เหยียนอู๋อวี้รีบปกปิดความเกลียดชังในดวงตาไว้ภายใต้ความรู้สึกประหลาดใจที่ได้รับความโปรดปรานโดยไม่คาดฝันอย่างรวดเร็ว นางลุกขึ้นยืนคำนับเว่ยหรูไห่พร้อมกล่าวว่า “ลำบากกงกงแล้ว”
อยู่ในวังมาหลายปี นางย่อมรู้ดีว่าเว่ยหรูไห่เป็คนแบบใด โลภมากขาดสติ พิสมัยความฟุ้งเฟ้อ จิตใจคับแคบ สามอย่างครบครัน ยามนี้นางไร้ที่พึ่งพิง ไม่อาจล่วงเกินบุคคลเช่นนี้ได้
เว่ยหรูไห่พึงพอใจกับท่าทีของเหยียนอู๋อวี้นัก หากแต่มิได้แสดงอารมณ์ใดออกมาทางสีหน้า เพียงแค่ช่วยพยุงนางเล็กน้อยแล้วเอ่ยเร่งรัด “เร็วหน่อยเถิด!”
เหยียนอู๋อวี้แสดงสีหน้าเขินอาย รีบเดินตามหลังเขาไป ข้างหูยังได้ยินเสียงร้องอุทานของซิ่วหนี่ว์แต่ละห้อง
ว่ากันว่าฝ่าาองค์ปัจจุบันโง่เขลาไร้ความสามารถ ซ้ำไม่พึงใจในอิสตรี เดิมทีคิดว่าเป็เพียงคนหยาบช้าสมองเต็มไปด้วยไขมัน ไม่คาดคิดเลยว่าจะเป็บุรุษหนุ่มรูปงาม
ทันทีที่เหยียนอู๋อวี้เดินออกไป นางก็พบเห็นเงาร่างของเขาอยู่ภายใต้แสงดวงดาวเต็มท้องฟ้า ทว่าแสงภายในดวงตากลับเย็นะเืยิ่งกว่าแสงจันทร์
ซิ่วหนี่ว์ทุกนางคุกเข่าอยู่บนพื้น ไม่มีผู้ใดเห็นความไม่เต็มใจในดวงตาของคนด้านข้างได้อย่างชัดเจนนัก
เซวียซิ่วหนี่ว์คุกเข่าก้มศีรษะ แอบยื่นเท้าข้างหนึ่งออกมา วางแผนร้ายหวังจะทำให้เหยียนอู๋อวี้ที่ไม่ทันได้สังเกตต้องได้รับความอับอายบ้าง หากแต่ไม่คาดคิดว่าเหยียนอู๋อวี้จะชะลอจังหวะก้าวเท้าเล็กน้อย เว่ยหรูไห่เดินที่ตามหลังมาสะดุดล้มตรงจุดนี้พอดิบพอดี หกคะมำบนพื้นให้อับอายเป็อย่างยิ่ง
หลายคนส่งเสียงหัวเราะเบาๆ ซ่งอี้เฉินแสดงสีหน้าขบขัน ทว่าเหยียนอู๋อวี้กลับโน้มตัวไปเอ่ยถามเว่ยหรูไห่ “เว่ยกงกง...…”
เว่ยหรูไห่กวาดสายตามองเซวียซิ่วหนี่ว์ แววตาเกลียดชังปรากฏขึ้นในดวงตา ทว่ากลับยกสองมือขึ้นเอ่ยปากพูดว่า “บ่าวใกับการปรากฏตัวของฝ่าาในคืนนี้ คิดว่าเทพเซียนองค์ใดลงมาจุติ ฉะนั้นบ่าวจึง...…”
“ฉะนั้นจึงล้มคะมำ” ซ่งอี้เฉินเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ “ตาเฒ่าเช่นเ้า ช่างน่าสนใจ”
“บ่าวขอบพระทัยฝ่าาที่ทรงเอ่ยชมพ่ะย่ะค่ะ!” เว่ยหรูไห่เอ่ยเสียงดังชัดเจน ลุกขึ้นยืนตามการประคองของเหยียนอู๋อวี้และถอยไปข้างหลังเล็กน้อย
เหยียนอู๋อวี้เดินนวยนาดถอนสายบัวคำนับซ่งอี้เฉิน
เซวียซิ่วหนี่ว์ที่กำลังคุกเข่าอยู่เห็นเช่นนี้จึงรีบลุกขึ้นทันที นางส่งเสียงร้องใพลางเอ่ยว่า “เหยียนซิ่วหนี่ว์ ลำคอเ้าเป็อันใดไปหรือ ไฉนจึงได้มีรอยจ้ำแดงเช่นนี้?”
เหยียนอู๋อวี้รีบปิดลำคอ พร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก “เพียงถูกยุงกัดเล็กน้อย”
ความลำพองใจพาดผ่านในแววตาของเซวียซิ่วหนี่ว์ นางเห็นภาพแผ่นหลังของบุรุษผู้หนึ่งปรากฏตัวในห้องของเหยียนซิ่วหนี่ว์กับตาตนเอง และนางไม่้าปล่อยผ่านเื่นี้ไป ดังนั้นนางจึงฉุดรั้งมือของเหยียนซิ่วหนี่ว์ไว้และเอ่ยว่า “ให้ข้าดูหน่อยว่าร้ายแรงหรือไม่ เ้าต้องรับใช้ฝ่าา หากบนร่างกายมีร่องรอยที่ดูไม่ดี เช่นนั้นข้ามียาทาดีๆ ทาประเดี๋ยวเดียวก็เห็นผล เ้าอยากให้ข้าหยิบมาให้เ้าลองหน่อยหรือไม่?”
“ไม่จำเป็จริงๆ ...…” เหยียนอู๋อวี้คิดจะสะบัดเหวี่ยงมือนางออกด้วยความร้อนใจ ทว่าระหว่างที่ยื้อยุดฉุดกระชากพลันได้ยินเสียง ‘แคว๊ก’ ชุดผ้าไหมบนร่างพลันฉีกขาดเผยให้เห็นหัวไหล่ขาวเนียน เหยียนอู๋อวี้รีบดึงเสื้อผ้าปกปิดทันที หากแต่บริเวณลำคอได้เผยให้เห็นรอยจ้ำนั้นแล้วเช่นกัน
“อื้ม…... รอยยุงกัดใหญ่เสียจริง” เซวียซิ่วหนี่ว์จงใจเอ่ยเสียงสูง
เมื่อเว่ยหรูไห่เห็น สีหน้าพลันเปลี่ยนทันที
ซิ่วหนี่ว์หลายคนต่างหันไปมอง เผยให้เห็นสีหน้ามีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น ทว่าไม่มีผู้ใดกล้าปริปาก ทุกคนต่างดูออกว่านั่นคือรอยจูบ และไม่รู้เช่นกันว่าฝ่าาที่ถูกสวมหมวกเขียว[1]จะทำอย่างไร?
ฝ่าาต้องทรงกริ้วเป็แน่ ช่างน่าสงสารจริงๆ ...…
ซ่งอี้เฉินสีหน้าอึมครึมเ็าพลางก้าวไปข้างหน้า ขณะที่ทุกคนกำลังคิดว่าเหยียนอู๋อวี้คงหนีไม่พ้นการถูกตบใบหน้าเป็แน่ แต่ทว่าเขากลับสะบัดแขนเสื้อยาวโอบนางเข้ามาในอ้อมแขน ถือโอกาสให้แขนเสื้อคลุมปกปิดหัวไหล่ขาวเนียนของนางพร้อมกับพาเดินไปที่เกี้ยวประทับ
“ฝ่าา!” เซวียซิ่วหนี่ว์เห็นเช่นนี้ก็อดคิดมากไม่ได้ จึงรีบรุดไปข้างหน้าขวางทางพวกเขาและกล่าวว่า “เหยียนอู๋อวี้ประพฤติผิดจารีตของสตรี ฝ่าาทรง...…”
ซ่งอี้เฉินยืนนิ่ง ทำเพียงแค่มองนางและเอ่ยถามเสียงเ็า “เช่นนั้นเ้าคิดว่าควรทำอย่างไรกับนางหรือ?”
“หม่อมฉันคิดว่า...…” เซวียซิ่วหนี่ว์ลิงโลดในใจพลางกล่าวเสียงนุ่มนวล “เหยียนอู๋อวี้ทำให้ฝ่าาผิดหวัง สมควรถูกเฆี่ยนจนตายและตามหาชายชู้มาลงทัณฑ์ห้าม้าแยกร่างเพคะ![2]”
ซ่งอี้เฉินยิ้มเยาะเ็า หางตาคมดุจมีดกรีดบนใบหน้าเซวียซิ่วหนี่ว์ “เ้าว่า ให้ลงทัณฑ์เจิ้นด้วยห้าม้าแยกร่างหรือ?”
“แน่นอนเพคะ...…” เซวียซิ่วหนี่ว์แสดงความประหลาดใจ เมื่อขบคิดถึงความหมายลึกซึ้งของคำพูดนี้พลันตะลึงงัน “ฝ่าา?”
ซ่งอี้เฉินยกเท้าถีบนางล้มลงกับพื้น ทิ้งคำประกาศิตไว้หนึ่งประโยค “เฆี่ยนจนกว่าจะตาย”
“ฝ่าา! ฝ่าาโปรดไว้ชีวิต หม่อมฉันเลอะเลือนชั่วขณะ หม่อมฉันผิดไปแล้ว หม่อมฉัน...…” เซวียซิ่วหนี่ว์ฟื้นคืนสติ รีบคลานหัวซุกหัวซุนไปก้มลงแทบเท้าซ่งอี้เฉิน
เว่ยหรูไห่ไหนเลยจะให้นางสมปรารถนา เขาคว้าคอเสื้อเซวียซิ่วหนี่ว์ดึงกลับมาด้านหลังเสมือนลากสุนัข “องครักษ์ ลากตัวเ้าคนรนหาที่ตายนี่ออกไป อย่าให้ขวางพระเนตรฝ่าา!”
องครักษ์หลายคนรีบก้าวเข้ามาลากตัวนางออกไป ไม่นานก็มีเสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้น
แววตาของเหยียนอู๋อวี้ถมึงทึง ทว่ากายกลับแนบอิงซ่งอี้เฉิน เขาโอบนางในอ้อมแขน อุ้มนางขึ้นเกี้ยวประทับออกจากเรือนหลินหลาง สายลมหนาวพัดพาผ้าม่านเปิดออก ปรากฏภาพองครักษ์โยนร่างโชกเืของเซวียซิ่วหนี่ว์ไปไว้บนเกวียนขนศพ ไม่นานคราบเืที่หยดยาวเป็ทางก็ถูกขันทีชะล้างจนสะอาด เหลือเพียงกลิ่นคาวเืจางๆ โชยอยู่ในอากาศ
……
นางขดตัวแนบชิดยิ่งขึ้น ได้ยินซ่งอี้เฉินเอ่ยถาม “กลัวหรือ?”
นางส่ายศีรษะเบาๆ “มีฝ่าาปกป้องหม่อมฉัน”
เขาพลันส่งเสียงหัวเราะแ่เบา
พาลให้เขานึกถึงอวิ๋นอู๋เหยียนอย่างอธิบายมิได้ ยามที่นางแสร้งอ่อนแอต่อหน้าตนเองก็เอ่ยประโยคเช่นนี้
ทว่านาง้าให้เขาปกป้องเสียที่ไหน?
ใต้หล้านี้ล้วนเป็นางที่พิชิตมาทั้งสิ้น
เสด็จแม่ตรัสว่า ต้องกำจัดให้สิ้น
ต้องกำจัดให้สิ้น
…...
ห้องบรรทมของฮ่องเต้ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองหลวง ห่างจากเรือนหลินหลางไม่มากนัก
เดิมทีที่นี่คือห้องบรรทมของซ่งอี้เฉินสมัยเป็องค์ชาย หลังขึ้นครองราชย์ก็ได้ฮองเฮาอวิ๋นอู๋เหยียนเป็ผู้จัดเตรียมเองกับมือ สีผ้าม่าน รูปร่างกระถางธูป กลิ่นเครื่องหอม หรือแม้กระทั่งแจกันและกระถางดอกไม้ล้วนเป็นางเลือกเอง จวบจนทุกวันนี้ก็ยังไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง
ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าฮองเฮาอวิ๋นที่กำเนิดมาเป็แม่ทัพเลื่องชื่อขี่ม้าพิชิตใต้หล้าจะมีความคิดที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้
มนุษย์โลกรู้เพียงว่าตระกูลอวิ๋นก่อฏ เป็ฝ่าาที่แทงนางจนสิ้นเองกับมือ พร้อมกับเด็กที่อยู่ในครรภ์ของนาง
เพื่อความสงบสุขของใต้หล้า ฝ่าาผดุงคุณธรรมอันยิ่งใหญ่สังหารแม้กระทั่งญาติสนิทจนได้รับความรักจากปวงประชา
ทว่าร่องรอยของฮองเฮาอวิ๋นในสถานที่แห่งนี้กลับยังคงอยู่มาโดยตลอด
ห้าปีไม่เปลี่ยนแปลง สรรพสิ่งยังคงเหมือนเดิมทว่าคนเรากลับเปลี่ยนไป
สิ่งที่เปลี่ยนไปคือจิตใจคน
มือของเหยียนอู๋อวี้ที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อกำแน่น ทว่าใบหน้ายังคงเผยความอ่อนหวานงดงาม พลางเอ่ยกระซิบเสียงแ่เบา “ฝ่าา...…”
ซ่งอี้เฉินดึงมือที่อยู่บนเอวของนางกลับมา ก่อนจะเอนกายพิงเก้าอี้ัพร้อมทั้งหยิบฎีกาขึ้นมาโดยไม่แม้แต่จะชายตามอง “เ้าไปก่อน เจิ้นจะตามไปทีหลัง”
แสงเทียนสลัวแผ่กระจายโอบล้อมทั่วใบหน้าคม กระนั้นยังคงไม่อาจปกปิดความเ็าบนร่างของเขาเอาไว้ได้ ท่าทีเฉยเมยแตกต่างจากเมื่อครู่นี้อย่างสิ้นเชิง ราวกับว่าหญิงงามหยาดเยิ้มเบื้องหน้าตนนั้นไม่มีอยู่จริง แววตาที่หยุดอยู่บนฎีกาจากขุนนางทั้งสงบนิ่งและเฉียบคม ไร้ซึ่งลักษณะท่าทางเฉกเช่นทรราชแม้เพียงครึ่ง
เหยียนอู๋อวี้เข้าใจทันใด ทว่านางยังคงยกชายกระโปรง ะโไปข้างกายเขาด้วยท่าทีออดอ้อนไร้เดียงสา “ฝ่าาไม่นอนหรือเพคะ เช่นนั้นหม่อมฉันจะอยู่เป็เพื่อน...…”
ครั้นซ่งอี้เฉินได้ยินเช่นนี้พลันหยุดชะงัก แววตาหยุดอยู่บนร่างของนางโดยไม่รู้ตัว แม่นางน้อยตรงหน้ามาพร้อมแสงสว่าง ราวกับเดินออกมาจากความทรงจำส่วนลึกในจิตใจ
“อู๋เหยียน...…” เขาได้ยินเสียงพึมพำของตนเองพลันฟื้นคืนสติ ในที่สุดก็เห็นว่าสตรีที่มีใบหน้างดงามเบื้องหน้านี้มิใช่สตรีที่มีปานบนใบหน้าผู้นั้น
เพื่อเอาใจเขาในปีนั้น นางมักแสร้งทำตัวเป็สตรีอ่อนแอคิดจะคว้าหัวใจเขา แต่กลับไม่รู้เลยว่ารูปร่างสูงใหญ่กำยำของนางทำแล้วน่าขบขันเพียงใด สิ่งเดียวที่ใกล้เคียงความจริงมีเพียงท่าทางเริงร่าเวลายกชายกระโปรงเท่านั้น
ยังดีที่ไม่ใช่นาง ดาบยาวของเขาแทงทะลุหน้าอกนางในยามนั้น นางกลับมาไม่ได้อีกแล้ว
ความคิดหวนคืนกลับ ซ่งอี้เฉินยกผ้าห่มผืนบางที่คลุมเท้าออกพลางลุกขึ้นนั่ง เท้าเปลือยเปล่าเหยียบลงบนรองเท้าประดับลวดลายเมฆาัสีทองที่วางอยู่ข้างเตียงบรรทมั “คืนฤดูใบไม้ผลิแสนสั้น มิควรให้ความงดงามของของอวี้เอ๋อร์ต้องเสียเปล่า”
เหยียนอู๋อวี้เผยรอยยิ้มดีใจ ใบหน้าที่แดงระเรื่ออีกครั้งก้มต่ำลง นางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ๆ แล้วคุกเข่าลง สองมือเรียวยาวประคองเท้าของเขายกขึ้นสวมถุงเท้าผ้าให้อย่างอ่อนโยน จากนั้นก็ช่วยเขาสวมฉลองพระบาทลายเมฆาด้วยท่าทางเป็ระเบียบเรียบร้อย “หม่อมฉันละเมิดกฎแล้วเพคะ”
ซ่งอี้เฉินสายตาอ่านยาก มองการเคลื่อนไหวของนางด้วยความหมายที่ไม่ชัดเจน “ในเมื่อรู้ว่าละเมิดกฎ ภายหลังก็ไม่ควรทำอีก”
สิ้นเสียงนั้น เขาพลันช้อนตัวอุ้มเหยียนอู๋อวี้ขึ้นมานั่งบนตักของตนเอง
“ฝ่าา...…” เหยียนอู๋อวี้ร้องใ ใบหน้าที่แดงระเรื่อเพราะความเขินอายยิ่งแดงก่ำขึ้นไปอีก
นางใช้แขนโอบรอบคอซ่งอี้เฉินหลวมๆ ปลายนิ้วที่วางััข้างลำคอเขาในยามนี้ นางััถึงจังหวะการเต้นของเส้นลมปราณได้อย่างชัดเจน หากใช้แรงอีกเพียงนิดก็สามารถปลิดชีพเขาได้แล้ว
เชิงอรรถ
[1] สวมหมกเขียว หมายถึง สำนวนจีน มีความหมายแฝงถึงการสวมเขา หรือ การที่ฝ่ายหญิงมีชู้โดยที่ฝ่ายชายไม่ระแคะระคาย
[2] ห้าม้าแยกร่าง หมายถึง การปะาแบบจีนโบราณ ในสมัยราชวงศ์ฉินจะใช้ควายห้าตัวฉีกร่างออกจากกัน ต่อมาอาจจะใช้ม้าทดแทน จึงทำให้ในภาษาจีนจะเขียนคำว่า ม้า
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้