ในคฤหาสน์นั้น ผู้คนยังอกสั่นขวัญแขวนไม่หาย
พื้นหยุดสั่นะเืลง ความจริงแล้วแรงะเืรุนแรงก็มีเพียงแค่เมื่อครู่นี้เท่านั้นเอง
“นี่มันเื่อะไร?” ฉินหลันโอบเสียวฉ่าวไว้ คนมากมายในคฤหาสน์เพิ่งเคยเห็นการกระทำเช่นนี้เป็คราแรกถึงกับใกลัว วิ่งวุ่นออกมาจากห้องหับ มีบุรุษบัญชีเก่าแก่ไม่ทันระวังล้มคะมำหัวแตก ที่เหลือไม่ได้รับาเ็ใด
พวกเขาหวาดหวั่นไม่มั่นคง
เ่ิูเงยหน้ามองเบื้องฟ้า สีหน้าค่อยๆ เคร่งขรึมขึ้นทีละน้อย
มิใช่แผ่นดินไหว
แล้วก็มิใช่ฟ้าดินพิโรธ
แต่เป็เพราะบนนภานั้นมีผู้แข็งแกร่งวรยุทธ์กำลังต่อสู้กัน
อากาศธาตุครึ้มฝน เมฆดำม้วนกลิ้ง ประหนึ่งท้องฟ้าและวารีหกคะเมนไม่เป็ท่า โอบล้อมทั้งนครลู่ิไว้ในพันธนาการ กลางเมฆนั้นมีลำแสงสีเงินแลบแล่น เหมือนอสรพิษสีเงินร่ายระบำ ละเลง ฉีกกระชากและทิ่มแทงชั้นเมฆ พลังอันน่ากลัวขึ้นลงเป็ลูกคลื่น ม้วนใต้หล้าไว้ นำเมฆาให้กลิ้งกลอกเหมือนคลื่นโหมซัดในทะเล มองดูน่ากลัวและพิศวงอย่างบอกไม่ถูก
เห็นเพียงสถานการณ์ ไม่เห็นคน
นี่คือยอดฝีมือแห่งวรยุทธ์ที่แท้จริง
เมื่อกระตุ้นกำลังภายในแล้ว ในความคิดเดียวก็สามารถบดบังท้องฟ้า ปิดกั้นแสงตะวัน พลิกฟ้าลุยสมุทรราวกับเทวดา
ตูม!
เสียงเหมือนภูผาถล่มดังระนาว
ในนครลู่ินั้น คนมากมายรู้สึกเหมือนแก้วหูถูกค้อนเหล็กกระหน่ำทุบ ะเืจนเืไหลออกปากออกจมูก กระแสเสียงน่ากลัวราวกับเป็สิ่งมีชีวิตที่มีเืเนื้อ กระจายเป็ระลอกคลื่นเห็นได้ชัดในใต้หล้า ทำลายสิ้นทุกสิ่ง
เ่ิูมองด้วยใจเต้นไม่เป็ส่ำ
พลังน่าครั่นคร้ามนัก
ถึงเมืองลู่ิจะเป็เมืองอันห่างไกลของแคว้นเสวี่ย แต่ก็ยังเป็ป้อมปราการทางทหารแห่งหนึ่งด้วย มีทหารผู้ชำนาญการกว่าห้าพันคนประจำการอยู่ แต่ละมุมเมืองล้วนมีกระบวนอักขระคอยสนับสนุน ไม่เพียงแค่แข็งกระด้างเหมือนทองเท่านั้น แต่ยังนับได้ว่าแข็งแกร่งยิ่ง ั้แ่บัดนั้นจนถึงบัดนี้ พวกมันล้วนเป็ตัวห้ามมิให้นักยุทธ์ฝีมือฉกาจโบยบินบนท้องฟ้า
แต่ตอนนี้ สองฟากที่กำลังโรมรันบนนั้น ไม่เพียงเหาะเหนืออากาศธาตุของลู่ิเท่านั้น แต่ยังโจมตีกันอุตลุด คลื่นจากศึกเกือบจะปกคลุมทั่วนคร พื้นหลายแห่งในเมืองเริ่มแตกร้าว เกิดวิกฤติบ้านพังเละเทะอย่างน่าอนาถ
เป็ใครกันแน่ ถึงได้กล้าทำตามใจชอบเพียงนี้?
ตอนที่พื้นห้องในคฤหาสน์เย่สั่นรุนแรงและแตกร้าวก็เป็เพราะคลื่นพลังจากศึกเบื้องบนนั้น ดีที่คลื่นเหล่านี้มาเพียงพักเดียวก็ลาลับ ไม่เช่นนั้นแล้วคฤหาสน์คงเสียหายนักจนยากจะควบคุม
ตอนนั้นเอง ทั้งนครลู่ิ มีแต่ผู้คนตาดำๆ ที่มองขึ้นฟ้าด้วยหวาดกลัวและะเืใจ
รอบเคหสถานของเหล่าผู้ดีมีสกุลเริ่มมีแสงสีทองอ่อนจางโคจรล้อมรอบและลอยขึ้นเสมือนที่ครอบ ครอบทั้งเคหาสน์ไว้ใต้การพิทักษ์ ต่อต้านพลังน่ากลัวที่สั่นไหว...สัญลักษณ์ว่ากระบวนอักขระได้จุดประกายขึ้นแล้ว
ทางทิศสำนักกวางขาวนั้นก็มีกลุ่มแสงห้าสีแวววับจับตา แต่ละเส้นล้วนกว้างหลายสิบเมตร กำเนิดและพุ่งตรงจากทุกทิศทางของสำนัก ทุกสิ่งปลูกสร้าง ดุจเทพัเริงรำในเวหา คาบเกี่ยวและพันผูกด้วยกันจนเชื่อมในระยะร้อยเมตร กลายเป็กำบังแสงใหญ่ั์ปกคลุมทั้งสำนัก
ยอดวิชายุทธ์ป้องกันอันศักดิ์สิทธิ์!
นี่เป็วิชายุทธ์อักขระป้องกันที่แข็งแกร่งสุดยอดของสำนักกวางขาว นับแต่เริ่มก่อตั้งก็ได้ปรมาจารย์แห่งราชสำนัก ท่านกงเฟิ่งเป็ผู้ติดตั้ง หกสิบกว่าปีที่ผ่านมาได้ปฏิรูปซ่อมแซมหลายครั้ง ผ่านการปรับปรุงและสนับสนุนจากเหล่าฟ้าประทานที่สำนักชุบเลี้ยงมาสี่ห้ารุ่น วิชายุทธ์นี้หลอมรวมเืเนื้อและิญญาของคนนับไม่ถ้วน ว่ากันว่าสามารถแข็งกล้าต่อการโจมตีซึ่งๆ หน้าของยอดฝีมืออาณาทะเลระทมได้
“อย่าวิ่งพล่าน รวมตัวอยู่ในคฤหาสน์ไว้ อย่าแตกตื่น!”
เ่ิูใช้ตราทองเหลืองจุดประกายอักขระป้องกันของคฤหาสน์ แน่นอนว่าเป็แค่การเสริมความแข็งแรงทนทานให้มันเท่านั้น ไม่มีทางเหมือนเช่นบ้านของชนชั้นสูง ถึงจะมีกำลังไปโอบล้อมคฤหาสน์ถาวรเช่นวิชายุทธ์อักขระป้องกัน
ยามเย็นนี้ เ่ิูแวบกายะโถึงหลังคา
ได้เห็นการโต้ตอบของสำนักกวางขาวแล้ว จึงล่วงรู้ว่าต้องเป็เื่ร้ายแรงกว่าที่เขาคาด
ตอนที่ทอดสายตามองนั้นเอง ถึงได้เห็นทิศกองพลเหนือมีลำแสงพลังพุ่งสู่ฟ้า โลดแล่นบนฟ้าราวกับดอกไม้ไฟ เปลวไฟสีแดงห่อหุ้มทั้งปราการ ต้องเป็ยอดฝีมือของกองพลกำลังปลดปล่อยพลังและอำนาจของตัวเอง วิชายุทธ์อักขระพิทักษ์ของกองพลก็จุดประกายในยามนี้เช่นกัน
กลุ่มอิทธิพลตัวเป้งล้วนวางท่าเหมือนพบเจอศัตรูตัวฉกาจ
“เกิดเื่อะไรขึ้นกันแน่?”
เ่ิูงงงวย
เขาพลันนึกถึงเื่ที่หวังเยี่ยนเอ่ยมาวันนี้ ว่าในเมืองจะมีเื่ใหญ่โตเกิดขึ้น...หรือว่านี่จะเป็เื่ใหญ่โตที่ว่า? สองฝ่ายที่ห้ำหั่นกันอยู่นั่นเป็ใครหน้าไหนกันแน่ ถึงได้น่าครั่นคร้ามจนกลุ่มอิทธิพลทุกฝ่ายในเมืองต้องป้องกันกันหมด ไม่กล้าลงมือหยุดยั้ง?
ฟิ้ว!
กลางนภามีกระบี่งามฉาดฉาย
ั์ตาเ่ิูลุกโชนวาววาม จิตใจจ่อมจมอยู่กับประกายกระบี่นั้น
กระบี่ที่ยากจะพรรณนา
กระบี่ที่พรากพิภพเพื่อสร้างมันขึ้นมา
กระบี่ที่ทำลายทุกความเข้าใจในวรยุทธ์
เห็นเพียงเมฆดำที่กลิ้งเกลือกไปมาดั่งเกลียวคลื่นร้าย เป็ดั่งกระดาษแผ่นบาง ถูกกระบี่น่ากลัวพรากพิภพนี้ผ่าสะบั้น จากนั้นเมฆทมิฬทั่วฟ้าก็ถูกดูดซับเข้าเบ้าหลอม ดั่งวาฬสูบวารี
บัดนั้นที่คนนับไม่ถ้วนเข้าใจผิดไป...
ว่าท้องนภาดุจถูกกระบี่เล่มนี้ฟันจนขาด
ชั้นเมฆห่างหาย
ปุยหิมะมลายสิ้น
ท้องฟ้าซึ่งเคยมืดดำสนิทมาตลอดบัดนี้กลับสว่างเหมือนถูกชะล้าง เมื่อมองไป จะเห็นเวหาสีฟ้าประกาย กระทั่งร่องรอยของเมฆสักก้อนก็ไม่มีให้เห็น อาทิตย์อุทัยสีทองอร่ามสาดส่องจากขอบฟ้าทิศตะวันตก ขับไล่ความหนาวเหน็บที่ลู่ิอยู่หลายวัน อากาศเริ่มอุ่นขึ้น จู่ๆ ก็เหมือนกลับสู่วสันตฤดูในพริบตา
ศึกจบลงรวดเร็วนัก
“หวังเจี้ยนหรู เ้าฝึกจิตกระบี่แหวกนภาได้สำเร็จแล้วจริงๆ หรือนี่” สุรเสียงน่าตะลึงและหวั่นกลัวยิ่งกว่าเสียงไหนๆ ดังออกมาจากคลื่นแสงสีดำ ดังก้องทั่วเมือง “ฮ่าๆ แต่ในเมื่อครั้งนี้เ้าฆ่าข้าไม่ได้ ข้าก็จะกลับมาอีก ไม่มีพิธีรีตองใดๆ ทั้งนั้น สตรีดำมืดปรากฏกายในลู่ิ อีกทั้งในเมื่อถูกสายเืปลุกให้ตื่นแล้ว ข้าก็จักหวนคืน ไม่มีใครต่อกรพวกข้าได้ ถึงต้องปะาคนทั้งเมืองแล้วอย่างไรเล่า? ฮ่าๆๆ!”
เอ่ยไม่ทันจบ
ลำแสงสีดำพลันหายไป ณ ทิศประจิม
สุรเสียงวางอำนาจแข็งกล้าขนาดนี้ กลับเหมือนสายฟ้ากลิ้งเกลือก คึกไหวบนเวหาจะหาความหยุดหย่อนนั้นไม่มี
คลื่นพลังลูกหลงจากศึกยังโคจรอยู่บนฟ้า ดั่งบรรพตดึกดำบรรพ์หนักอึ้งกดทับใจของคนทุกชีวิต กระทั่งคนธรรมดาซึ่งไม่เป็วรยุทธ์ยังรู้สึกหายใจติดขัด ความรู้สึกอกสั่นขวัญแขวน จิตใจเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
เ่ิูยังคงเมียงมองฟากฟ้า
ไม่ได้มีแค่เ่ิูหรอก ยอดฝีมือนับไม่ถ้วนในนครต่างก็มองมันเป็ตาเดียวกัน
เพราะบนอากาศธาตุนั้น ยังมีคนอีกคนหนึ่ง เ้าของผมยาวระกระบี่ ยืนยงประดับเวหา
สตรีนางหนึ่ง
สตรีสวมหน้ากาก
ผมงามดำขลับพลิ้วไหวกับสายลม หน้ากากสีเงินดั่งน้ำแร่เงินหลั่งไหลครอบคลุมดวงหน้า สวมอาภรณ์เช่นราชสำนักสีขาว นางมองลงต่ำ มือซ้ายเรียวงามจับกระบี่ที่อบอวลไปด้วยจิติญญาไว้หลวมๆ ราวกับกำลังเสาะหาอะไรบางอย่าง แล้วก็เหมือนจะระลึกบางอย่างอยู่ ใครไม่รู้คงนึกว่าเป็เซียนหญิงลึกลับ ปลีกตัวเดียวดายจากโลกหล้าไปแล้ว
สายลมพัดพา
ลมผ่านมาชายกระโปรงกลับไม่ขยับ มีความสง่างามและล่องลอยอย่างไร้คำอธิบาย
เซียนหญิงนางนี้คือฝ่ายหนึ่งในศึกใหญ่เมื่อครู่ แล้วก็เป็คนที่วาดกระบี่หั่นเมฆดำครองฟ้าเป็ชิ้นๆ
การต่อสู้ที่สั่นะเืไปทั้งดินทั้งฟ้าซึ่งเห็นก่อนหน้านั้นระลึกขึ้นมา เ่ิูะเือารมณ์นัก แล้วก็เกิดความรู้สึกอันยากจะไถ่ถอน ภาพและทิวทัศน์เหมือนเซียนโรมรันกับมาร เป็แรงกระตุ้นให้เ่ิูอย่างหาจำกัดไม่ได้ เขาสัตย์สาบานแก่ตนในใจ ว่าสักวันหนึ่งต้องเป็วันที่เขาบรรลุระดับและอาณาพวกนี้ได้บ้าง
เวลาต่อมา
ท้องนภาเสมือนบิดเบี้ยวพลันฟื้นคืนเป็ปกติ
ร่างของเซียนหญิงหวังเจี้ยนหรูหายไปไร้ร่องรอย
ศึกที่นำความตระหนกมาสู่ทั้งนครทำให้การต่อสู้ของเหล่าผู้ทรงอิทธิพลประหนึ่งเจอะศัตรูตัวเป้ง ปิดม่านลงอย่างถาวร
เ่ิูทอดมองรอบทิศอีกครา แสงสว่างทั้งหลายแหล่ในเมือง วิชายุทธ์อักขระล้วนหยุดการทำงาน ฟากกองพลทิศเหนือนั้น ลำแสงพลังที่ชะลูดขึ้นฟ้าเสมือนเป็กำบังเองก็ค่อยๆ หายไป วิชายุทธ์ป้องกันของป้อมทหารก็ถูกระงับ...
บรรยากาศเช่นสถานการ์ตึงเครียดค่อยๆ ห่างหาย
ดูเผินๆ แล้ว เหมือนว่าเมืองจะฟื้นสภาพแล้ว
แต่เ่ิูรู้ดีกว่าใคร ว่าคลื่นสาดซัดที่ศึกคราวนี้นำพามานั้น...เพิ่งจะเริ่มต้น
เซียนหญิงชุดขาวหวังเจี้ยนหรู เป็ใครกันแน่?
แล้วลำแสงสีดำที่พ่ายแพ้เล่า เป็ใครได้อีก?
ก่อนหน้าที่จะไป ลำแสงสีดำนั้นก็เผยความหมายมากมายให้ได้ประจักษ์ นั่นต่างหากที่เป็ข้อมูลสำคัญยิ่งที่จะสั่นะเืทั้งหุบเขากวางตัด
เ่ิูคิดได้ทีละอย่างสองอย่างจนรวมได้เป็กลุ่ม เขาะโลงมาจากหลังคาแล้วกลับเข้าห้องโถงใหญ่ของคฤหาสน์
“เสี่ยวหยู” ฉินหลันมองเ่ิูอย่างกระวนกระวาย
เ่ิูยิ้มตอบ “ไม่เป็ไร แค่คนสำคัญโรมรันกันเท่านั้นเอง ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเราเลย ทุกคนอย่างกังวลไป สิ่งใดที่ควรทำก็รีบไปทำเสีย วันนี้ข้าอยากจัดงานเลี้ยงวันเกิดให้น้าหลัน ทุกคนรีบๆ กลับไปเตรียมตัวเถอะ ฮ่าๆ วางใจเถิด ฟ้าถล่มยังมีข้าคนนี้คอยจับตามอง ชนชั้นสูงกว่าร้อย ทหารประจำการหลายพัน คนที่กล้าเข้ามาบ่อนทำลายย่อมต้องถูกทหารสังหารอยู่แล้ว”
บริวารในคฤหาสน์กระจายกันออกไปเตรียมงานฉลองวันเกิด
เ่ิูคุยกับฉินหลันและเสียวฉ่าวพักหนึ่งก็กลับห้องเล็กๆ ของตัวเอง เริ่มการฝึกฝน
ฝึกวิชาลมหายใจไร้ชื่อทุกวัน คือวิชาคงกระพันตลอดกาลของเขา
ให้ความอบอุ่นกับร่างกายตน ดูดรับพลังแห่งใต้หล้า เลี้ยงดูน้ำพุสามตาในโลกทะเลทรายตันเถียน คือเนื้อหาพื้นฐานและสำคัญที่สุดของวรยุทธ์ทั้งปวง
ฝึกวรยุทธ์ไม่ฝึกวิชา ห้วงนภาว่างเปล่าก็เหมือนกัน
ไม่ว่ากระบวนยุทธ์แข็งแกร่งรูปแบบใด ล้วนต้องใช้กำลังภายในแกร่งกร้าวเป็พื้นฐานทั้งสิ้น
ไม่มีพลังภายในมากพอ ถึงจะมียอดกระบวนยุทธ์มาประเคนอยู่ตรงหน้า ก็เห็นทีจะเป็แค่ภาพลวงตาเท่านั้น
เ่ิูเข้าสู่สภาวะอันแสนคุ้นเคยอีกครั้ง
ยามนั้นเองที่เ้าหมาหัวโตเพิ่งตื่นนอน ยื่นหัวออกมาจากอกเ่ิู มองเห็นท่าทีที่เ่ิูฝึกวิชาแล้วก็ไม่ได้รบกวน มันเข้านอกออกในห้องหับตะพึด จมูกดมฟุดฟิดทางนั้นทางนี้อยู่นั่น ไม่รู้ว่ากำลังหาอะไรอยู่เช่นกัน ถึงได้มองอะไรด้วยสายตาแปลกใจเสมอ...
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้