เหยียนชิงเดินตามอิ้งหลีออกจากเรือนหลานถิง เมื่อเดินมาถึงข้างต้นกุ้ยฮวาที่ไม่มีใครอยู่ด้านนอกลาน อิ้งหลีจึงหยุดฝีเท้าลง ก่อนหันมาก้มกระซิบ
“คุณชาย จอมยุทธ์จิงโม่มาแล้วขอรับ”
เหยียนชิงได้ยินดังนั้นก็ชะงักไป ครู่หนึ่งก็มองไปรอบๆ ก่อนจะถามว่า “อยู่ที่ใด?”
เขาเพิ่งส่งข่าวออกมาไม่คิดว่าคนจะมาเร็วขนาดนี้
อิ้งหลี “ห้องหนังสือของท่านขอรับ”
“ข้าจะกลับไปเอง เ้าไปบอกกับซูหานว่าข้าจะกลับเรือนช้าสักหน่อย”
เหยียนชิงรีบอธิบายแล้วเดินตรงไปยังหอชิงเฟิงอย่างรวดเร็วทันที
“ขอรับ” อิ้งหลีมองตามหลังของเขาแล้วมุ่งไปยังเรือนเซียวเหยา
ขณะเดินบนทางเดินที่เงียบสงบเหยียนชิงก็รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย
จิงโม่เป็ผู้พิทักษ์เงาที่ท่านพ่อทิ้งไว้ให้เขา ตอนนี้ทั้งจวนมีแค่ท่านแม่ อิ้งหลี และเฉินเซียงคนในเรือนของเขาเท่านั้นที่รู้ ทว่าจิงโม่ต่างจากผู้พิทักษ์เงาของตระกูลอื่น ไม่ได้ถูกเลี้ยงดูโดยตระกูลเหยียน แต่เขาเป็สมาชิกของกลุ่มนักล่าค่าหัวที่มีชื่อเสียงในยุทธภพ นอกเหนือจากนั้น เขาก็ไม่รู้ข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับนักล่าคนนี้เลย
แม้ว่าจะไม่รู้ว่าท่านพ่อใช้วิธีหรือข้อตกลงอะไรที่ทำให้จิงโม่กลายเป็ผู้พิทักษ์เงาของเขา แต่ความจงรักภักดีของจิงโม่ที่มีต่อเขานั้นมั่นคง แน่นอนว่า เขาไม่อาจเรียกใช้จิงโม่อย่างคนรับใช้ได้ ดังนั้นแล้วโดยปกติเขาจะไม่เรียกหาจิงโม่ หากไม่มีเหตุการณ์พิเศษหรือเกิดเหตุร้ายแรงอันใดขึ้น
ทั้งปกติจิงโม่จะไม่ได้อยู่ข้างเพื่อคอยปกป้องเขา ทว่าจะไปรับภารกิจต่างๆ ภายนอกแทน การสื่อสารของพวกเขาส่วนใหญ่คือการส่งผ่านหนังสือ หรือไม่ก็ให้เฉินเซียงหรืออิ้งหลีส่งข่าว ในหนึ่งปีไม่เจอหน้ากันเลยหรือเจอเพียงครั้งหนึ่ง
เหมือนกับชาติก่อน เขาเรียกใช้จิงโม่เพียงไม่กี่ครั้ง ทว่ากลับมีเหตุการณ์ที่สร้างความประทับใจให้เขาถึงสามครั้ง ครั้งที่หนึ่งเป็ครั้งที่ท่านพ่อแนะนำจิงโม่ให้รู้จักกันครั้งแรก ครั้งที่สองคือตอนที่เขาขอร้องให้จิงโม่ไปหาข่าวคราวของท่านพี่ ครั้งที่สามเป็ครั้งสุดท้ายในชีวิต เขาให้จิงโม่ช่วยหายาพิษในวัด
ชาติก่อนในวัดแม้ว่าตี้จวินจะไม่ได้ออกข้อห้ามหรือมีข้อบังคับมากมาย แต่อาวุธมีคมอาบพิษแบบนี้เขาไม่มีทางเอามาได้เองอย่างเด็ดขาด เขาจึงไม่มีความกล้าหาญที่จะลองวิธีอื่น ทำได้เพียงขอร้องจิงโม่เท่านั้น เขายังจำดวงตาเ็าของจิงโม่ที่จ้องมองมาที่เขาเงียบๆ อย่างยาวนาน สุดท้ายก็ถามเขาด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
‘คุณชาย ถ้าการฆ่าคนแก้ปัญหาได้จริง ข้ายินดีช่วยท่านฆ่าคน แต่ไม่ใช่ให้ยาพิษแก่ท่าน ’
น่าเสียดายในเวลานั้น เขาไม่มีแม้แต่คนที่อยากจะฆ่าเป็พิเศษ แค่อยากฆ่าตัวเอง เขาเพียง้าหลีกหนีจากหุบเหวของความทุกข์ทนที่มองไม่เห็นก็เท่านั้น
ในที่สุดจึงให้จิงโม่เอายาพิษมาให้เขา ไม่รู้ว่าองค์รักษ์เงาคนนี้แอบดูตอนเขาตายในเงามืดหรือเปล่า ทว่าตอนที่กินยาพิษเข้าไป เว่ยซูหานก็มาถึงแล้ว ตระคองกอดเขาไว้ พร่ำพูดไปหลายคำ แต่น่าเสียดายที่เขาได้ยินไม่ชัด ยาออกฤทธิ์เร็วมาก เขาเ็ปได้ไม่นาน แค่ทันได้ยินคำขอโทษจากเว่ยซูหานเป็ครั้งสุดท้าย
“คุณชาย”
เหยียนชิงเพิ่งก้าวเข้าไปในห้องหนังสือ จิงโม่ก็ปรากฏตัวจากด้านหลังอย่างเงียบเชียบ ลงกลอนประตูจากด้านในทันที พูดตามตรง แม้ว่าก่อนหน้านี้เหยียนชิงจะรู้ว่านี่เป็นิสัยของเขา แม้ได้เตรียมใจไว้แล้ว แต่ชายหนุ่มก็ยังอดใไม่ได้
หันไปรอบๆ ชายที่อยู่ด้านหลังมีร่างกายคล้ายเว่ยซูหาน เขาสวมชุดสีดำทั้งตัว แม้แต่มือทั้งสองข้างยังสวมถุงมือดำ ผมยาวถูกมัดไว้ด้วยผ้าคาดผมสีดำ มีหน้ากากสีดำที่สร้างขึ้นเป็พิเศษบนใบหน้า มีเพียงตำแหน่งตากับจมูกเพียงเท่านั้น ที่สะดวกในการทานอาหาร และมีไว้เพื่อหายใจ
ส่วนเื่อื่นยังดีอยู่ มีเพียงดวงตาเ็าทั้งสองดวงของจิงโม่ที่ทำให้หัวใจของผู้คนรู้สึกเย็นเฉียบ
เหยียนชิงรู้สึกว่าดวงตาคู่นี้มองเห็นความตายอันน่าเศร้าโศกมามากจนเกินทน
ตอนอายุสิบขวบ นั่นคือครั้งแรกที่เขาได้พบกับจิงโม่ ตอนนั้นจิงโม่เองก็แต่งตัวเช่นนี้ มองแล้วไม่ได้สูงมาก คงเป็เพราะหลายปีมานี้เขาโตมาด้วยกัน ท่านพ่อเคยกล่าวว่า จิงโม่ไม่สูงไปกว่าเขามากมายสักเท่าไร แต่สูงไปกว่าเท่าไรนั้น แน่นอนว่าพวกเขาไม่ทราบ
ครั้งแรกที่พบกัน เขาก็ถามจิงโม่ว่าทำไมจิงโม่ถึงแต่งตัวแบบนี้ คําตอบของจิงโม่คือ สีดําสามารถปกปิดความสกปรกได้มากมายรวมถึงเืด้วย
เสียงของเขาแหบมากเมื่อพูดออกมา แต่ก่อนไม่เคยเข้าใจ พอมาลองคิดดูคงจะตั้งใจดัดเสียงเอา ด้วยวิธีแบบนี้ ถ้าหากเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วคงจะไม่มีใครจำได้
“คุณชาย”
จิงโม่ใเมื่อเห็นเขา จึงอดไม่ได้ที่จะะโออกมาอีกครั้ง
“แค่ก… เ้ามาแล้ว” เหยียนชิงก้มหน้าปกปิดความอายของตัวเอง เดินไปข้างโต๊ะเตี้ย “นั่งลงเถอะ ข้าอยากเจอเ้าในครั้งนี้เพราะมีเื่จะขอร้อง"
“ข้ายืนอยู่ตรงนี้ก็ดีแล้ว คุณชายมีธุระอะไรก็พูดมาตรงๆ เถอะขอรับ”
จิงโม่ไม่ขยับยังคงยืนนิ่ง อีกทั้งรักษาระยะห่างจากเขา ระยะห่างเช่นนี้สามารถอธิบายได้ว่า 'รุกไปข้างหน้า ถอยเพื่อป้องกัน' [1] เขารวมเหยียนชิงไว้ในขอบเขตการที่ป้องกันได้ตลอดเวลา แต่กลับไม่ให้เขามีโอกาสเล่นลูกไม้ได้ตามความหมายนั้น
เหยียนชิงยิ้มและมองเขา “วันนี้ข้ามีเื่ที่ต้องพูดเยอะพอดู”
จิงโม่ “...”
“นั่งลงเถอะ เราไม่ได้เจอกันนานแล้ว”
ล่าสุดไม่ได้เจอกันหนึ่งถึงสองปีแล้ว เขาเล่าเรียนตลอดสองปีนี้ และการใช้ชีวิตในปกติก็มีคนคุ้มกันอยู่แล้ว เขาจึงลืมการมีอยู่ของผู้พิทักษ์เงาคนนี้ไปอย่างสิ้นเชิง พูดอยู่ไกลๆ ก็ห่างเหินกันเกินไปแล้ว ถึงชาติที่แล้วจะเป็เหมือนเมื่อวานสำหรับเขา แต่ไม่ว่าอย่างไร เขากับจิงโม่ก็ไม่ได้เจอหน้ากันนานเหลือเกิน
จิงโม่สบตาเขาอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะนั่งลงบนโต๊ะเตี้ย “คุณชายมีปัญหาอะไรก็จงรีบกล่าวออกมาเถิดขอรับ”
เหยียนชิงรินชาที่เฉินเซียงเตรียมไว้ให้เขาถ้วยหนึ่ง แล้วถามออกไป “เ้ารู้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตระกูลเหยียนเมื่อเร็วๆ นี้?”
“ข้าขอแสดงความยินดีกับคุณชายและคุณชายเว่ยที่ได้ครองคู่กัน”
จิงโม่พูดพลางดื่มชาในถ้วย
เหยียนชิงยิ้ม “ขอบใจ งั้นเ้าก็คงรู้เื่ที่ท่านพี่ของข้าหนีการแต่งงานแล้วใช่หรือไหม?”
จิงโม่พยักหน้า “ทราบแล้วขอรับ”
“ข้าอยากให้เ้าช่วยสืบข่าวของท่านพี่ พาเขากลับมา เขาแค่ต้องรับผิดชอบเื่ในจวนก็พอ ส่วนที่เหลือข้าจะเป็คนจัดการเอง”
เหยียนชิงพูดตรงๆ ชาติก่อนท่านแม่เป็คนจัดการทุกอย่าง จนกระทั่งเขาเข้าทำงานในราชสำนักแล้วจึงให้จิงโม่มาช่วยแทน แต่เวลาผ่านเนิ่นนานเกินไป จนกระทั่งเขาตายก็ยังหาพี่ชายไม่พบ ดังนั้นตอนนี้เร่งมือ
“ขอรับ”
จิงโม่ตอบคำเดียวง่ายๆ แล้วก้มหน้าจิบชา
“อีกอย่าง เื่ที่เกี่ยวข้องกับตระกูลเว่ย…”
“ไม่” เหยียนชิงยังพูดไม่ทันจบ จิงโม่ก็ตัดบทเขา
“ยุทธภพไม่เคยแยแสราชสำนัก นับประสาอะไรกับครอบครัวมีชื่อเสียงที่ถูกลงโทษ ข้าไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้ การเข้าไปพัวพันกับเื่นี้อาจทำให้เกิดการทะเลาะวิวาทระหว่างยุทธภพและราชสำนัก ข้าน้อยไม่อาจรับปากคุณชายได้ นอกเสียจากว่าคุณชายมีเป้าหมายที่ชัดเจน ดังนั้นข้าน้อยถึงสามารถช่วยสังหารเขาได้ขอรับ”
“…”
เหยียนชิงเห็นเขาพูดอย่างหนักแน่น คิดไปคิดมาก็ถอนหายใจอย่างจนใจ “ก็ได้ เื่นี้ก็ช่างมันเสียเถอะ”
เพราะเขาประมาทเลินเล่อ ราชสำนักจึงไม่สนใจบุญคุณและความแค้นในยุทธภพ ยุทธภพก็ไม่ถามถึงชีวิตและความตายของราชสำนัก นอกเสียจากว่าแคว้นเทียนซูจะมีส่วนร่วมในข้อพิพาทที่ไม่อาจสงบได้ ไม่เช่นนั้นแล้วราชสำนักกับยุทธภพก็เป็เหมือนกับน้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำโคลน นี่คือกฎที่ตั้งไว้
จิงโม่พยักหน้า “ขอบคุณคุณชายที่เห็นใจขอรับ คุณชายมีความ้าอื่นใดอีกก็รีบกล่าวมาเถิด”
เหยียนชิงยิ้ม “ได้…”
เชิงอรรถ
[1] อยู่ในสถานการณ์ที่เป็ฝ่ายรุกและฝ่ายป้องกันได้ก่อน