อวิ๋นจื่อจดจำเนื้อเพลงเมฆหมอกเหนือลำน้ำเซียวเซียงได้ขึ้นใจ ในเมื่อเสด็จแม่ทุ่มเทเวลามากมายในการสอนเพลงนี้ให้แก่นาง มันอาจบอกเล่าเกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิตของเสด็จแม่ก็เป็ได้
สิ่งที่ชายผู้นั้นพูดเมื่อครู่นี้ทำให้นางทบทวนสิ่งต่างๆ ใหม่อีกครั้ง
เหตุใดเพลงดังกล่าวถึงมีความหมายเช่นนี้?
เสด็จอามีนามว่าอวิ๋นเซียว
ส่วนเสด็จพ่อมีนามว่าอวิ๋นหาน
เมื่อนำมารวมกันคือเซียวหาน
นี่ถือเป็ความลับของตระกูลอวิ๋นหรือความลับของเสด็จอาหรือไม่?
นางขบคิดอย่างจริงจัง
ทันใดนั้นอวิ๋นจื่อก็เงยหน้าขึ้นและมองสาวใช้สามคนที่อยู่กับนาง นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “หงจินไปที่โถงด้านหน้า ดูว่าพิธีประชันสาวงามดำเนินไปถึงไหนแล้ว”
หงจินรับคำและเดินออกจากห้อง
หลังจากที่นางจากไป อวิ๋นจื่อครุ่นคิดกับตัวเองว่าสาวใช้คนนี้ค่อนข้างภักดี หากสั่งสอนดีๆ บางทีในอนาคตอาจมีประโยชน์มาก
จากนั้นนางก็วางตะเกียบในมือแล้วกล่าวว่า “เ้าสองคนมีใครรู้จักเพลงเมฆหมอกเหนือลำน้ำเซียวเซียงหรือไม่?”
สีหน้าของสาวใช้ทั้งสองเปลี่ยนไป พวกเขาคุกเข่าลงพร้อมกันและเตรียมที่จะคารวะผู้เป็นาย
อวิ๋นจื่อส่งเสียงห้ามพวกนางเบาๆ “ระวังด้วย กำแพงมีหู”
สาวใช้สองคนจึงคุกเข่าอยู่แบบนั้นและกล่าวว่า “เราสองคนรู้ตัวตนของคุณหนูแล้ว คุณหนูไม่จำเป็ต้องพูดอะไรมากกว่านี้”
น้ำเสียงของอวิ๋นจื่อผ่อนคลายลง “ข้าแค่อยากรู้ว่าเพลงนี้มีความหมายอย่างไรต่อเ้านายเก่าของพวกเ้า ข้าอยากรู้ด้วยว่ามีกี่คนที่รู้จักเพลงนี้”
ไป๋จื่อกระซิบ “คุณหนูโปรดอย่ากังวล มีเพียงผู้ที่ใกล้ชิดกับนายท่านเท่านั้นที่รู้จักเพลงนี้ อันที่จริงมีคุณหนูเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถเล่นเพลงนี้ได้และยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน”
อวิ๋นจื่อกล่าวว่า “ถ้าข้าบอกว่าข้าเรียนเพลงนี้มาจากสหายคนหนึ่ง พวกเ้าจะเชื่อข้าหรือไม่?”
ไป๋จื่อพูดด้วยท่าทีเคร่งขรึม “คุณหนู เพลงนี้ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสิบปีในการฝึกฝน”
อวิ๋นจื่อเข้าใจคำพูดนี้เป็อย่างดี เสด็จแม่ใช้เวลาเกือบสิบปีในการสอนเพลงนี้ให้นาง แต่ในภายหลังอวิ๋นจื่อกลับไม่เคยเล่นมันเลย บางทีอาจเป็เพราะหลังจากที่นางรู้ว่าเสด็จแม่ถูกโจวกุ้ยเฟยทำร้ายจนตาย นางก็ไม่อยากเล่นเพลงนี้อีก
ตอนนี้เมื่อลองคิดทบทวนดู เสด็จแม่สอนเพลงกู่ฉินให้นางมากมาย แต่เมื่อต้องเข้าร่วมงานต่างๆ หรือเล่นกู่ฉินให้เสด็จพ่อฟัง ทั้งเสด็จพ่อและตัวนางเองกลับไม่เคยถามถึงหรือหยิบยกเอาเพลงนี้ขึ้นมาเล่นเลย
หรือเป็เพราะมันมีความลับของตระกูลอวิ๋นซ่อนอยู่?
แล้วชายวัยกลางคนที่เข้ามาในห้องนางเมื่อครู่นี้เป็ใคร?
อวิ๋นจื่อจำสิ่งที่นางเคยอ่านเจอในหนังสือได้ลางๆ นั่นคือ เมื่อครั้งเสด็จอายังหนุ่มทรงมีชื่อเสียงโด่งดังมาก ต่อมาเมื่อเกิดาชายแดน เสด็จอาก็ได้นำทัพไปป้องกันศัตรูที่ชายแดนและกลายเป็เทพาในใจของชาวอวิ๋นเมิ่ง เขาได้รับฉายาเทพาและอ๋องนักบุญ การสิ้นพระชนม์ก่อนวัยอันควรและการไม่มีทายาทสืบทอดเชื้อสายทำให้เขากลายเป็ตำนานอย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อก่อนนางชื่นชมเสด็จอามาก ทุกคนในเมืองอวิ๋นเมิ่งรู้ว่านางเป็หลานสาวที่เสด็จอารักและเอ็นดูราวกับเป็บุตรีของตนเอง นางจำได้ว่าหนังสือภาพบางเล่มถึงขั้นระบุว่านางเป็บุตรีของเสด็จอาด้วยซ้ำ
จู่ๆ วันหนึ่งสิ่งที่อวิ๋นจื่อเคยเพิกเฉยและไม่เคยปักใจเชื่อกลับกลายเป็ความจริง
มีเพียง์เท่านั้นที่รู้ว่านางจะยอมรับและจัดการกับมันอย่างไร
ถ้าวันหนึ่งนางกลับไปที่เมืองอวิ๋นเมิ่ง นางต้องแบกโลงศพของเสด็จพ่อไปที่สุสานเพื่อทำตามจารีตประเพณี
นี่เป็เื่ใหญ่เื่แรกที่นางต้องทำ
ส่วนเสด็จอาก็จะเป็เสด็จอาตลอดไป
แม้ว่านางจะกลับไปที่เมืองอวิ๋นเมิ่ง นางก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเสด็จอาได้
นั่นย่อมเป็ไปไม่ได้อย่างแน่นอน!
ไป๋จื่อกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้คุณหนูคงจะทุกข์ทรมานมาก คุณหนูวางแผนว่าจะทำอย่างไรต่อเ้าคะ?”
อวิ๋นจื่อตอบเบาๆ “ก่อนอื่นพวกเ้าจะต้องไม่ปริปากเื่ตัวตนของข้า”
ทั้งสองพยักหน้า จากนั้นหงหลิงก็เสริมว่า “คุณหนูเ้าคะ ตามกฎแล้วท่านเป็ผู้สืบทอดของนายท่าน นับเป็นายเหนือโดยไม่มีข้อโต้แย้งเ้าค่ะ”
อวิ๋นจื่อถามกลับว่า “เ้าสองคนจะภักดีต่อข้าเพียงผู้เดียวหรือไม่? ในเมื่อตอนนี้พวกเ้ารู้แล้วว่าข้าเป็ใคร”
ไป๋จื่อตอบว่า “คุณหนูไม่ต้องกังวล เราจดจำคำสั่งของนายท่านได้ ย่อมไม่มีสิ่งใดส่งผลกระทบและส่งผลเสียต่อคุณหนูอย่างแน่นอน”
อวิ๋นจื่อพยักหน้า “ข้าบอกตัวตนของข้าเฉพาะกับคนที่ข้าไว้ใจ เพราะถ้าตัวตนของข้าถูกเปิดเผย ตระกูลอวิ๋นจะถูกทำลาย”
ทันใดนั้นหงจินก็เดินเข้ามา นางกล่าวเบาๆ ว่า “คุณหนู อีกไม่นานก็ถึงเวลาแสดงแล้วเ้าค่ะ”
สาวใช้ทั้งสามช่วยกันแต่งตัวให้อวิ๋นจื่อ เมื่อเห็นไป๋จื่อถือกู่ฉิน หงหลิงก็เตรียมที่จะออกไปพร้อมกัน แต่ไป๋จื่อกลับกล่าวเบาๆ ว่า “หงหลิงเ้าเก็บของอยู่ที่นี่ก่อน ส่วนข้ากับหงจินจะออกไปพร้อมคุณหนู”
หงหลิงตอบรับและอยู่ต่อ
หงจินรู้สึกสับสนเล็กน้อย ตามปกติแล้วไป๋จื่อและหลงหลิงมักทำทุกอย่างด้วยกัน เหตุใดวันนี้พวกนางถึงแยกจากกันได้? เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
อวิ๋นจื่อกล่าวเบาๆ “เ้าทั้งสามต้องรักใคร่กลมเกลียวกัน อย่าอิจฉาริษยาหรือกลั่นแกล้งกันต่อหน้าข้า สำหรับข้าพวกเ้าคือคนที่ข้าไว้ใจที่สุด”
หญิงสาวทั้งสามรับคำด้วยรอยยิ้ม
หงจินตามอวิ๋นจื่อไปที่ห้องโถงด้านหน้าอย่างมีความสุข
ภาพที่อวิ๋นจื่อเห็นคือจอกสุรากำลังกระทบกัน เสียงเพลงดังต่อเนื่องไม่มีหยุด ความงดงามและความครื้นเครงเช่นนี้ดูมีชีวิตชีวายิ่งกว่างานเลี้ยงในวังหลวงเสียอีก นั่นเป็เพราะงานเลี้ยงในวังหลวงมักเต็มไปด้วยกฎระเบียบจึงไม่มีผู้ใดสามารถปล่อยตัวปล่อยใจและดื่มด่ำไปกับความสุขได้
บางทีสถานที่แห่งนี้ก็มีประโยชน์เช่นกัน
สถานที่ที่ปกคลุมไปด้วยความอบอุ่นเช่นนี้ดูเหมือนจะสามารถขจัดหมอกควันในหัวใจของนางได้
อวิ๋นจื่อรู้สึกสบายใจมาก นางรู้สึกราวกับไม่ต้องแบกรับอะไรไว้มากมาย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้