนั้น เขาฉีกห่อกระดาษออกจากกันทว่ากลับมีเพียงอาหารเหลือทิ้งที่กระจายไปทั่วพื้น
พวกเขาเหล่านี้ต่างมองหน้าซึ่งกันและกัน เป็ไปได้อย่างไร? พวกเขาเห็นอย่างชัดเจนว่าอีกฝ่ายขโมยน่องไก่มาไม่ใช่หรือ? คาดว่าอีกฝ่ายคงกินไปแล้วถึงแปดส่วน ดังนั้นพวกเขาจึงทำตัวโเี้เหมือนเช่นเคย ทั้งยังขยี้ห่อกระดาษบนพื้นอีกหลายครั้ง
“เขาว่ากันว่า ัย่อมเกิดเป็ั หงส์ย่อมเกิดเป็หงส์แต่คาดไม่ถึงจริงๆ ว่าลูกักลับทำตัวเหมือนหนูสกปรก พวกเ้าคิดว่าควรจัดการอย่างไรดี?” ขันทีที่หิ้วกงเจวี๋ยอยู่กล่าวอย่างดุดัน
มีคนรีบกล่าวต่ออย่างทันควัน “หึหึ รีบคืนน่องไก่มาเดี๋ยวนี้หรือว่าองค์ชายจะหิวมาก? ไม่อย่างนั้นก็กินอาหารบนพื้นให้หมดเกลี้ยงสิแล้วพวกเราจะไม่ถือสาหาความอีก”
เสี่ยวกงเจวี๋ยถูกโยนทิ้งลงกับพื้นราวกับผ้าเก่าๆ ผืนหนึ่งเขาสำลักอย่างทนไม่ไหว เมื่อเห็นขันทีเ่าั้ค่อยๆ ย่างก้าวเข้าหาั์ตาของเขาสะท้อนประกายดื้อรั้นแกมหวาดกลัว เขาไม่เข้าใจเลย ทั้งๆที่ตอนที่เขาจากมาเขาก็ถูกลงมืออย่างหนักไปแล้วเพราะเหตุใดคนเหล่านี้ยังตามมาเล่นงานเขาถึงที่นี่อีก?
เวลานี้กงอี่โม่จึงเข้าใจได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นคาดไม่ถึงว่าสองสามวันที่ผ่านมา ผู้ที่ส่งสำรับให้นางคือเขากงอี่โม่พลันรู้สึกอึดอัดไม่สบายใจไปชั่วขณะ