“ไม่นะ แม่นาง แม่นางจะทำเช่นนี้ไม่ได้”
หญิงสาวกลับไม่ตอบ เพียงหลับตาลง นางเท้าแขนทั้งสองข้างไว้ที่ต้นขาของเจี่ยหลี เพื่อให้เหมาะกับการเข้ามาของท่อนเนื้ออันใหญ่โต
นางพยายามอดทนต่อเสียงครางที่วนเวียนอยู่ในลำคออย่างเต็มที่ “อืม...ฮู้...อืม เอ่อ...”
เมื่อนางโน้มเอวลงต่ำ ช่องสวาทที่มีแต่เนื้อเยื่ออันซับซ้อนและยืดหยุ่นก็เลื่อนผ่านส่วนหัวที่บอบบางของเจี่ยหลีทีละน้อย
ในเวลานี้ อาจเป็เพราะเจี่ยหลีชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ มือทั้งสองข้างของหญิงสาวจึงลื่นหลุด ท่อนเนื้อที่สูงชูชันจึงจมดิ่งลงสู่ส่วนลึกที่สุดของกลีบผกาในพริบตา
“อ๊า!”
เสียงร้องอุทานนี้ไม่ดังนัก อุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่ทันตั้งตัว กลับทำให้ช่องบุปผาที่ชุ่มฉ่ำของนางหดเกร็งในทันที เจี่ยหลีที่ไม่เคยลิ้มรสความหอมหวานขอสตรีมาก่อน จะทนต่อความรู้สึกเช่นนี้ได้อย่างไร?
ความรู้สึกชาแผ่ซ่านไปทั่วร่างของเจี่ยหลีในทันที ทำให้บุรุษผู้กล้าแกร่งผู้นี้ต้องเกร็งเอวโดยไม่รู้ตัว เขาส่งเสียงครางทุ้มต่ำ สติสัมปชัญญะหลุดลอยหายไป น้ำวิสุทธิ์ที่ร้อนผ่าวพุ่งเข้าไปในช่องสวาทของหญิงสาวแปลกหน้าจนหมดสิ้น
ดูเหมือนว่าแม้แต่หญิงสาวผิวสีน้ำผึ้งที่กระตือรือร้นเช่นนี้ก็ยังประหลาดใจ ทุกครั้งที่หลั่งน้ำวิสุทธิ์ออกมา เหมือนมีแรงกระตุ้นภายในช่องบุปผา ทำให้นางเม้มริมฝีปากอย่างอดไม่ได้ เอวที่บอบบางสั่นเทาไม่หยุด
“ขอโทษ...” เจี่ยหลีรู้ดีว่าตนเองไม่มีปัญญาจะรับผิดชอบได้ ในใจจึงมีแต่ความรู้สึกผิด “แม้จะไม่รู้ว่าแม่นางทำเช่นนี้กับข้าทำไม แต่ข้า...อื้อ”
เขายังพูดไม่ทันจบ ความรู้สึกคุ้นเคยก็ไหลเข้าสู่แท่งัของเขาอย่างอ่อนโยน
เป็พลังปราณที่กำลังไหลเวียน
“ไม่ต้องพูด”
เสียงกระซิบแ่เบาของหญิงสาวทำให้เจี่ยหลีรู้สึกร้อนรุ่มและคันยุบยิบไปทั้งตัว เห็นเพียงปลายหูของนางแดงปลั่งและร้อนผ่าว แต่สีหน้ายังคงเ็า ราวกับแสงจันทร์ที่ถูกตัดออกมาจากเขาลั่งอวิ๋น หากช่องสวาทของนางไม่ได้กลืนกินท่อนเนื้อของเจี่ยหลีอยู่ รูปร่างของนางคงจะสง่างามและไร้ที่ติเลยทีเดียว
นางโน้มกายลงอีกครั้ง ปิดริมฝีปากที่แห้งผากของนักพรตที่ควรจะมีจิตใจบริสุทธิ์ด้วยความอ่อนโยน ปลายลิ้นที่อ่อนนุ่มกวาดเลียในปากของนักพรตผู้ควรมีจิตใจบริสุทธิ์ผู้นี้ เจี่ยหลีที่สับสนอยู่ในใจเมื่อได้รับการจูบเช่นนี้ แท่งัที่ควรจะอ่อนล้ากลับแข็งแกร่งขึ้นในขณะที่หลั่งน้ำวิสุทธิ์อยู่
“อืม อื้อ...” หญิงสาวยังไม่หยุดจูบ เสียงครางที่มาพร้อมกับกลิ่นหอมของดอกไม้ ทำให้เจี่ยหลีเกิดไฟราคะ
นางประทับจูบพลางโยกเอวขึ้นลงอย่างแ่เบา
“อืม...อืม ฮือ...อ๊า อืม...”
ฝึกฝนจิตใจในสถานที่บำเพ็ญเพียรกระบี่มาั้แ่เด็ก แม้จะเป็ผู้นำแห่งแปดกระบี่ไท่สิง ก็ยังมีท่อนเนื้อที่บริสุทธิ์ไม่เคยััหยาดน้ำค้างจากสตรี ดังนั้นแล้วเขาจะทนต่อการกลืนกินซ้ำแล้วซ้ำเล่าของริมฝีปากที่อ่อนนุ่มเช่นนี้ได้อย่างไร?
“อ๊าก!” เจี่ยหลีที่ไม่สามารถขยับร่างกายได้ ทำได้เพียงเงยหน้าขึ้นสูง ปล่อยให้ความสุขที่ถาโถมเข้าใส่ระบายออกมาอย่างเปล่าประโยชน์
ทั้งไม่อาจหลีกเลี่ยงการจูบที่หอมหวาน ทั้งไม่อาจหยุดยั้งการพุ่งทะยานของน้ำวิสุทธิ์
ของเหลวอุ่นๆ เติมเต็มหม้อน้ำผึ้งในท้องน้อยของหญิงสาว ในขณะที่กระแสพลังอันอบอุ่นก็ไหลผ่านแท่งัเข้าไปในเส้นลมปราณอย่างต่อเนื่อง เจี่ยหลีััได้ว่าทะเลปราณกำลังร้อนผ่าว และแผดเผา ความรู้สึกคันยุบยิบและเสียวซ่านกระตุ้นน้ำวิสุทธิ์อย่างต่อเนื่อง ถูกดูดออกจากผลหยกคู่ครั้งแล้วครั้งเล่า
จนกระทั่งเขารู้สึกว่าร่างกายของตนเองเหี่ยวเฉาไปแล้ว หญิงสาวผิวสีน้ำผึ้งจึงผละริมฝีปากออกจากเขา บนใบหน้ารูปไข่ มีสีแดงระเรื่อราวลูกท้อปรากฏอยู่เล็กน้อย ในขณะที่ลำคอชุ่มไปด้วยเหงื่อของนาง ส่องประกายอันเย้ายวนไปตามเปลวไฟที่ส่องกระทบ
หลังจากนั้นไม่นาน นางก็ยืดตัวขึ้น ปล่อยให้แท่งัที่อ่อนปวกเปียกเลื่อนหลุดออกจากช่องบุปผาที่อ่อนนุ่มและอบอุ่นของนาง เจี่ยหลีจึงได้รู้ว่า ภายใต้ขนตาที่งดงามของนาง ในดวงตาสีเพลิงคู่นั้น มีคลื่นน้ำที่ชุ่มชื้นอยู่
นั่นคือน้ำตาที่ยังคงวนเวียนคลอในดวงตา
และนิ้วเรียวงามของนางก็สั่นเล็กน้อย แตะไปยังส่วนลับของหญิงสาวที่เคยผสานกัน เมื่อััช่องสวาท หญิงสาวที่มีสีหน้าเ็าราวกับเกล็ดหิมะสีเงินกลับขมวดคิ้วด้วยความเ็ป
มีเืเปื้อนอยู่ที่มือของนาง นั่นคือร่องรอยแรกแย้มที่อ่อนเยาว์อย่างไม่ต้องสงสัย
“เป็ไปได้อย่างไร...” เจี่ยหลีเ็ปจนใบหน้าบิดเบี้ยว “ข้าทำอะไรลงไป...”
“ท่านเซียนไม่ได้ทำอะไร...” หญิงสาวลุกขึ้นจัดการเสื้อผ้าที่ยังเปียกชื้นอยู่ ขาเรียวของนางถูกชโลมไปด้วยเืและคราบน้ำ “ข้ามีพลังพิเศษ ทำเช่นนี้...ก็เพื่อช่วยท่าน”
พลังงานจากหญิงสาวเริ่มไหลเวียนในร่างกายของเขาอย่างไม่หยุดหย่อน เจี่ยหลีทำได้เพียงตั้งใจรวบรวมพลัง ปิดผนึกจิตใจไว้ใต้สำนึก
นางเป็ใคร? ทำไมถึงทำเช่นนี้? แม้จะเป็การช่วยชีวิตคน แต่ก็ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่นางกลับมอบพรหมจรรย์ให้ง่ายๆ เช่นนี้เลยหรือ? ก่อนที่จะเข้าสู่ฌานนึกคิด เจี่ยหลียังไม่ทันได้ครุ่นคิดให้ลึกซึ้ง สติสัมปชัญญะของเขาก็พลันดำดิ่งลงสู่ความมืดมิดอีกครั้ง...
ในห้วงแห่งภวังค์ จิตสำนึกดิ่งลงสู่ความมืดมิดอันไร้ที่สิ้นสุด มีเสียงกระซิบแว่วหวาน เสียงขับขานก้องกังวาน
เจี่ยหลีทอดสายตาไปยังมือทั้งสองข้างที่โปร่งแสงดุจแก้วผลึก พลันตระหนักว่าตนเองมิได้ยืนอยู่บนโลกแห่งความเป็จริงอีกต่อไป
ปราณอันอบอุ่นนำพากำลังภายในให้ไหลเวียน พลังฝีมือที่เคยสูงส่งถึงขั้นแปดประทับ บัดนี้กลับมลายหายไปราวกับไอน้ำที่ระเหยขึ้นสู่ฟ้า ทิ้งไว้เพียงพลังปราณแท้ที่าเ็ ทะเลปราณที่ว่างเปล่า เส้นลมปราณที่บิดเบี้ยว แม้ตายก็มิใช่เื่แปลก
ในหุบเขาเจิ้นหลง ผู้คนล้วนเจนจัดในพิษร้าย และพิษร้ายยังคงไหลเวียนในเส้นชีพจรของเขาราวกับโลหิตดำ ทว่าท่ามกลางความมืดมิด ปรากฏเงาร่างสตรีผู้หนึ่งที่ดูแสนคุ้นเคย ผมของนางยาวสลวยดุจแพรไหม ร่างกายขาวซีดคล้ายภาพลวงตา ทว่าใบหน้าสง่างามเคร่งขรึมนั้นกลับเผยให้เห็นความอ่อนโยนจนทำให้คนแทบกลั้นหายใจ
เมื่อพิจารณาดู รูปโฉมนั้นกลับละม้ายคล้ายสตรีที่เพิ่งจะมอบกายให้แก่เขาเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา ความผูกพันลึกซึ้งระหว่างนางกับร่างจำแลงนี้เริ่มต้นขึ้นได้อย่างไร?
เจี่ยหลีปล่อยใจให้เป็ไปตามใจของร่างจำแลง เขาท่องไปในร่างที่บอบช้ำ ให้นางเป็ผู้ชี้นำทาง ให้นางปลอบประโลมดวงใจ
จากนั้น ภพภูมิพลันแปรเปลี่ยนไป ฟ้าดินกลับสดใสกระจ่างแจ้ง
เหมือนเขาพุ่งทะลวงเข้าสู่ถ้ำวิมานศักดิ์สิทธิ์โดยไม่ได้รับเชิญ เจี่ยหลีที่สูญสิ้นร่างเซียน แปรเปลี่ยนเป็มนุษย์ธรรมดา กลับตระหนักได้ว่าตนเองไม่คู่ควรกับสภาพแวดล้อมอันบริสุทธิ์เช่นนี้
ภพภูมินี้เป็ของผู้ใดกัน?
ท้องฟ้าสีคราม แผ่นดินเขียวชอุ่ม มีสะพานเล็กทอดข้ามลำธารใส ภูผาที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ขับเน้นให้หมู่มวลดอกไม้และใบไม้ดูสดใสยิ่งขึ้น
เบื้องหน้าปรากฏภาพเท้าเล็กๆ ที่เปลือยเปล่าของเด็กหญิงผู้หนึ่งกำลังเร่งเดินตามฝีเท้าของบุรุษหนุ่ม แต่เร่งเดินเท่าไรก็ไม่ทัน ทว่าบุรุษผู้นั้นกลับไม่ได้สนใจ เขาฉุดมือเล็กกระจ้อยของเด็กหญิงลากไปยังประตูไม้หน้ากระท่อม
เด็กหญิงผู้นั้นดวงตาเหม่อลอย ก้มหน้าลงไม่เอ่ยสิ่งใด ปล่อยให้นักพรตผู้นั้นสะบัดแขนเสื้อ เตรียมจากไปอย่างไร้เยื่อใย
จากนั้นเจี่ยหลีราวกับนึกอะไรขึ้นได้ เขาจึงหยุดชะงักลง
เขาหันหลังกลับมาก็พบว่า ร่างจำแลงที่ล่องลอยมาพร้อมกับเขาเมื่อครู่ บัดนี้กลับไปยืนอยู่ด้านหลังของเด็กหญิงคนนั้น นางกางแขนออก โอบกอดเด็กหญิงอย่างทะนุถนอม
“เ้าจะตำหนิข้าอีกแล้วสินะ” ในน้ำเสียงที่ดังขึ้นมีทั้งความอ้างว้าง ความเ็า ความคิดถึงและความปรารถนาปะปนอยู่ “จะตำหนิข้าที่เอาแต่ใจ จะว่าข้าที่กำลังบีบคอผู้คนทั้งโลก เช่นเดียวกับที่ข้าฉุดกระชากเด็กหญิงผู้นี้ ขัดขวางวิถีของพวกเขาอย่างนั้นรึ?”
เจี่ยหลีไม่เสียเวลาคิด ก็รู้ว่าเสียงนั้นเป็ของผู้มีพระคุณที่ให้ชีวิตใหม่แก่เขา นั่นคือต้วนเจิ้งสิง เ้าสำนักกระบี่ไท่สิง ผู้ที่ตอนนี้ควรจะปิดด่านบำเพ็ญตบะอยู่ในด่านเหยียนฮู่
สามสิบปีก่อน เขาคุกเข่าคำนับเซียนกระบี่ที่เหาะลงมาจากฟากฟ้า ณ บ้านเกิด จนกำเนิดเป็เจี่ยหลี กระบี่เจิ้งหยาง ผู้เป็หนึ่งในแปดกระบี่แห่งไท่สิง ในความทรงจำของเขา อาจารย์เป็ผู้เที่ยงตรง เด็ดเดี่ยว แม้บุคลิกจะแข็งกร้าว แต่ก็เปี่ยมด้วยเมตตาอันลึกซึ้ง เขาไม่เคยได้ยินอาจารย์กล่าววาจาเช่นนี้มาก่อน
แต่ร่างจำแลงไม่ได้ปริปาก นางกางแขนโอบกอดเด็กหญิงผิวสีน้ำผึ้งไว้ และจ้องไปยังต้วนเจิ้งสิงด้วยความขุ่นเคือง พวกเขาจ้องมองกันราวครึ่งเวลาก้านธูป