ไป๋หลิวลี่เป็เด็กสาวที่เป็สุดที่รักหนึ่งเดียวของซ่งฉียวนในเื่ “มหันตภัยแห่งแดนเซียนปีศาจ” และนางยังเป็เด็กสาวคนแรกที่ซ่งฉียวนชอบอีกด้วยส่วนรั่วรั่วที่แม้จะได้ทำสัญญาชั่วชีวิตกับซ่งฉียวนในหนังสือไป แต่นั่นก็เป็เพียงเยี่ยวั่งจือที่ตอบตกลงแทนเขาเท่านั้นอีกอย่างซ่งฉียวนในตอนนั้นก็ยังเป็แค่เด็กพิการอายุสิบขวบเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความรักคืออะไรฉะนั้นจึงไม่ต้องพูดถึงความรู้สึกที่มีต่อรั่วรั่วเลย
ส่วนไป๋หลิวลี่นั้นได้เปรียบตรงที่อยู่ในสถานที่เดียวกันกับซ่งฉียวนนางอายุมากกว่าเขาสี่ถึงห้าปี ทั้งยังเป็บุตรสาวของไป๋ลี่อีกด้วยจึงสามารถพบหน้าซ่งฉียวนผู้สง่างามได้อย่างที่ใจ้าเมื่อตอนที่สาวน้อยเริ่มมีใจให้กับซ่งฉียวนนางก็เริ่มเข้าใกล้ซ่งฉียวนในนามของศิษย์พี่หญิงอย่างต่อเนื่อง และช่วยเขาอย่างออกหน้าออกตาจนทั้งสำนักฉิงชางต่างรู้กันทั่วว่าบุตรสาวของเ้าสำนักมีใจให้กับซ่งฉียวน
ความชอบของนางเรียกได้ว่าเป็ความเร่าร้อนที่รู้กันไปทั่วเพราะไม่เคยปกปิดซ่อนเร้นมาั้แ่แรก แล้วก็บังเอิญว่าซ่งฉียวนเป็คนที่ขาดความรักดังนั้นตัวเขาจึงไม่อาจต้านทานการร้องขอความรักจากตัวเอกที่มีรูปโฉมงดงามราวกับนางฟ้าได้หลังจากนั้นทั้งคู่จึงคบหาดูใจกันอย่างแสนหวานชื่น แม้ว่าในภายหลังจะมีหญิงสาวปรากฏตัวขึ้นมาอีกจำนวนมากแต่ก็ไม่สามารถเทียบได้กับไป๋หลิวลี่ที่อยู่ในดวงใจของเขา
นิยามของซ่งฉียวนคือพระเอกผู้เป็วีรบุรุษที่มีชื่อเสียงเลื่องลือและมีหนี้รักมากมายจนนับไม่หวาดไม่ไหว แต่ตอนที่อวี๋เคอจรดปลายปากกากลับไม่สนใจหลักการใดๆทั้งสิ้น นึกอยากจะเพิ่มผู้หญิงให้กับเขาก็เพิ่มให้ โดยไม่ได้ตระหนักเลยว่าเขามีหัวใจที่มีรักแท้เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นแล้วจะชอบคนมากมายขนาดนี้ได้อย่างไรกัน...
แต่ถึงกระนั้นอวี๋เคอกลับไม่ได้ครุ่นคิดมากถึงเพียงนั้นดวงตาของเขาฉายสะท้อนเงาของไป๋หลิวลี่อยู่ภายในส่วนในใจก็อดเริ่มอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาไม่ได้ ในเื่ “มหันตภัยแห่งแดนเซียนปีศาจ” ของเขาไม่มีตอนนี้อยู่เนื้อเื่ที่ตนเขียนก็คือซ่งฉียวนผู้ห่วยแตกสามารถคว้าอันดับที่หนึ่งของการแข่งขันจัดอันดับมาได้อย่างยอดเยี่ยมจากนั้นก็เอาชนะใจศิษย์หญิงของสำนักฉิงชางได้ทุกคนและไป๋หลิวลี่ก็เพิ่งสังเกตเห็นเขาในเวลานี้
แม้ว่าตอนนี้เขาจะนั่งอยู่้าแต่กลับไม่ได้ทำตัวเป็จุดสนใจเลยสักนิด และดูเหมือนว่าเขาเองก็ไม่ได้อยากเข้าร่วมการแข่งขันจัดอันดับเช่นกันไป๋หลิวลี่ก็ไม่เห็นจะมีเหตุผลอะไรที่จะชอบเขาได้เลยนี่? ไม่รู้จริงๆ ว่ากว่าครึ่งปีที่ผ่านมาเด็กคนนี้ทำอะไรไปบ้าง
ไป๋หลิวลี่ในฐานะลูกสาวของไป๋ลี่ อีกทั้งคุณสมบัติของพลังบำเพ็ญเพียรนั้นก็จัดอยู่ในระดับที่สูงมากหลายคนในสำนักฉิงชางต่างก็ต้องเรียกนางว่าศิษย์พี่หญิงตามลำดับาุโ แต่จู่ๆตอนนี้นางก็กล่าวคำเหล่านี้ออกมา ทุกคนที่อยู่ในที่นี้ต่างรู้สึกสับสนและเงียบกริบลงไปตามๆ กัน
“หลิวลี่ เ้าลุกขึ้นมาทำไม? ตอนนี้ยังไม่ถึงคราวพูดของเ้า! ” เมื่อไป๋ลี่มาถึง่วัยกลางคนภรรยาของเขาก็สิ้นใจจากไปก่อนแล้วโดยปกติเขาจะปฏิบัติกับบุตรสาวคนนี้ราวกับเป็สมบัติล้ำค่า ส่วนนางเองก็ไม่ได้มีนิสัยก้าวร้าวและไม่เคยทำให้เขาขายหน้าเลยสักครั้ง เพราะนางเป็ผู้ที่มีความรู้และเชื่อฟังมากการกระทำที่ขัดจังหวะในขณะที่ผู้าุโกำลังพูดอย่างไร้การอบรมเช่นวันนี้เป็การกระทำของลูกสาวของตนเอง เขาจึงไม่สามารถยอมรับได้
แต่ใครจะรู้ว่าครั้งนี้ไป๋หลิวลี่จะไม่ฟังคำตักเตือนของเขาและยื่นนิ้วชี้อันขาวเนียนละเอียดไปที่ซ่งฉียวนที่ยังคงนั่งนิ่งเหมือนหินแข็งแล้วถามไป๋ลี่ว่า “ท่านพ่อ ท่านบอกว่าศิษย์น้องฉีเป็ศิษย์รุ่นที่ยี่สิบเจ็ดใช่หรือไม่? ”
เมื่อคำพูดนี้ของนางหลุดออกมาทุกคนก็พากันหันไปมองยังซ่งฉียวน แล้วส่งเสียงฮือฮากันไม่หยุด เพราะไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆศิษย์พี่หญิงไป๋ผู้อ่อนโยนของพวกเขาถึงได้เอ่ยถึงวายร้ายฉียวนผู้นี้แต่หร่วนสือจิ่วที่อยู่ข้างๆ ซ่งฉียวนกลับนั่งอย่างสงบนิ่งมาก ก่อนจะยิ้มระรื่นพร้อมกับยกสุราในมือของตนขึ้นจิบคำหนึ่งโดยไม่พูดจาใดๆต่อไป
ไป๋ลี่มองตามนิ้วชี้ของไป๋หลิวลี่ไป ก็เห็นท่าทางที่เมินเฉยของซ่งฉียวนสีหน้าจึงเกิดความสับสน แต่สุดท้ายเขาก็ถอนหายใจแล้วตอบกลับไปว่า “ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้กราบผู้าุโหร่วนเป็อาจารย์แต่ก็อยู่ในสำนักฉิงชางมาได้ครึ่งปีแล้ว และเ้าก็ยังเรียกเขาว่าศิษย์น้องอีก ดังนั้นจึงถือได้ว่าเขาเป็ศิษย์ในสำนักฉิงชางของข้า”
ใบหน้าของไป๋หลิวลี่เต็มไปด้วยความยินดีคิ้วสวยเรียวยาวยกขึ้นอย่างภาคภูมิใจเล็กน้อย จากนั้นก็ถามต่อว่า “เช่นนั้นในเมื่อศิษย์น้องฉีเป็ศิษย์รุ่นที่ยี่สิบเจ็ดเหตุใดท่านจึงไม่ให้เขาเข้าร่วมการประลองครั้งนี้เล่า? ” เมื่อแม่นางน้อยพูดมาถึงตรงนี้ ก็หยุดไปครู่หนึ่งและเมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้จึงพูดต่อไปว่า “หากเขาไม่เข้าร่วมเช่นนั้นศิษย์น้องเฉิงที่ได้อันดับหนึ่งเพราะศิษย์น้องฉีไม่เข้าร่วมการแข่งขันคงรู้สึกไม่สบายใจกระมัง? เ้าว่าไหม? ศิษย์น้องเฉิง? ” ไป๋หลิวลี่เหลือบมองเฉิงเซียงที่กำลังยืนมองเหตุการณ์อยู่บนเวทีจากนั้นมุมปากของนางก็ยกยิ้มขึ้น พร้อมกับขยิบตาให้ไปหนึ่งที
เฉิงเซียงแสดงการตอบรับในทันที แล้วโค้งคำนับต่อไป๋ลี่พร้อมกับกล่าวด้วยความเคารพว่า “ท่านเ้าสำนักศิษย์คิดว่าศิษย์พี่ไป๋พูดถูกขอรับ”
ความสนใจของอวี๋เคอไปอยู่ที่คำพูดคำนั้นของไป๋ลี่ที่ว่า “เขาไม่ได้กราบผู้าุโหร่วนเป็อาจารย์” ก็เกิดความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายได้แผ่ซ่านขึ้นมาในใจเพราะเมื่อครู่เขาเห็นซ่งฉียวนกับหร่วนสือจิ่วเข้ากันได้ดีมาก และคิดว่าเด็กคนนั้นกราบอาจารย์คนอื่นไปนานแล้วเมื่อได้ยินไป๋ลี่พูดเช่นนี้ในตอนนี้ เขากลับรู้สึกซาบซึ้งและยินดีขึ้นมา จู่ๆก็รู้สึกว่าตัวเองมีนิสัยใจง่ายไปหน่อย ทั้งๆ ที่ตอนนั้นไม่อยากให้ซ่งฉียวนดื้อดึงถึงเพียงนั้นแต่ตอนนี้กลับแอบดีใจเพราะความดื้อรั้นของเ้าเด็กนี่ นี่ตัวเขาเองเป็อะไรไป?
เมื่อคิดหาสาเหตุไม่ได้ก็ไม่คิดแล้วกัน อวี๋เคอระงับความดีใจที่ไม่อาจอธิบายได้ถูกลงไปและเลือกที่จะดูละครต่อไป
สิ่งที่เขาเห็นเมื่อครู่นี้นั้นชัดเจนมากที่เฉิงเซียงกับไป๋หลิวลี่ร่วมมือกันได้ดีเช่นนี้ก็เพื่อให้โอกาสซ่งฉียวนได้เฉิดฉายออกมาและบังคับไป๋ลี่ให้ซ่งฉียวนทำการประลองโลกใบนี้ก็ยังคงต้องดำเนินไปตามโครงเื่ของตัวมันเองเหมือนสิ่งที่เรียกว่าวังวนเมื่อเนื้อเื่ที่สำคัญควรจะเกิดขึ้นมันก็ต้องเกิดขึ้น
ซ่งฉียวนรู้ดีว่าที่เฉิงเซียงกับไป๋หลิวลี่เข้ากันเป็ปี่เป็ขลุ่ยนั้นเพราะอะไรทั้งหมดนี้เป็แผนการของคนผู้นั้นที่อยู่ในร่างซึ่งก็เหมือนกับเมื่อครึ่งปีก่อนในตอนกลางวันที่ตนปฏิเสธที่จะกราบอาจารย์มาจนถึงทุกวันนี้ส่วนคนผู้นั้นก็สามารถวางแผนทุกสิ่งที่เขา้าจะทำได้ในเวลากลางคืนเช่นกันเขาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงคนผู้นั้นได้อย่างสมบูรณ์ และคนผู้นั้นก็ไม่สามารถเปลี่ยนเขาไปอย่างสมบูรณ์ได้เช่นกันดังนั้นเพื่อไม่ให้อาการแปลกประหลาดนี้ของตนเองถูกเปิดเผยต่อหน้าทุกคนในสำนักฉิงชางพวกเขาทั้งสองจึงต้องดำเนินทุกอย่างไปตามสถานการณ์
เช่นสถานการณ์ในตอนนี้ แม้ว่าเขาจะเอือมระอาก็ตามแต่จะไม่ยอมเดินตามเส้นทางที่ไป๋หลิวลี่และเฉิงเซียงปูเอาไว้ก็ไม่ได้เขาจึงปรับท่าทางของตัวเองให้เป็ปกติ และรอไป๋ลี่ลั่นวาจาอยู่เงียบๆ
เมื่อไป๋ลี่เห็นเฉิงเซียงพูดเช่นนี้ออกมาด้วยตัวเองแล้วแม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะไม่ค่อยชอบซ่งฉียวนมากนัก แต่เขารู้ดีถึงพลังของเด็กคนนี้ ในเมื่อลูกสาวสุดที่รักของตนยกย่องเด็กนั่นมากขนาดนี้เขาก็จะยอมรับกับคำขอของไป๋หลิวลี่ และใช้โอกาสนี้ดูว่าซ่งฉียวนแข็งแกร่งแค่ไหนอีกด้วย
เมื่อคิดได้ดังนั้นเขาจึงโบกมือแล้วกล่าวอย่างจนใจว่า “เมื่อพวกเ้าพูดมาถึงขั้นนี้ และล้อมข้าจนมุมแล้ว ต่อให้ข้าห้ามก็คงไม่เป็ผลเอาเถอะ เอาเถอะ ตามใจพวกเ้าก็แล้วกัน” เมื่อกล่าวจบเขาก็มองไปยังผู้าุโที่ยืนอยู่บนเวทีประลองแล้วกล่าวอย่างเป็นัยสำคัญว่า “ผู้าุโเฉินดูเหมือนว่าจะต้องเพิ่มการประลองอีกรอบเสียแล้ว”