นายพลหนุ่มตกตะลึง เขาพูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม “มีผู้แปรพักตร์สองร้อยกว่าคน จิ่งอ๋องนำผู้คนพันกว่ามุ่งไปสกัดกั้น ณ ตอนนี้เมืองยงเหลือเพียง...สองร้อยกว่าคนเท่านั้น”
เจียงเฉิงเยว่กวาดสายตามองใบหน้าที่หมองคล้ำด้านล่างปราสาททีละคนแล้วถาม “ทั้งหมดมารวมกันที่นี่แล้วหรือ?”
นายพลหนุ่มตอบ “นอกจากผู้ที่ได้รับาเ็สาหัสไม่สามารถเดินทางมาได้...ส่วนใหญ่ล้วนอยู่ที่นี่”
เจียงเฉิงเยว่เอ่ยเสียงเบาราวกับพูดกับตนเอง “ดีมาก”
เมื่อถ้อยคำจบลง เสียงฟ้าร้องดังขึ้นกลางแสงแดดจ้า ไม่เพียงแต่ภายในเมืองยงเท่านั้น แม้แต่เหล่าข้าศึกที่ยินดีอย่างบ้าคลั่ง ฐานทัพของข้าศึกในระยะไกลยังพลอยใไปด้วย เพียงไม่นาน ท้องฟ้าที่เดิมทีสดใสกลับถูกปกคลุมด้วยเมฆดำที่หนาขึ้นเรื่อยๆ ลมกระโชกแรงรอบทิศทาง ชั้นเมฆมีสายฟ้าแลบและฟ้าร้องไม่ขาดสาย เสียงลมหวีดหวิว เดิมที่ปลายฤดูร้อนกับต้นฤดูใบไม้ร่วงมีอุณหภูมิพอเหมาะคืออบอุ่น ทว่าอุณหภูมิพลันลดลงอย่างกะทันหัน ลมหนาวเพียงพัดผ่านกลับทำให้ผู้คนรู้สึกขนลุกซู่ไปทั่วร่าง
“เกิดอะไรขึ้น เมื่อครู่ยังอากาศดีอยู่นี่ ทำไมท้องฟ้าถึงเปลี่ยนไป?”
ฐานทัพศัตรูที่อยู่ไกล กลุ่มทหารถูกพัดจนเกลื่อนกลาดทีละคน ศพที่แขวนอยู่บนปราสาทไม้ถูกพัดจนแกว่งไกวหนักขึ้น เครื่องหมายรูปสัตว์สีดำบนข้อมือของศพราวกับเปล่งลมปราณที่แปลกประหลาดมองแล้วดูไม่มงคลออกมา
เวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูป ชั้นเมฆปกคลุมท้องฟ้า ทำให้กลางวันกลายเป็กลางคืนที่มืดมิด จนกระทั่งมองไม่เห็นนิ้วทั้งห้ายามยื่นมือออกมา
ผู้คนสองร้อยกว่าคนที่อยู่ใต้หอปราสาทในเมืองยงกำลังยืนอย่างเหม่อลอย พวกเขาจ้องมองเงาร่างในชุดดำบนหอปราสาทอย่างนิ่งเงียบ
แสงสว่างวาบที่แข็งกร่างจนแทบจะฉีกฟ้าดินตามด้วยเสียงฟ้าร้องดังสนั่นแว่วมา แสงสีขาวราวกับฉีกกระชากความมืดมิด เสียงดังสนั่นทำให้ทุกคนแข้งขาอ่อน ลมกรรโชกแรงพัดตามมา เสียงหวีดหวิวราวกับเสียงโหยหวนของภูตผี พร้อมกับลมปราณที่เ็าอยู่ในสายลมเย็นะเื
แน่นอนว่าไม่ใช่แค่อากาศเย็นเท่านั้นที่ทำให้ผู้คนกว่าสองร้อยคนในเมืองยงมือเท้าเป็น้ำแข็ง ยิ่งกว่านั้นยังมีเสียงหัวเราะชั่วร้ายอย่างมีเจตนาร้ายเคล้าอยู่ในเสียงลมด้วย
ในความมืดมิด แสงสีแดงพุ่งออกมาจากฝ่ามือของเด็กหนุ่มผู้นั้นบนหอปราสาท ซึ่งนับเป็แสงสว่างเพียงอย่างเดียวจึงดึงดูดสายตาของทุกคนในทันที
ผู้คนที่อยู่ใต้หอปราสาทพลันรู้สึกปวดแสบปวดร้อนบนร่างที่ตำแหน่งหัวไหล่ ฝ่ามือหรือแขน ทันใดนั้นถึงอุทานอย่างใ ท่ามกลางความมืดพวกเขาทยอยคลายเสื้อผ้าเพื่อตรวจสอบจุดที่รู้สึกเ็ป จึงพบว่าบนร่างมีเครื่องหมายหนึ่ง พวกเขาอยู่กับสวีอี่ซินมาหลายปีย่อมคุ้นเคยกับเครื่องหมายนี้ไม่มากก็น้อย ยังไม่ทันที่พวกเขาจะทำความเข้าใจอย่างชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้นกลับได้ยินเสียงมืดมนของาาผีบนหอปราสาทกล่าวถึงทุกคนที่อยู่ใต้หอปราสาท “ผู้ที่มีตราประทับนี้บนร่างจะได้รับการคุ้มครองจากข้า”
หลังจากนั้น ทุกคนจึงพบว่าแสงสีแดงที่พุ่งขึ้นจากฝ่ามือของาาผีผู้นั้น หากแยกแยะรูปทรงอย่างละเอียดแล้ว แท้จริงแล้วเหมือนกับเครื่องหมายบนร่างของตนเอง
“ที่เหลือ...สังหารให้สิ้น”
ภายหลังเสียงเ็าราวกับน้ำแข็งกล่าวสิ้นสุด ทุกคนััได้ว่าเสียงหัวเราะในสายลมรอบตัวดังขึ้นไม่ขาดสาย เหล่าภูตผีต่างยินดีเป็อย่างยิ่ง
ประตูเมืองยงเปิดออกโดยพลัน กลุ่มก้อนเงาดำขนาดใหญ่ราวกับเมฆดำปกคลุมท้องฟ้าและบดบังพระอาทิตย์ต่างพุ่งเข้าหาฐานทัพศัตรูที่อยู่ฝั่งตรงข้าม แม้ว่าชาวเมืองยงจะมองไม่เห็นว่าในเงาดำนั้นมีอะไร แต่เมื่อเชื่อมโยงกับตัวตนของคนชุดดำบนหอปราสาทย่อมสามารถคาดเดาได้ไม่มากก็น้อย ล้วนอดไม่ได้ที่จะหดร่างด้วยความหวาดผวา
มีข่าวลือมากมายเกี่ยวกับการต่อสู้ของเมืองยงในรุ่นหลังซึ่งแตกต่างกันไป บ้างก็บอกว่าฉิงชางจวินนั่งบัญชาการอย่างมั่นคง สั่งการให้ผีร้ายภายใต้บังคับบัญชาเข่นฆ่าทั่วทุกสารทิศ บ้างก็ว่าลมกระโชกแรง เงาดำซึ่งบินว่อนในที่แห่งนั้นล้วนเป็ร่างโคลนที่แปลงกายของโม่หลงหรือดาบปีศาจของเขา ยิ่งไปกว่านั้น ถึงกับกล่าวว่าความจริงแล้วฉิงชางจวินแบ่งแยกเขตแดนระหว่างมนุษย์กับปรโลกเพื่อปล่อยภูตผีร้ายในนรกแห่งปรโลกมายังโลกมนุษย์ตามอำเภอใจ แต่ไม่ว่าจะกล่าวถึงเช่นไร ผลลัพธ์ที่ตามมาอันน่าสังเวชใจก็ปรากฏต่อสายตาทั้งหมดอย่างเป็เอกฉันท์ เมฆกับสายลมเปลี่ยนผัน โลหิตไหลคละคลุ้ง เสียงคร่ำครวญอยู่ทุกหนทุกแห่ง ซึ่งเป็คำไม่กี่คำที่ต่างก็ไม่เคยละเว้นในการกล่าวถึงครั้งใด
ในความเป็จริงแล้ว ทุกการกล่าวถึงล้วนไม่มีอะไรผิด
เดิมทีเจียงเฉิงเยว่เพียง้าแบ่งเขตแดนระหว่างสองโลก โดยส่งทหารที่แข็งแกร่งภายใต้บังคับบัญชาไม่กี่นายออกมาตามอำเภอใจ เพื่อนำชาวเมืองยงออกมาจากการปิดล้อมของข้าศึก ทว่าเขากลับเปลี่ยนใจ สิ่งที่คิดก่อนหน้านี้คืออีกฝ่ายเป็มนุษย์ร้อยพ่อพันแม่ าาผีไม่ควรพัวพันกับข้อพิพาทในโลกมนุษย์...ทั้งหมดที่กล่าวล้วนถูกเขามองข้าม ่เวลานี้สมองกลับเต็มไปด้วยความกระหายเืเท่านั้น
กองทัพของพระนครที่ได้ชื่อว่ามีนับแสน ทว่ายามอยู่ต่อหน้าภูตผีชั่วร้ายเหล่านี้จึงเป็เพียงการเข่นฆ่าอยู่ฝ่ายเดียวอย่างสิ้นเชิง ราวกับฟางในท้องนา เพียงรอผู้คนโบกสะบัดเคียวเพื่อตัดเสีย ล้มลงอย่างเป็ระเบียบแถวแล้วแถวเล่า ฉิงชางจวินขับเคลื่อนโม่หลง ร่างกายบินขึ้นลงภายในสนามรบที่ราวกับนรกในโลกมนุษย์ ดวงตาสีแดงก่ำ แต่เขากลับรู้สึกพึงพอใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม ผู้คนนับหมื่น...ถูกเข่นฆ่าจนหมดสิ้น
ผู้คนร้อยกว่าคนที่เหลืออยู่ในเมืองยงต่างแย่งกันมองออกไปบริเวณมุมมองที่ยอดเยี่ยมที่สุดในหอปราสาท จากตำแหน่งที่พวกเขาอยู่เดิมทีห่างจากฐานทัพศัตรูหลายลี้ มองไม่เห็นว่าทางด้านนั้นเกิดอะไรขึ้น แต่พวกเขากลับทราบถึงข้าศึกที่ส่งเสียงคร่ำครวญด้วยความโกลาหลและสิ้นหวังจนได้ยินเสียงอย่างคลุมเครือภายใต้เมฆดำที่เกลือกกลิ้ง รับรู้ได้ถึงความรุนแรงของสถานการณ์
จุดที่เบียดเสียดที่สุด เกือบจะทำให้ผู้คนเบียดกันตกลงมาจากหอปราสาท
ทุกคนไม่ทราบรายละเอียดที่เป็รูปธรรมอย่างชัดเจน พวกเขากำลังพูดคุยกันอยู่กลับเห็นว่าสายฟ้าบนเมฆดำที่หนาแน่นห้อมล้อมฐานทัพของข้าศึกจนแทบแยกผืนฟ้าออก ก่อนที่แสงแดดสีทองจะสาดส่องลงมาจากเมฆราวกับแสงศักดิ์สิทธิ์ที่มาฉีกกระชากความมืดมัว เสียงฟ้าร้องคำรามรุนแรงยิ่งขึ้น ชาวเมืองยงตกตะลึงกับทัศนียภาพมหัศจรรย์นี้จนอ้าปากค้าง
เวลานี้ ฉิงชางจวินซึ่งอยู่ในสนามรบรู้สึกถึงบางอย่างเช่นกัน เขามองแสงรัศมีที่สาดส่องมาจากสามสิบสามชั้นฟ้า
ลูกน้องคนสนิทข้างกายเอ่ย “คุณชาย เป็แดน์!”
ฉิงชางจวินยกมุมปากยิ้มเล็กน้อย แววตาเ็า เขาพูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม “คิดไว้แล้วว่าพวกเขาจะมา”
ท่ามกลางเสียงฟ้าร้องดังสนั่น เซียนจวินแห่ง์ที่อยู่เหนือแสงรัศมีนั้นเกิดเสียงกังวานราวกับระฆัง “ภูตผีชั่ว! กระทำการฆาตกรรมเช่นนี้ ้าต่อต้าน์อย่างนั้นหรือ?”
คนสนิทถาม “คุณชาย จะทำอย่างไรดี?”
ขณะนี้ ดวงตาทั้งสองข้างของฉิงชางจวินแดงก่ำ ผมเผ้ายุ่งเหยิง อาการเขาตกอยู่ในบ่วงมารแล้ว และตัวเขาเองก็ไม่มีความตั้งใจที่จะหันหลังกลับสักครึ่งส่วนจึงคว้าโม่หลงไว้แน่น เขายกมุมปากขึ้นพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มเย็น “ผู้ที่เรียกว่าเทพเซียนในดินแดนเบื้องบนอันยิ่งใหญ่ในสามสิบสามชั้นฟ้า อวดอ้างตนว่าเป็ผู้ชอบธรรมในมรรคาฟ้า ทั้งไม่เคยนำพวกเรา ‘ภูตผีิญญาร้าย’ ไว้ในสายตามาก่อน ข้า้าจะพบเทพเซียนผู้หยิ่งยโสมานานแล้ว ข้า้าเห็นว่าหากวันนี้ต่อต้าน ‘์’ แล้วพวกเ้าจะทำอะไรกับข้าได้บ้าง!” หลังเอ่ยประโยคสุดท้าย เขากลับโคจรพลังวิญาณก่อนคำราม พุ่งไปหาเซียนจวินจากแดน์เ่าั้
“สังหาร!”
ฉิงชางจวินออกคำสั่ง พลทหารผีภายใต้บังคับบัญชาทั้งหมดที่เขาปราบในปรโลกหลายปีมานี้ล้วนภักดี มีเพียงคำสั่งของเขาเท่านั้นที่เชื่อฟัง ดังนั้นจึงกรีดร้องอย่างตื่นเต้นแล้วพุ่งไปยังเซียนจวินแห่ง์เ่าั้ โม่หลงถูกกระตุ้นโดยเจียงเฉิงเยว่ไปสู่สถานะสูงสุด โดยกลายร่างเป็รูปลักษณ์ดั้งเดิม กลายเป็สัตว์ปีศาจครึ่งัครึ่งปลาคำราม โม่หลงเข้าไปกัดเหล่าเซียนจวินที่อยู่บนฟ้าอย่างโกรธแค้น
ผู้คนที่เฝ้าดูการต่อสู้บนหอปราสาทในเมืองยงอยู่ไกลๆ ต่างอุทานด้วยความใ จากนั้นเห็นว่าในกลุ่มเมฆดำนั้นราวกับพายุที่พวยพุ่งขึ้นไปกลางอากาศ
“ดื้อด้าน!” เซียนจวินเ่าั้จากแดน์ถูกทำให้โกรธจนอยากกระทืบเท้า เมฆดำด้านล่างที่ถูกแสงรัศมีฉีกกระชากเป็พื้นที่ใหญ่ยิ่งขึ้น ทหารผีที่อยู่ชั้นล่างสุดซึ่งมีการบ่มเพาะไม่เพียงพอล้วนบินขึ้นไม่ได้แล้วถูกแสงแดดแผดเผาเป็เถ้าธุลีทันที ทว่าชั่วพริบตา ทหารผีที่มีระดับค่อนข้างสูงเ่าั้ภายใต้บังคับบัญชาของเจียงเฉิงเยว่ราวกับเศษหินดินทรายที่ปะปนมากับลมกระโชกแรง ต่างพุ่งเข้าไปทุบพวกเขา
เซียนจวินเ่าั้อาจไม่คาดคิดว่าจะพบกับการต่อสู้เช่นนี้ สุดท้ายแล้วประเมินศัตรูต่ำเกินไป ผู้ที่มาทั้งหมดมีเพียงไม่เกินสิบกว่าคนเท่านั้น แม้พวกเขาทุกคนมีพลังิญญาที่สูงส่งและลึกล้ำ อย่างไรก็ไม่อาจต้านทานกลุ่มคนจำนวนมากของอีกฝ่ายได้ หากศัตรูมีเพียงร้อยอาจจัดการได้ด้วยการโจมตีครั้งเดียว...แล้วศัตรูนับพันเล่า? ยิ่งไปกว่านั้น ฉิงชางจวินยังปราบาาผีทั้งน้อยและใหญ่ตลอดหลายปีที่ผ่านมา มีอำนาจในปรโลกเป็อย่างยิ่ง ปกครองทั่วทั้งแดนเหนือ หากฉิงชางจวินตั้งใจก่อความวุ่นวายจริง เซียนจวินจากแดน์นับสิบเหล่านี้ย่อมไม่สามารถปราบเขาได้
เพียงไม่นาน พวกเขาจึงหลบหนีไปอย่างอับจนหนทาง
การกระทำนี้เพิ่มขวัญกำลังใจให้อีกฝ่ายเป็อย่างยิ่ง
ฉิงชางจวินจะยอมให้พวกเขาไปพากำลังเสริมมาได้อย่างไร ด้วยการโจมตีราวกับสายฟ้าจากโม่หลงบนฝ่ามือ จึงรั้งเซียนจวินคนสุดท้ายเอาไว้ เหล่าทหารผีลูกน้องของเจียงเฉิงเยว่หัวเราะอย่างบ้าคลั่งล้วนพุ่งไปข้างหน้า ห้อมล้อมเซียนจวินผู้เคราะห์ร้ายสองคนนั้น
ครู่ต่อมา ท่ามกลางเสียงกรีดร้องด้วยความหวาดผวาของเซียนจวินทั้งสอง ทหารผีตนหนึ่งยื่นมือรับวัตถุขนาดเท่ากำปั้นที่สว่างวาบด้วยแสงรัศมีจากในบรรดาภูตผีแล้วบินไปตรงหน้าของฉิงชางจวิน เจียงเฉิงเยว่ยื่นมือออกไปรับมันแล้วกำไว้ในมือมองดู กลับเป็แก่นิญญาของเซียนจวินเ่าั้
หากจุดอ่อนของเผ่าผีคือเถ้ากระดูก จุดอ่อนของเซียนจวินก็คือแก่นิญญา เพียงทำลายแก่นิญญา เซียนจวินจากแดน์จะกลายเป็มนุษย์ธรรมดา
เหล่าภูตผีหัวเราะอย่างชั่วร้าย กักขังเซียนจวินจากแดน์ผู้นั้นที่โชคไม่ดีถูกควักแก่นิญญาออกมาจากอก เพื่อให้เขาได้เห็นด้วยตาของตนเองว่าแก่นิญญาจะถูกบดขยี้เป็ผุยผงอย่างไร ต้องบอกว่าสำหรับเซียนจวินจากแดน์ผู้หนึ่งแล้ว ไม่มีสถานการณ์ใดน่ากลัวไปกว่านี้
เจียงเฉิงเยว่หันดวงตาสีแดงก่ำไปมองเซียนจวินแห่ง์ผู้นั้นอย่างเย่อหยิ่ง ในมือเคลื่อนไหวเคล็ดวิชา โดยนิ้วมือแนบชิดกันทีละนิด พลังหยินชั่วร้ายสีดำเติมเต็มภายในวัตถุนั้นซึ่งเปล่งประกายด้วยแสงรัศมีแวววาว เสียงแตกเบาๆ ดังขึ้น ใบหน้าของเซียนจวินซีดเซียวก่อนส่ายศีรษะอ้อนวอนตามสัญชาตญาณ “ไม่...ไม่!”
ฉิงชางจวินยกมุมปากอย่างเ็า กำลังจะบีบมันอย่างเบิกบานใจ ทันใดนั้นเขารู้สึกถึงอันตราย รากผมที่ท้ายทอยกระจายออกจึงพลิกมือเพื่อถือโม่หลงพุ่งไปที่เขตอาคมซึ่งสร้างบนท้องฟ้า อย่างไรก็ตาม พลังที่น่าสะพรึงกลัวเป็อย่างยิ่งได้ตบเขาจากท้องฟ้าลงสู่พื้นดินอย่างโเี้พร้อมกับเสียงดังสนั่นและฝุ่นที่ปลิวว่อน
ชาวเมืองยงที่เฝ้าดูการต่อสู้จากระยะไกล สุดท้ายแล้วต่างเห็นแสงรัศมีกวาดล้างเมฆอันหนาแน่นบนท้องฟ้าออกไปจนหมดสิ้น
ฉิงชางจวินปีนขึ้นจากพื้นซึ่งถูกอีกฝ่ายทุบเป็หลุมขนาดใหญ่อย่างเสียหน้า ศีรษะแกว่งไกวจนแยกออกจากร่าง จากนั้นเงยหน้ามองไปที่กลางอากาศเมื่อครู่ กลางเมฆมงคลกับแสงรัศมีมองเห็นบุรุษร่างกำยำผู้หนึ่งอย่างเลือนราง อาภรณ์ปลิวไสวโดยไร้ลม ใบหน้าเคร่งขรึมกำลังอมยิ้ม แต่รอยยิ้มนั้นกลับไม่มีความอบอุ่นสักเท่าไรนัก
ทันทีที่แสงรัศมีของบุรุษผู้นั้นปรากฏตัวกลับแผดเผาเหล่าภูตผีส่วนใหญ่อย่างไม่รีรอ มีเพียงลูกน้องที่มีการบ่มเพาะระดับสูงจำนวนน้อยเท่านั้นของฉิงชางจวินที่โชคดีรอดจากหายนะ
“เจินจวิน!” เซียนจวินน้อยผู้นั้นที่เกือบสิ้นชีพเมื่อครู่ได้ชีวิตกลับคืน เขาร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหลด้วยความตื่นเต้นจนไม่สนใจภาพลักษณ์
บุรุษผู้นั้นโยนแก่นิญญาจากฝ่ามือที่ฉกฉวยมาจากในมือเจียงเฉิงเยว่ส่งคืนให้
“ขอบคุณเจินจวิน!” เซียนจวินน้อยผู้นั้นรับด้วยมือทั้งสองแล้วคำนับขอบคุณทั้งน้ำตา
ผู้ที่ยืนอยู่ด้านหลังบุรุษผู้นั้นคือเซียนจวินหลายสิบคนที่หลบหนีไปเรียกกำลังเสริมเมื่อครู่ เวลานี้ต่างทยอยคำนับพร้อมเอ่ยขอมคุณ “ขอบคุณเทียนจื่อเจินจวินที่ออกหน้าช่วยเหลือ!”
เทียนจื่อเจินจวินยังคงยิ้ม รอยยิ้มราวกับหน้ากากที่ติดอยู่บนใบหน้า เขากล่าวอย่างประชดประชัน “หากไม่ใช่ข้าบังเอิญผ่านมาพอดี วันนี้ทุกท่านจะถูกภูตผีิญญาร้ายทุบตีจนหนีกระเจิดกระเจิงไปก็ไม่นับว่าเป็อะไร แต่ถึงขั้นถูกทำลายแก่นิญญา...ช่างเป็หน้าเป็ตาให้แดน์เสียจริง”
ทันใดนั้น เหล่าเซียนจวินเผยใบหน้าละอายใจ นิ่งเงียบไม่พูดจา
“คุณชาย...” ผู้ใต้บังคับบัญชาของฉิงชางจวินสูญเสียอย่างหนักเช่นเดียวกัน
เจียงเฉิงเยว่ใช้ดาบเสียบที่พื้น จากนั้นเงยหน้ามองท้องฟ้าแล้วเอ่ยด้วยเสียงทุ้ม “พวกเ้าถอยไปก่อน”
เหล่าลูกน้องของเขาพยักหน้าทีละคน ก่อนไปยังประตูหยินระหว่างโลกมนุษย์กับปรโลกที่ยังคงเปิดไว้ตามคำสั่ง
เทียนจื่อเจินจวินมองลงมาที่เขาจากท้องฟ้าแล้วถามด้วยรอยยิ้ม “เ้าไม่ไปหรือ?”
เจียงเฉิงเยว่ยกโม่หลงขึ้นมาในมือ สายลมพัดมาจากข้างกาย ผมเผ้ายุ่งเหยิงกับเสื้อผ้าที่ขาดวิ่นต่างปลิวไสวอยู่กลางสายลมไม่หยุด เดิมทีััได้ถึงวิกฤต ทว่าดวงตาแดงก่ำกับใบหน้าเ็านั้นกลับเผยให้เห็นความหยิ่งยะโสและการถูกครอบงำอย่างเต็มเปี่ยม
“เป็โอกาสหายากที่ข้าจะได้พบท่าน”
เทียนจื่อเจินจวินหัวเราะพลางเอ่ย “น่าสนใจ”
------------------------
