ติงเหว่ยประคองเฉิงเหนียงจื่อขึ้นมาและพูดปลอบใจนิดหน่อย นางมองไปที่ห้องหลักเห็นว่ายังไม่ได้ดับไฟจึงขอให้อวิ๋นอิ่งและเฉิงเหนียงจื่อทั้งสองคนช่วยกันดูแลอันเกอเอ๋อร์ จากนั้นนางก็ถือห่อของออกจากห้องไป
กงจื้อิใช้ผ้านวมคลุมขาและมีเสื้อคลุมสีเขียวพาดอยู่ที่ไหล่ เขากำลังมองเทียนที่อยู่บนโต๊ะอย่างเหม่อลอย ท่านลุงอวิ๋นยืนอยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้ามืดหม่น
ติงเหว่ยรายงานตัวอยู่ที่ด้านนอกของประตู ในขณะที่กำลังจะก้าวขาเข้าไปก็เห็นสีหน้าที่ดูลังเลเล็กน้อยของทั้งสองคน
ท่านลุงอวิ๋นกลับรีบเดินมาข้างหน้าและถามด้วยรอยยิ้มว่า “เหตุใดดึกขนาดนี้แล้วเ้ายังมาที่นี่ล่ะ อันเกอเอ๋อร์หลับไปแล้วอย่างนั้นหรือ?”
“เ้าเด็กคนนี้เกิดปีกุน ดังนั้นเขาก็เลยเป็หมูตามไปด้วย เขากินอิ่มก็นอนหลับแล้วยังกรนเสียงดังด้วย” ติงเหว่ยตอบอย่างไม่คิดอะไร ท่านลุงอวิ๋นที่ได้ฟังถึงกับกระแอมออกมาติดๆ กันด้วยสีหน้าแปลกประหลาด
“สามารถกินอิ่มนอนหลับได้ก็ดีแล้ว”
ติงเหว่ยนึกถึงจุดประสงค์ในการมาที่นี่ นางจึงยิ้มและพูดว่า “ท่านลุงอวิ๋น ดีจังเลยที่ท่านก็อยู่ที่นี่พอดี ช่วยให้ข้าไม่ต้องเดินไปอีกรอบ วันก่อนข้าได้ขอให้ผู้ดูแลหลินช่วยเก็บขนไก่และขนเป็ดเอาไว้จำนวนหนึ่ง ไม่กี่วันนี้ข้าก็เลยเย็บปักเสื้อผ้าขึ้นมาสักหน่อย หากว่าพวกท่านไม่ได้รังเกียจอะไรก็เก็บเอาไว้ใช้แทนชุดที่ใส่อยู่ประจำได้”
“โอ้ ขนไก่กับขนเป็ดทำเป็เสื้อผ้าได้อย่างนั้นหรือ?” ท่านลุงอวิ๋นรู้สึกสนใจขึ้นมาในทันทีโดยไม่สนใจนายท่าน เขาเข้ามาดูใกล้ๆ และแกะห่อของออกทันที
เฟิงจิ่วเองก็มีไหวพริบไม่เบา เขานึกถึงกางเกงผ้าฝ้ายของตนเองขึ้นมาได้ เขารีบวิ่งออกไปย้ายเทียนไปที่ขอบโต๊ะ และเขาก็ทักทายอย่างสดใสว่า “ตรงนี้สว่าง พี่ติงมานั่งตรงนี้สิ”
สีหน้าของกงจื้อิดีขึ้นทันทีอย่างที่คาดการณ์เอาไว้ เขาทักทายด้วยเสียงราบเรียบว่า “ปกติก็ทำงานเหนื่อยพอแล้ว งานเช่นนี้ปล่อยให้บ่าวรับใช้ทำไปเสียเถอะ”
ติงเหว่ยรู้สึกได้ถึงความห่วงใยจากคำพูดเหล่านี้ นางจึงรู้สึกประหลาดใจและดีใจที่ได้รับความเอ็นดู จากนั้นก็หยิบหม่าเจี้ยที่อยู่ในห่อออกมา และใช้มือทั้งสองประคองส่งไปให้กงจื้อิที่อยู่ด้านหน้าแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “นายน้อย ่ที่ผ่านมาแขนของท่านฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว พรุ่งนี้ก็จะเริ่มฝึกเดินแล้ว และนี่ก็เป็หม่าเจี้ยที่ข้าทำให้หนึ่งตัว และยังมีกางเกงผ้าที่ทำจากฝ้ายอีกหนึ่งตัว เดี๋ยวท่านค่อยลองใส่ว่าขนาดเล็กใหญ่พอดีหรือเปล่า ใส่ชุดนี้จะช่วยประหยัดแรงและเดินได้สะดวกมากยิ่งขึ้น เอาไว้ใช้งานได้พอดี”
“เอ๋?” แม้ว่ากงจื้อิจะตั้งตารอคอยอยู่บ้าง แต่เขาก็ไม่คาดคิดว่าติงเหว่ยจะทำเสื้อผ้าให้เขาจริงๆ และยังมีถึงสองชิ้นอีก
“ตกลง ลำบากเ้าแล้ว”
แขนของติงเหว่ยแข็งทื่อไป นางรู้สึกกระอักกระอ่วนราวกับใบหน้าที่ร้อนผ่าวถูกกดด้วยก้นที่เ็า[1] โชคดีที่ท่านลุงอวิ๋นมีไหวพริบไม่เบา เขารีบก้าวไปข้างหน้าแล้วถามว่า “แม่นางติง อันไหนของข้าล่ะ รีบเอามาให้ข้าดูเร็วๆ สิ”
ติงเหว่ยเปิดห่อของที่ใหญ่ที่สุดอันนั้นแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “อวิ๋นอิ่งบอกว่าพ่อบุญธรรมของนางกลัวความหนาวเย็นแต่ก็ไม่ชอบผ้าห่มหนาๆ หนักๆ ข้าก็เลยทำผ้าห่มขนสัตว์ขึ้นมาหนึ่งผืน ผ้าห่มผืนนี้ทั้งอบอุ่นแล้วยังเบาสบาย คืนนี้ท่านก็สามารถลองห่มได้เลย”
“ตกลง” ท่านลุงอวิ๋นจับผ้าห่มในมือของเขาไปมา รู้สึกแค่ว่าเบาเป็พิเศษ และเขาก็ยิ้มจนตาหยี
เฟิงจิ่วมองดูทั้งสองคนอยู่ด้านข้างอย่างกระตือรือร้น เขายืดขายาวออกมาถึงสามส่วน ติงเหว่ยเห็นก็รู้สึกขบขันจึงรีบไปหยิบกางเกงผ้าฝ้ายของเขาออกมาทันที “อันนี้ของเ้า”
ทันใดนั้นเฟิงจิ่วก็ดีใจเป็อย่างมากและพูดขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ยามนี้ท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว ติงเหว่ยเองก็ไม่สามารถอยู่ต่อได้นาน นางคุยเล่นสองสามประโยคจากนั้นก็กลับไปที่ห้องของนางที่อยู่ข้างๆ เหลือเพียงนายและบ่าวทั้งสามคนที่ต่างก็ไม่พูดอะไรเป็เวลานาน
……
มือของกงจื้อิลูบััลายปักบนหม่าเจี้ยขนเป็ดเบาๆ เขาออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า “ให้แต่ละกลุ่มหาเด็กที่เหมาะสม และส่งไปฝึกฝนที่หูหลูเต่า โดยแบ่งเป็ทั้งหมดสี่กลุ่ม กลุ่มละสิบคน และรวบรวมจำนวนผู้สมัครให้มากกว่าสิบเท่า”
สิบเท่าของสี่สิบคนอย่างนั้นหรือ? นั่นก็คือสี่ร้อยคน!
นี่เป็การเตรียมการตำแหน่งลับที่สูงสุดในประวัติศาสตร์ตระกูลกงจื้อ แม้กระทั่งแม่ทัพคนแรกหลังการสถาปนาประเทศท่านนั้นก็ยังมีผู้กล้ามาสมัครเพียงสามร้อยคนเท่านั้น
ท่านลุงอวิ๋นรู้สึกลังเลนิดหน่อยและถามว่า “นายน้อย นี่...”
“ส่งข่าวไปยังฝ่ายข่าวกรองของซีจิงให้ติดต่อทหารองครักษ์ทั้งแปดของตระกูล ให้เตรียมการอย่างลับๆ รวมทั้งติดต่อกับฝ่ายคลังเพื่อจัดเตรียมอาหาร หญ้า และเสบียงต่างๆ”
“ขอรับ ท่านแม่ทัพ”
คำสั่งทหารราวกับูเาถล่มลงมา [2] ในครานี้ ท่านลุงอวิ๋นเองก็ไม่กล้าโต้แย้งใดๆ แม้แต่เฟิงจิ่วก็ยังคุกเข่าลงข้างหนึ่งและทำความเคารพเฉกเช่นทหาร
กงจื้อิค่อยๆ ถอดแหวนทองสัมฤทธิ์ที่มือขวาของเขาออกอย่างช้าๆ และประทับลงบนจดหมายบนโต๊ะอย่างแ่า
“ในเมื่อ์คุ้มครองให้ตระกูลกงจื้อมีทายาทสืบสกุล ก็ถึงเวลาแล้วที่ตระกูลกงจื้อจะต้องมีที่หยัดยืนบนผืนแผ่นดินนี้!”
ทันใดนั้นท่านลุงอวิ๋นและเฟิงจิ่วก็เงยหน้าขึ้นมา แววตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความปีติยินดี พูดถึงเื่นี้ขึ้นมาตอนนั้นผู้นำตระกูลกงจื้อกับผู้นำตระกูลซือหม่าตกลงเป็พี่น้องร่วมสาบานกัน ร่วมมือกันขยายอำนาจไปทั่วทั้งแผ่นดิน และเพียงเพราะผู้นำตระกูลซือหม่าอายุมากกว่าดังนั้นเขาจึงได้เป็ฮ่องเต้ และตระกูลกงจื้อก็คอยคุมกำลังทหารเพื่อปกป้องซีเฮ่ามาโดยตลอด
หากจะพูดว่าเสนาธิการและขุนนางตระกูลกงจื้อปรารถนาสิ่งใด นอกจากจะให้ผู้นำตระกูลได้เป็ฮ่องเต้แล้วก็ไม่มีสิ่งอื่นอีก เขาต่อสู้และทำาเพื่อซีเฮ่าโดยไม่คำนึงถึงชีวิต และหลังจากที่กลับมายังต้องมาคุกเข่าให้กับทรราชผู้ใช้ชีวิตอย่างไร้ค่าไปวันๆ เหมือนคนที่อยู่แต่ในโลกแห่งความฝัน ช่างทำให้น่าหงุดหงิดเสียจริง
จนกระทั่งวันนี้ในที่สุดผู้นำตระกูลก็ตัดสินใจทวงคืนแผ่นดินที่ควรจะเป็ของตระกูลกงจื้อกลับมา แล้วจะไม่ให้พวกเขาดีใจได้อย่างไร!
“ผู้นำตระกูลที่ฉลาดหลักแหลม!”
ท่านลุงอวิ๋นหลั่งน้ำตาด้วยความตื่นเต้น เขาพยายามอย่างยิ่งที่จะลดเสียงลง เขาเงยหน้าขึ้นและะโว่า “ขอบรรพบุรุษของสกุลกงจื้อโปรดช่วยคุ้มครอง เราจะรวมซีเฮ่าให้เป็หนึ่งเดียวกัน!”
เฟิงจิ่วเองก็อดกลั้นจนใบหน้าเปลี่ยนเป็สีแดง เขาแทบจะอดใจรอไม่ไหวที่จะบอกเหล่าพี่น้องในกลุ่มของเขาถึงเื่ยิ่งใหญ่ที่น่ายินดีเช่นนี้ในทันที บางทีองครักษ์เงาตลอดชีวิตอย่างพวกเขาอาจได้เป็ขุนนางผู้ก่อตั้งประเทศ...
……
ในเวลานี้อันเกอเอ๋อร์ที่อยู่บนเตียงเตาขนาดใหญ่ในห้องข้างๆ ก็กำลังนอนหลับสนิทโดยกอด “คลังอาหาร” ไว้ด้วย เขาไม่รู้เลยว่าพ่อของเขากำลังวางแผนที่จะยึดประเทศไว้ในกำมือของเขาแล้วมอบให้อันเกอเอ๋อร์ได้ชื่นชม
สัญชาตญาณของติงเหว่ยราวกับจะบอกว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลซ่อนอยู่ ทว่านางเองก็เหนื่อยล้าจากการทำงานใน่กลางวันแล้ว ทำให้นางคิดได้ไม่ทันไรก็กอดลูกชายผล็อยหลับไปเสียแล้ว
ในบางครั้งโชคชะตาก็เป็สิ่งมหัศจรรย์ คนบางคนพยายามสุดชีวิตเพื่อที่จะให้ได้มาทั้งลาภยศ ชื่อเสียง เงินทอง แต่ท้ายที่สุดก็อาจจบลงด้วยการหนาวตายอยู่ข้างถนน และคนบางคนปรารถนาที่จะใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและสงบสุขกลับเดินไปบนเส้นทางแห่งความมั่งคั่งโดยไม่รู้ตัว…
แม้ว่าตอนนี้พี่รองสกุลติงจะเปิดร้านและเป็เถ้าแก่ด้วย แต่ทักษะช่างไม้ก็ไม่ได้หายไปไหน เมื่อไม่กี่วันก่อนเขาได้รับข่าวคราวจากน้องสาว เขาจึงไปเลือกท่อนไม้ที่ดีที่สุดมาสองต้น เอามาขัดจนเรียบเนียนและทำความสะอาด เหลาบริเวณส่วนปลายไว้สำหรับค้ำยัน จากนั้นก็ลองทดสอบด้วยตนเองเมื่อรู้สึกว่าแข็งแรงดีก็เอามาส่งให้ที่คฤหาสน์สกุลอวิ๋น
ติงเหว่ยเจอพี่รองแล้วมีความสุขมาก นางเอาแบบโต๊ะและเก้าอี้ใหม่ๆ ที่เพิ่งนึกออกเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาให้เขาไป พี่รองสกุลติงเดิมทียังรู้สึกกังวลนิดหน่อยเพราะเขาเกรงว่าเื่แบ่งครอบครัวจะทำให้นางตัดขาดกับเขาไปด้วย เมื่อเห็นเช่นนี้ในใจเขาก็รู้สึกผิดเล็กน้อย เขาตั้งใจว่าจะช่วยน้องสาวดูแลบ้านและร้านค้าให้ดีๆ
ติงเหว่ยถือโอกาสตอนที่แดดกำลังดีพากงจื้อิออกมาลองเดินสักหน่อย หลังจากที่พูดกับพี่ชายเสร็จนางก็ให้เสี่ยวฝูจื่อกับท่านลุงหลี่ช่วยกันยกไม้เท้าเข้าไปที่เรือนหลัก
หลังจากที่ท่านลุงอวิ๋นทราบข่าว เขาก็รีบไปเรียกผู้ดูแลให้ไปหยิบเงินค่าจ้างมา แต่พี่รองสกุลติงจะให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมรับไว้ เขาคำนับและรีบขับเกวียนออกไป
……
วันนี้กงจื้อิสวมกางเกงผ้าฝ้ายและหม่าเจี้ยที่ทั้งอบอุ่นและเบาสบาย ข้างนอกสวมทับด้วยเสื้อคลุมยาวสีดำ ผมบนศีรษะของเขามัดด้วยที่รัดเกล้าทองคำ ตอนที่มือทั้งสองข้างของเขาจับไปที่ไม้ค้ำยันและยืนขึ้นใหม่อีกครั้งในลาน ยามที่เขาเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง ในที่สุดแม่ทัพไร้พ่ายที่ได้รับการยอมรับไปทั่วทั้งซีเจียงก็ฟื้นคืนชีพกลับมาอีกครั้ง
หลังจากผ่านไปหลายวัน ในที่สุดเขาก็ยืนขึ้นมองดูทิวทัศน์ แม้ว่าจะมีเพียงหิมะสีขาวและต้นไม้ที่เหี่ยวแห้งในลาน แต่เขาก็ยังคงไม่สามารถหยุดหัวใจที่เต้นแรงได้ เขาลองใช้มือขยับไม้เท้าไปด้านหน้าเล็กน้อย แต่เอวและขายังคงแข็งทื่อและไร้เรี่ยวแรง การเคลื่อนไหวเมื่อครู่เกือบจะทำให้เขาล้มลงไป
แต่ในขณะที่ร่างกายของเขากำลังเริ่มเอียง มือเล็กๆ และบอบบางคู่หนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนแขนขวาของเขา ถึงแม้มือทั้งสองจะไม่ได้มีพละกำลังมากนัก แต่กลับพยุงเขาไว้ไม่ให้ล้มลงไปอย่างทุลักทุเล
ติงเหว่ยพยายามอย่างสุดแรงเพื่อให้กงจื้อิยืนตรงได้อีกครั้ง ในที่สุดก็ถอนหายใจยาวออกมาด้วยความโล่งอก นางให้กำลังใจด้วยรอยยิ้ม “นายน้อย แขนของท่านอาจยังมีพละกำลังไม่มากพอในตอนแรก เวลาเดินจึงยากลำบากสักหน่อย แต่เมื่อเวลาผ่านไปต่อให้แขนและขาทั้งสองข้างจะยังขยับไม่ได้ แต่กล้ามเนื้อก็จะไม่หดตัว จากนั้นค่อยเปลี่ยนมาใช้ไม้คำยันทั้งสองข้างจะได้เคลื่อนไหวได้สะดวกยิ่งขึ้น ทุกเื่ล้วนต้องยืนหยัดเท่านั้น นายน้อยจะหมดกำลังใจไม่ได้”
หลังจากพูดจบ นางก็ก้มตัวลงไปปรับระดับความสูงของไม้เท้า เส้นผมกระจัดกระจายปกคลุมใบหน้าที่สวยงามของนางไปกว่าครึ่ง กงจื้อิคิดจะยื่นมือเข้าไปจัดผมแทนนางโดยไม่รู้ตัว ทว่าสภาพร่างกายของเขากลับไม่เอื้ออำนวย เขาโมโหจนขยับตัวพุ่งไปข้างหน้าอย่างแรงและก้าวติดต่อกันได้ถึงสองก้าว
ติงเหว่ยรู้สึกประหลาดใจมาก นางปรบมือและให้กำลังใจว่า “นายน้อยทำได้ดีมาก ต้องเดินแบบนี้ล่ะ ระมัดระวังเื่ความสมดุลและการใช้กำลังสลับไปมาระหว่างแขนทั้งสองข้าง”
คนหนึ่งให้คำชี้แนะ คนหนึ่งตั้งใจลองทำ เดินอย่างทุลักทุเลจากระเบียงด้านหนึ่งไปจนสุดอีกฝั่งหนึ่งซึ่งอยู่ห่างออกไปถึงเก้าฉือ [3] เต็มๆ กงจื้อิเหนื่อยจนเหงื่อไหลออกมาเต็มหน้าผาก ติงเหว่ยจึงรีบดึงผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดให้ และนางก็ลองจับแผ่นหลังของเขาที่ไม่มีร่องรอยเปียกชื้นที่ชัดเจน จากนั้นนางก็ยิ้มออกมาแล้วช่วยเขาหมุนตัวแล้วเดินต่อไป
พวกเขาทั้งสองกำลังมุ่งความสนใจไปที่การฝึกซ้อมมากจนไม่ทันสังเกตเห็นว่าท่านลุงอวิ๋นที่ส่งพี่รองสกุลติงเสร็จกลับมาแล้วกำลังยืนเช็ดน้ำตาอยู่ และที่ด้านหลังยังมีซานอี หลินลิ่ว เฟิงจิ่ว และอวิ๋นอิ่งที่กำลังอุ้มอันเกอเอ๋อร์อยู่ พวกเขาต่างก็ตาแดงก่ำกันหมด
่ที่กำลังรอคอยอย่างมีความหวัง เวลาก็มักจะผ่านไปอย่างรวดเร็วเสมอ ในขณะที่หิมะสีขาวตกลงมาเป็ครั้งที่เท่าไรไม่อาจรู้ก็เข้าสู่เดือนล่าเยวี่ย ต่อให้ผู้คนใน่นี้จะกระเป๋าแห้งสักแค่ไหนก็ต้องเข้าเมืองเพื่อไปซื้อยาเส้นให้พ่อ ซื้อผ้าให้ลูกสะใภ้ และเสื้อเจวียนฮวาเอ๋อร์ [4] ให้ลูกสาว
ในคฤหาสน์สกุลอวิ๋นมีคนมากมายทั้งยังไม่ขาดแคลนเงินทอง พวกเขาก็ต้องจัดเตรียมทุกอย่างเอาไว้ครบถ้วนเป็ธรรมดา ทุกวันนี้หลินลิ่วยุ่งมากจนเท้าแทบจะไม่ได้แตะพื้น และบางครั้งตอนที่เขากลับมายังมีขนเป็ดติดเสื้ออยู่เลย
ส่วนเหตุผลก็ไม่ได้มีอะไรมาก เนื่องจากเสื้อผ้าขนเป็ดของติงเหว่ยประสบความสำเร็จเป็อย่างมาก ไม่ต้องพูดถึงท่านลุงอวิ๋นที่เจอใครก็เอาแต่ชมว่าผ้าห่มขนเป็ดนั้นเบาสบายและอบอุ่นขนาดไหน นายน้อยเองก็ใส่หม่าเจี้ยไว้ตลอดทั้งวัน ส่วนเฟิงจิ่วเองก็ะโโลดเต้นไปมาไม่หยุด ซึ่งทำให้คนที่พบเห็นต่างก็อิจฉาตาร้อน
ดังนั้นหน้าที่ในการหาขนไก่และขนเป็ดจึงกลายเป็หน้าที่ที่สำคัญที่สุดของหลินลิ่ว
่ก่อนหน้านี้ราคาอยู่ที่หนึ่งร้อยเหวินต่อหนึ่งจิน ยามนี้ก็ปรับสูงขึ้นหนึ่งเท่า ทำให้ฮูหยินในแต่ละหมู่บ้านต่างก็รีบเอาไก่และเป็ดที่เก็บไว้สำหรับปีใหม่ไปส่งให้เยี่ยนหวังเย่ [5] ล่วงหน้า
ขนสัตว์เ่าั้ส่งเข้าไปในคฤหาสน์สกุลอวิ๋นถุงแล้วถุงเล่า และกลายเป็ผ้าห่มขนสัตว์ เสื้อคลุมขนสัตว์ และหมอนขนสัตว์อย่างรวดเร็ว...
แม้แต่หลินลิ่วเองก็สวมเสื้อคลุมและกางเกงที่ทั้งเบาสบายและอบอุ่นอย่างคาดไม่ถึงวิ่งไปทุกที่ทุกวัน ความขุ่นเคืองในใจของเขาก็มลายหายไปด้วย
วันนี้เป็วันซานจิ่ว [6] พอดี ท้องฟ้ามืดครึ้มเล็กน้อย ในลานอากาศหนาวเย็นเกินไป ติงเหว่ยจึงเปลี่ยนสถานที่ฝึกซ้อมมาอยู่ในห้องโถงที่กว้างขวางแทน หลังจากที่ฝึกฝนผ่านไปเกือบหนึ่งเดือน กงจื้อิอาศัยเพียงแค่แรงแขนทั้งสองข้างและพละกำลังจากแผ่นหลังเล็กน้อยก็สามารถใช้สองมือจับไม้เท้าเดินโดยไม่ต้องให้ใครช่วยได้ด้วยตนเองอย่างรวดเร็ว
เมื่อคืนนี้เฉิงต้าโหยวนำสมุดบัญชีของร้านค้าสองแห่งในเมืองกลับมา ติงเหว่ยตรวจสอบอย่างรวดเร็วและวางแผนที่จะเปลี่ยนจากไม้เท้าเป็ไม้ค้ำยันในวันรุ่งขึ้น
ในขณะนั้นเอง ท่านลุงอวิ๋นก็ให้หลินลิ่วยกกล่องใบหนึ่งเข้ามา แล้วเห็นว่ากงจื้อิกำลังยืนพักโดยใช้ไม้เท้าค้ำยันอยู่ เขาจึงคำนับแล้วทักทายอย่างยิ้มแย้มว่า “นายน้อยหากว่าเหนื่อยแล้วก็นั่งพักเสียก่อน พอดีมีสมุดบัญชีจากที่ต่างๆ มาถึง เพื่อให้ท่านได้ตรวจสอบดู”
กงจื้อิเหลือบมองสมุดบัญชีที่ซ้อนกันเป็ปึกๆ ทำให้เขารู้สึกปวดหัวไม่น้อย ไม่ว่าจะจัดกองกำลังทหาร เดินทัพทำา แม้ว่าสถานการณ์จะยากลำบากสักแค่ไหนเขาก็ไม่เคยขมวดคิ้ว แต่ตอนนี้เขาเริ่มจะทนไม่ไหวแล้วเล็กน้อย
-----------------------------------------
[1] ใบหน้าที่ร้อนผ่าวถูกกดด้วยก้นที่เ็า 热脸贴冷屁股 หมายถึง คุณได้ชมเชยและทำให้ผู้อื่นพอใจ แต่อีกฝ่ายกลับเฉยเมยและเพิกเฉยต่อคุณ ทำให้เกิดความรู้สึกที่แตกต่างอย่างมาก มักใช้เพื่ออธิบายสถานการณ์ที่น่าอึดอัดใจหรือไม่พอใจในการสื่อสารระหว่างบุคคล โดยฝ่ายหนึ่งแสดงความกระตือรือร้นอย่างมาก ในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งดูเ็าหรือไม่สนใจ
[2] ูเาจะถล่มลงมา 如山倒 หมายถึง ผลกระทบจากเหตุการณ์หรือสถานการณ์มีมากจนเหมือนกับูเาถล่มลงมาและไม่สามารถย้อนกลับหรือแก้ไขอะไรได้
[3] ฉือ 尺 หมายถึง 1 ฟุต
[4] เจวียนฮวาเอ๋อร์ 绢花儿 หมายถึง ดอกไม้ผ้าประดับศีรษะ
[5] เยี่ยนหวังเย่ 阎王爷 หมายถึง ท่านพญายม
[6] ซานจิ่ว 三九 หมายถึง วันที่อากาศหนาวเย็นวันที่สามนับจากครีษมายัน ซึ่งเป็่เวลาที่อากาศหนาวที่สุดของปี