19.
ทุกคนเอาแต่พูดถึงเื่ที่เกิดขึ้น
ข่าวการถูกทำร้ายของพี่ปรงกระจายไปในคณะอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเดินไปทางไหนก็จะเจอแต่คนเข้ามาถามว่าผมสบายดีหรือเปล่า ปกติแล้วผมไม่ชอบการเป็จุดสนใจเลย ผมไม่ชอบเวลาที่ผู้คนเอาแต่พูดเื่ของผม แต่นี่เป็ครั้งแรกที่ผมรู้สึกดีมาก ๆ ที่มีคนพูดถึงเื่ของผม ถึงแม้ว่าจะไม่ได้สนิทกันหรือรู้จักกัน ทุกคนก็ยังเข้ามาถามไถ่และแสดงความเป็ห่วงออกมา ต้องยอมรับเลยว่าเื่ที่เกิดขึ้นกับผมและพี่ปรงเป็เื่ที่ร้ายแรงมาก ๆ
โชคดีที่ทางตำรวจสามารถจับคนร้ายได้แล้ว นอกจากผมกับพี่ปรงที่จะเป็คนไปชี้ตัวแล้ว ก็ยังมีรูมเมทของผักกาดที่เคยเจอเหตุการณ์ในลักษณะเดียวกันมาด้วย ต่อไปนี้พวกเราก็คงสบายใจได้มากขึ้น เพราะทางนิติของหอพักก็บอกไว้แล้วว่าจะดูแลความปลอดภัยให้มากกว่าเดิม โดยเฉพาะหอพักของผมที่อยู่ลึกที่สุดของซอย
วันนี้ผมสามารถกลับมาเรียนได้ปกติแล้ว แผลที่เข่าก็เริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนพี่ปรงก็ใกล้จะได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว เพียงแต่ว่าคุณหมออยากให้เขานอนรอดูอาการไปอีกสักระยะ เพราะแผลของเขาก็ค่อนข้างรุนแรงอยู่เหมือนกัน ผมกับพี่อูนก็ผลัดกันไปเยี่ยมพี่ปรงเวลาที่เราสองคนว่าง ๆ ไม่อยากให้พี่ปรงต้องอยู่คนเดียว ถึงแม้ว่าเขาจะเอ่ยปากไล่ผมทุกครั้งเลยก็ตาม
“จริง ๆ มึงไม่น่ารีบกลับมาเรียนเลย อาจารย์เขาก็บอกว่าให้มึงพักไปก่อนไม่ใช่เหรอวะ” ขนุนพูดขึ้นในตอนที่ผมกับมันเดินมาเจอกันที่หน้าตึกคณะพอดี หลังจากนั้นมันก็วิ่งเข้ามาเกาะแขนผมแบบที่มันชอบทำอยู่บ่อย ๆ
วันนี้ผมไม่ได้มาเรียนพร้อมกับขนุน เพราะเห็นว่ามันจะต้องมาแต่เช้าเพื่อทำงานในแปลง ผมเลยขอตามมาทีหลังเพราะไม่อยากตื่นเช้า วันนี้ผมไม่ได้มีเรียนแต่มีงานที่จะต้องทำตอนบ่าย ถ้ามาที่คณะั้แ่เช้าก็ไม่รู้ว่าจะไปอยู่ตรงไหน
“วันนี้นัดกับเพื่อนในกลุ่มทำงาน พรุ่งนี้อาจารย์จะลงตรวจแปลงเป็รอบสุดท้ายแล้ว” ผมตอบกลับไปในขณะที่ก้าวเดินไปข้างหน้าโดยมีขนุนเดินอยู่ข้าง ๆ ่นี้ทุกคนในคณะเริ่มทยอยกันเก็บเกี่ยวผลผลิตที่ตัวเองปลูกกันแล้ว เพราะอีกแค่ไม่กี่สัปดาห์ก็จะถึงสัปดาห์สอบปลายภาค แล้วก็เป็่ที่ใกล้จะถึงหน้าฝนแล้วด้วย พืชหลายชนิด ๆ อาจจะเกิดความเสียหายได้
“หมดเคราะห์กรรมสักทีนะมึง ขอให้วันนี้อีพวกนั้นมาช่วยมึงทำงานให้ตรงเวลาแล้วกัน กูเห็นนัดแปดมาสิบตลอด” ขนุนพูดอย่างกระแหนะกระแหนตามแบบฉบับของมัน ซึ่งจริง ๆ แล้วสิ่งที่มันพูดก็ถูก แต่ผมไม่อยากจะอะไรกับพวกนั้นแล้ว
ั้แ่ที่เกิดเหตุการณ์ในครั้งนั้น ผมก็เลิกใส่ใจพวกมันไปเลย ขอแค่พวกมันมาทำงานตามที่ได้รับมอบหมาย ถึงจะมาช้าไปบ้างเป็บางครั้ง แต่ถ้าสุดท้ายแล้วงานมันเสร็จตามที่ตั้งเป้าไว้ ผมก็ไม่ได้เก็บมาคิดมากหรอก เวลาเจอหน้ากันก็คุยแค่เื่ที่จำเป็ต้องคุยเท่านั้น พวกนั้นเองก็คงไม่อยากคุยกับผมสักเท่าไหร่
“แล้วนี่มึงทำงานเสร็จแล้วเหรอ”
“ยังค่า!”
“อ้าว”
“กูเหนื่อยมากเลยว่าจะขึ้นไปนั่งตากแอร์บนห้องภาคแล้วค่อยลงมาอีกทีตอนเย็น ๆ วันนี้คนทำงานอยู่ในฟาร์มโคตรเยอะเลยด้วย แย่งกันใช้อุปกรณ์จนจะตีกันตายแล้วเนี่ย พี่อูนก็มานะ เห็นทำอะไรก็ไม่รู้อยู่คนเดียวอยู่ตรงที่มึงปลูกผักอะ” ขนุนพูดพร้อมกับยกมือขึ้นมาจับผมหน้าม้าของตัวเองที่ตอนนี้แหวกออกเป็สองข้างเพราะเหงื่อที่ออกจนเต็มหน้าผากของมัน
“ก็คงมาทำงานเหมือนกันนั่นแหละ” ผมตอบกลับไปเพียงเท่านั้น ก่อนที่เราสองคนจะเดินไปเจอใครบางคนที่กำลังเดินตรงมาทางพวกเราพอดี ซึ่งก็คือใครบางคนที่ผมกับขนุนเพิ่งพูดถึงไปเมื่อสักครู่ พี่อูนเดินตรงเข้ามาในตึกคณะและกำลังเดินมาทางที่ผมกับขนุนยืนอยู่ เสื้อสีขาวของเขาเปื้อนไปด้วยคราบดินจนผมแอบสงสัยว่าเขาไปทำอะไรมา
“เจอพอดีเลย พี่มีเื่จะบอกเรา” พี่อูนเดินตรงเข้ามาหาผมและรีบพูดขึ้นโดยไม่รีรอ เขายกมือขึ้นปัดเสื้อของตัวเองเล็กน้อยในตอนที่เห็นว่าผมกับขนุนเอาแต่จ้องเขาโดยสายตาที่สงสัย ปกติแล้วผมไม่ค่อยเห็นเขาในสภาพนี้เท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะเป็พี่ปรงมากกว่าที่ทำงานอยู่ในแปลง แต่รายนั้นเขาก็มีเสื้อมาเปลี่ยนตลอด ไม่เคยปล่อยให้ตัวเองดูสกปรกหรอก
ผมนึกถึงพี่ปรงขึ้นมาอีกแล้วสินะ
ไม่รู้ว่า่นี้ผมเป็อะไรไป แต่เวลาผ่านไปเห็นของกินอร่อย ๆ ก็อยากจะซื้อไปให้พี่ปรงได้กิน หรือการได้เห็นอะไรที่มันน่าสนใจ ผมก็จะนึกถึงพี่ปรงเป็คนแรกเสมอเลย มันเหมือนกับว่าตอนนี้พี่ปรงเขาเข้ามามีผลกับความคิดของผมมาก ๆ เรียกได้ว่าแทบจะทุกนาทีที่จะมีเื่ของเขาแวบเข้ามาในหัวของผมสักเื่
“มีอะไรหรือเปล่าครับพี่อูน” ผมเอ่ยถามไป
“อาจารย์ฝากมาบอกว่ามะเขือเทศของกลุ่มเรามันมีแมลงมากิน ต้องเอาปุ๋ยชีวภาพไปฉีด แต่เขากำชับมาเลยว่าต้องให้คนอื่นในกลุ่มที่ไม่ใช่ทานตะวันทำ ไม่งั้นอาจารย์จะไม่ตรวจงานให้พรุ่งนี้”
“พี่พูดจริงหรือพูดเล่นเนี่ย”
“พูดจริง”
“ทำไมอาจารย์เขาต้องทำขนาดนั้นด้วย จริง ๆ ผมก็ไม่ได้ติดใจอะไรแล้วนะ เพราะหลัง ๆ พวกมันก็มาช่วยงานปกติ” ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง จริง ๆ แล้วหลังจากที่โดนอาจารย์ด่าวันนั้น เพื่อนในกลุ่มก็มาทำงานกันตามปกตินะ ไม่รู้ว่าเพราะไม่มีข้ออ้างแล้วหรือว่าเพิ่งจะนึกได้ว่าควรมาทำงาน ผมไม่ได้สนใจตรงนั้นหรอก ขอแค่มาทำงานตามที่นัดก็พอ
“เพราะอาจารย์เขารู้ไงว่าถ้าไม่ทำแบบนี้ พวกมันก็จะปล่อยให้มึงมาทำงานคนเดียวเหมือนที่ผ่านมา” คราวนี้เป็ขนุนที่พูดเสริมขึ้นมา ขนุนน่าจะเป็คนที่เกลียดพวกนั้นที่สุด เวลาพูดถึงเื่นี้ขึ้นมาทีไร มันจะโมโหเกินกว่าคนโดนแบบผมไปมาก
“จริง ๆ ผมก็ตั้งใจจะมาทำงานแหละ ยังไงผมก็คงทำ” ผมหันกลับไปพูดกับพี่อูนอีกครั้ง หลังจากนั้นผมก็ได้ยินเสียงถอนหายใจของขนุนดังมาก ผมเลยหันไปมองหน้ามันเล็กน้อยเพื่อดูว่ามันคงไม่ได้หงุดหงิดผม
“เื่นั้นไม่ต้องห่วงเลย พี่มีงานให้เราทำ”
“งานอะไรครับ”
“งานไอ้ปรงนี่แหละ มันครบกำหนดที่จะต้องเก็บผักแล้ว นี่พี่ก็เพิ่งไปเก็บให้มันมาจนเสื้อเปื้อนหมดเลยเนี่ย” พี่อูนตอบกลับมาก่อนจะชี้ไปที่เสื้อสีขาวของตัวเองก็เปื้อนไปด้วยคราบดิน ซึ่งพอเขาพูดมาแบบนั้น ผมกับขนุนก็อ๋อออกมาพร้อมกันทันที
“แล้วพี่จะให้ผมช่วยอะไร”
“ก็ว่าจะให้ช่วยล้างผักให้มัน แล้วเดี๋ยวตอนเย็นพี่จะเอาไปให้มันที่โรงพยาบาล เห็นมันบอกว่าจะถ่ายรูปส่งอาจารย์ ไม่รู้มันจะรีบอะไรนักหนา” พี่อูนตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยการติเตียน ผมเข้าใจเขาเลยว่ามันรู้สึกยังไง
พี่ปรงชอบบ่นถึงเื่งานเวลาที่ผมหรือใครก็ตามไปเยี่ยม ไม่รู้ว่าเขาจะห่วงอะไรมากมาย อาจารย์ทุกคนในคณะรับรู้เื่ที่เกิดขึ้นกับเขา และผมเชื่อว่าไม่มีใครใจร้ายใจดำถึงขั้นให้เขาส่งงานตามกำหนดทั้ง ๆ ที่เขานอนป่วยอยู่โรงพยาบาลหรอก มีแต่พี่ปรงนั่นแหละที่ดื้อจะทำให้ได้ โดนพี่อูนด่าทุกวันก็ยังเถียงกลับมาฉอด ๆ เป็คนป่วยแบบไหนก็ไม่รู้
“พี่ปรงนี่เขาก็รักเรียนจังเลยนะคะ เวลาไปเยี่ยมทีไรก็ถามถึงแต่เื่ผัก” ขนุนเป็ฝ่ายที่พูดแทน แม้แต่พี่อูนก็ยังพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของมัน แต่ถึงจะบ่นจะด่ากันยังไง พี่อูนก็ทำตามที่พี่ปรงขอแทบทุกอย่างเลย
“จริง ๆ มันไม่รู้จะพูดอะไร ก็เลยชอบยกเื่งานมาพูด มันเขิน”
“เขินอะไรคะ เขินหนูเหรอ”
“คงงั้น” พี่อูนตอบกลับไปเพียงเท่านั้น ก่อนที่เขาจะหัวเราะออกมาเบา ๆ สร้างความประหลาดใจแก่ผมและขนุนเป็อย่างมาก แต่เพราะเขาไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก ผมกับขนุนเลยไม่ได้ถามต่อ
หลังจากนั้นขนุนก็ขอตัวแยกไปพักที่ห้องภาคของมัน ส่วนผมก็เดินตามพี่อูนไปที่ห้องภาคของเราเช่นกัน พอก้าวเท้าเข้ามาภายในห้อง สิ่งแรกที่ทำให้ผมใจนต้องหันไปมองหน้าพี่อูนก็คือกองผักที่เพิ่งถูกตัดมาจากที่แปลง วางกองกันอยู่บนโต๊ะเป็กองใหญ่ ๆ แถมยังมีกองผักแบบนั้นหลายชนิดอีกต่างหาก
พี่อูนไม่ได้พูดอะไรมากมาย เขาผายมือไปทางกองผักพวกนั้นเหมือน้าจะบอกให้ผมลงมือทำได้เลย ซึ่งผมก็ยอมทำตามอย่างว่าง่าย ผักพวกนี้เป็ผักที่ผมเคยเห็นพี่ปรงปลูก แต่ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเขาปลูกผักเยอะขนาดนี้ เขางานเยอะมากขนาดนี้ แต่เขาก็ยังหาเวลามาก่อกวนผมได้ตลอดเลยสินะ
การล้างผักเป็หนึ่งในขั้นตอนที่ผมเกลียดที่สุดของการปลูกผักเลย ตามซอกใบของผักที่เป็หัวมักจะมีดินเข้าไปติดอยู่ ซึ่งผมจะต้องล้วงมือเข้าไปล้างมันให้สะอาดโดยไม่ให้ใบหักหรือช้ำ แน่นอนว่าคนแบบผมไม่สามารถทำได้ง่าย ๆ ผมเลยมักจะใช้เวลาค่อนข้างเยอะในการล้างผักแต่ละต้นให้สะอาด ขนาดผักของตัวเองที่เคยปลูก ๆ มาก็ยังไม่เคยล้างด้วยตัวเองเลย
“ลองใช้นิ้วสอดเข้าไปแบบนี้ แล้วใบมันจะไม่หัก” พี่อูนยกกองผักพวกนั้นมาวางลงในซิงค์เพื่อให้ผมล้าง หลังจากนั้นเขาก็หยิบผักคอสต้นหนึ่งขึ้นมาก่อนจะสาธิตวิธีการล้างให้ผมดู ซึ่งผมก็พยายามจะทำตามเขาด้วยความทุลักทุเลและผมก็พยายามล้างด้วยความเบามือที่สุดแล้ว แต่ผักมันก็ไม่ยอมสะอาดสักที
“แบบนี้เหรอ” ผมลองทำตามแบบเขาแล้วยื่นไปทำตรงหน้าเขาเพื่อให้เขาดู พี่อูนยื่นมือมาจับมือผมให้ขยับตามเขา ก่อนที่เขาจะขยับตัวเข้ามาจนชิดกับผม
“เปิดใบมันออกมาได้นิดหน่อย แต่อย่าเปิดเยอะจนใบมันหัก”
พี่อูนพูดยังไม่ทันขาดคำ ผมก็ทำใบของผักคอสหักไปแล้วสองใบ หลังจากนั้นผมก็วางต้นนั้นลงในซิงค์เหมือนเดิมก่อนที่ผมจะทำมันพังไปมากกว่านี้ พี่อูนที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ผมก็ยื่นมือไปหยิบต้นนั้นมายัดใส่มือผมอีกครั้ง
“มันยากอะพี่อูน” ผมเริ่มงอแง
“ไม่ยาก”
“มีอย่างอื่นให้ผมทำไหม ผมไม่อยากทำงานพี่ปรงพัง”
“หรือจะไปทำงานแทนพี่ แล้วเดี๋ยวพี่ทำอันนี้เอง”
“งานพี่คืออะไรครับ”
“เพาะเห็ด”
เห็ดอีกแล้ว
ผมถอนหายใจออกมาทันทีที่ได้ยินคำตอบของพี่อูน ตอนนี้ผมเริ่มเอียนเห็ดขึ้นมาแล้ว ได้ยินเื่เห็ดอยู่ข้างหูบ่อย ๆ จนแทบไม่อยากได้ยินอีกแล้ว ถ้าเป็ไปได้ ผมก็ไม่อยากไปยุ่มย่ามกับเห็ดยามาบูฯพี่ปรงและของพี่อูนอีกแล้ว เวลาไปยุ่งเื่เกี่ยวกับเห็ดยามาบูฯทีไร ก็จะมีเื่ยุ่ง ๆ ตามมาให้ปวดหัวตลอด
“ผมทำอันนี้ก็ได้” ผมตอบกลับไปอย่างจำใจ หลังจากนั้นผมก็ยอมรับผักคอสต้นเดิมมาจากพี่อูน ถึงแม้ว่าผมจะทำใบมันหักไปสองใบแล้วก็ตาม แต่ต้นก็ยังดูเขียวสวยน่ากินอยู่เหมือนเดิม พี่ปรงนี่เขาปลูกผักเก่งสมคำร่ำลือจริง ๆ สินะ
“เดี๋ยวพี่สอน” พี่อูนพูดพร้อมกับขยับตัวเข้ามาใกล้ ๆ ก่อนที่เขาจะยื่นมือมาจับมือผมให้ทำตามที่เขาบอก เขาพูดอธิบายอะไรสักอย่าง แต่ตอนนี้หูของผมไม่ได้ฟังคำพูดของเขาอีกต่อไปแล้ว
ผมเงยหน้าไปมองใบหน้าด้านข้างของพี่อูนด้วยความรู้สึกบางอย่าง ทั้งรอยยิ้มของเขา น้ำเสียงและท่าทาง ทุกอย่างที่เขากำลังทำอยู่ตอนนี้ มันเหมือนกับที่เขาเคยทำกับผมตลอดมา แม้แต่ลักยิ้มที่ข้างแก้มที่มักจะบุ๋มลงไปเวลาที่เขายิ้มหรือหัวเราะ ผมก็ยังรู้สึกคุ้นเคยกับมัน พี่อูนเขายังเหมือนเดิมทุกอย่างไม่มีเปลี่ยน
แต่สิ่งที่แปลกไปกลับเป็ความรู้สึกของผม
ผมไม่ได้ใจเต้นให้กับความเป็เขาอีกแล้ว ไม่ว่าเขาจะยิ้มได้น่ารักมากแค่ไหน หรือว่าเขาจะใจดีกับผมมากแค่ไหน ความรู้สึกของผมที่มีต่อเขาในตอนนี้ก็เป็เพียงแค่ความรู้สึกที่รุ่นน้องคนหนึ่งจะให้กับรุ่นพี่
เพราะอะไรกันนะ?
“ผมพอจะเข้าใจแล้วครับ” ผมตอบกลับไปก่อนจะหดมือตัวเองกลับมา พี่อูนชะงักไปเล็กน้อย หลังจากนั้นเขาก็ยอมปล่อยมือของตัวเองออกจากมือของผม ระหว่างนั้นเราทั้งสองคนก็ยืนอยู่ข้างกันโดยไม่มีใครพูดอะไรออกมา
ผมล้างผักคอสไปได้จนเกือบบหมดโดยมีพี่อูนคอยชี้บอกอยู่ข้าง ๆ พร้อมกับล้างผักชนิดอื่นไปด้วย จากที่ตอนแรกผมตั้งใจว่าถ้าล้างผักให้พี่ปรงเสร็จเร็ว ผมจะไปช่วยเพื่อนทำงานต่อที่ฟาร์ม แต่พอเงยหน้าขึ้นมามองนาฬิกาอีกทีก็พบว่าตอนนี้เวลาล่วงเลยมาจนถึงเย็นแล้ว ไม่รู้ว่าเพื่อนจะทำงานกันเสร็จหรือยัง
ผักต้นสุดท้ายที่ผมล้างเสร็จถูกโยนใส่ไปในตระกร้าผักใบใหญ่ หลังจากนั้นผมก็เดินกลับมาที่กระเป๋าของตัวเองที่วางอยู่บนโต๊ะในห้องภาค ห่างจากบริเวณซิงค์ล้างผักเพียงเล็กน้อย พอผมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูก็พบว่าน้อยหน่าโทรเข้ามาหาผมเป็สิบ ๆ สาย แถมยังมีข้อความที่ส่งมาถามว่าผมอยู่ไหนอีกหลายข้อความ
ในขณะที่ผมกำลังจะกดต่อสายกลับไปหาน้อยหน่า จู่ ๆ ประตูห้องภาคก็ถูกเปิดออกอย่างรุนแรงจนเกิดเสียงดังขึ้นไปทั่วบริเวณ ผมสะดุ้งเล็กน้อยด้วยความใ พอหันไปมองก็พบว่าเป็เพื่อนในกลุ่มที่กำลังเดินเข้ามา รั้งท้ายคือน้อยหน่าที่กำลังมองมาทางผมอยู่เช่นกัน คนที่เดินมาหยุดตรงหน้าผมก็คือส้มโอ
“ทำไมแกไม่ไปทำงาน” ส้มโอเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ปกติ ใบหน้าของเธอก็ไม่ได้แสดงออกว่าโกรธหรือโมโหอะไร แต่ผมกลับรู้สึกกลัวจนใจเต้นไม่เป็จังหวะ เพราะครั้งสุดท้ายที่เราเผชิญหน้ากันมันไม่ใช่เื่ที่ดีเท่าไหร่นัก
“พอดีเราช่วยงานพี่อูนอยู่น่ะ ตั้งใจว่าถ้าทำเสร็จแล้วก็จะลงไปช่วยพวกแกต่อ”
“แกลืมไปหรือเปล่าว่างานนี้มันเป็งานแกด้วย”
“ขอโทษนะ”
“งานรุ่นพี่มันสำคัญกว่างานแกหรือไง” ส้มโอยกมือขึ้นกอดอกและเอ่ยถามมาด้วยน้ำเสียงที่เริ่มดังขึ้น ท่าทางและคำพูดของเธอทำให้ผมเริ่มหันซ้ายหันขวาหาตัวช่วย
“พี่เป็คนขอให้ทานตะวันมาช่วยเอง มีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
และตัวช่วยของผมที่เดินเข้ามาได้ทันเวลาพอดีก็คือพี่อูน เขาเดินมาหยุดข้างผมก่อนจะเอ่ยบอกเพื่อนในกลุ่มของผมด้วยน้ำเสียงปกติของเขา
“ทานตะวันไม่ได้บอกพี่เหรอว่าเขามีงาน”
“บอกนะ”
“…”
“แต่อาจารย์บอกพี่ว่าไม่ให้ทานตะวันไปทำงาน เพราะที่ผ่านมาเขาทำงานเกินคะแนนที่ได้แล้ว พี่ก็เลยเอามาช่วยงานแทน” พี่อูนตอบกลับไปก่อนจะยิ้มออกมา เป็ครั้งแรกที่ผมรู้สึกรอยยิ้มของเขาก็แอบร้ายอยู่เหมือนกัน เขาเป็คนที่พูดอะไรก็มักจะพูดไปยิ้มไปด้วยเสมอ แต่ผมก็ไม่รู้เลยว่ารอยยิ้มของเขามันคือความรู้สึกแบบไหนกันแน่
“…”
“ไหน ๆ ครั้งนี้ก็เป็ครั้งสุดท้ายแล้ว ถือซะว่าทำงานชดใช้ให้พี่ก็ได้นะ เพราะ่แรก ๆ ที่พวกเราไม่ยอมมาทำงาน พี่ก็ไปช่วยทานตะวันทำงานแทนเราตลอด” พี่อูนตอบกลับไปก่อนจะเผยยิ้มกว้างออกมา ซึ่งนั่นก็ทำให้คนที่ยืนอยู่ตรงข้ามเริ่มหน้าเสีย ทั้งสามคนหันมามองผมนิดหน่อย ก่อนที่จะพากันเดินออกจากห้องไปเลย
“พี่อูนน่าจะให้ผมไปช่วยเพื่อนทำงานก่อน” ผมบ่นอุบอิบ
“ช่างมันน่า ยังไงเราก็ไม่ต้องเจอคนพวกนั้นอีกแล้ว ครั้งนี้เป็ครั้งสุดท้ายแล้วไม่ใช่หรือไง อย่าไปคิดมากเลย” พี่อูนโน้มตัวลงมาก่อนจะพูดกับผมด้วยใบหน้าที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาว ก่อนที่เขาจะยื่นมือมาจิ้มตรงกลางหน้าผากของผมเบา ๆ แล้วพูดขึ้นต่อด้วยรอยยิ้ม “คิ้วขมวดจนเป็ปมแล้ว น่ารักจริง ๆ”
พี่อูนเดินกลับไปทำงานของตัวเองต่อ ผมยกมือขึ้นมาลูบหน้าผากของตัวเองเบา ๆ ก่อนจะหันไปมองพี่อูนที่ยืนอยู่ที่อีกมุมหนึ่งพร้อมกับเผลอยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่ได้ ถึงผมจะบอกว่าตัวเองไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขาแล้วจริง ๆ ผมไม่ได้ใจเต้นกับเขาอีกต่อไปแล้ว แต่ไม่ว่ายังไง พี่อูนเขาก็ยังเป็คนที่น่ารักมาก ๆ ในสายตาของผมอยู่ดี
เขาจะยังคงเป็ที่สุดของผมเสมอ
แต่ความสัมพันธ์ของเรามันก็จะไม่มีวันเป็มากกว่านี้อีกแล้ว