มารตีรีบวิ่งเข้ามาหา เห็นแขนเสื้อของนัทพงษ์ขาด และมีเืซึมออกมาตรงท่อนแขน “นัทพงษ์! แขนเธอ...” เธอเสียงสั่นอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
“ไม่เป็ไรครับ ผมโอเค…” เขาฝืนยิ้มให้ แม้ใบหน้าจะแสดงความเ็ป อย่างชัดเจน แต่น้ำเสียงของเขายังอบอุ่นเหมือนเดิมแม้จะมีเืไหลออกมา
หญิงสาวรู้สึกเหมือนบางอย่างในใจเริ่มเปลี่ยนไป “ทำไมเธอถึงกล้าขนาดนั้น...”
“ผมไม่อยากเห็นพี่เป็อะไร” เขาตอบตรงๆ ด้วยสายตาที่ไม่หลบ
ผู้จัดการสาวสวยเงียบไปครู่หนึ่ง จ้องตาเขาแล้วเบือนหน้าออก “หุบปากไปเลย... คนบ้า” เธอว่าเสียงเบา แต่ไม่อาจปิดบังสีหน้าที่แดงระเรื่อและหัวใจที่เต้นแรงกว่าปกติได้
มารตีไม่ได้พูดอะไรต่อ แค่ก้มหน้าไปดูาแแล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าขึ้นมาพันแผลให้เขาช้าๆ มือของเธอสั่นนิดๆ แต่นัทพงษ์ไม่ได้พูดอะไร แค่เฝ้ามองเธอด้วยสายตาอบอุ่นเกินจะบรรยาย บางที…นี่อาจเป็จุดเริ่มต้นของความรู้สึก ที่ทั้งสองคนยังไม่ทันได้เข้าใจ
ร่างงามสมส่วนยืนพิงโต๊ะทำงานตัวเอง พลางจ้องกระดาษใบหนึ่งที่ถืออยู่ ในกระดาษแผ่นนั้นมีลายมือหวัดๆ ของใครบางคนที่เพิ่งส่งเข้ามาเมื่อเช้า
“ใบลาหยุด เนื่องจากอาการาเ็จากเหตุการณ์ถูกทำร้ายร่างกาย ขอลาหยุด 7 วัน…” ลายเซ็นด้านล่างคุ้นตาเกินไป
มารตีถอนหายใจเงียบๆ แล้วหันมองผ่านหน้าต่างกระจกใส ด้านนอกฝนกำลังโปรยปรายบางๆ เสียงรถราบนถนนด้านล่างดังสับสน เสียงเคาะประตูเบาๆ ดังขึ้น แล้วร่างที่คุ้นเคยก็โผล่หน้าเข้ามา ชายหนุ่มใส่เสื้อแขนยาวตัวหลวมที่พยายามปิดแผลไว้ เธอสังเกตได้ทันทีว่าเขายังเจ็บอยู่ แต่ก็ยังฝืนยิ้มแบบคนไม่อยากให้ใครห่วง
“พี่บอกให้เธอพักอยู่บ้านไง ทำไมมาอีก?” มารตีขมวดคิ้วทันที แต่สายตาไม่ได้ดุจริงจังนัก
“ก็ผมอยากมาเอาเอกสารกลับไปทำที่บ้านน่ะครับ ไม่อยากให้พี่ ต้องมาปวดหัวแทน” นัทพงษ์ตอบเสียงเบา ก้มหน้าลงอย่างรู้ดีว่าตัวเองยังไม่พ้นคำว่า ‘ซุ่มซ่าม’
“เธอจะบ้ารึไง... แค่เดินยังไม่คล่องดีเลย!” เธอสวนกลับทันควัน ก่อนจะหันกลับไปที่โต๊ะแล้วหยิบใบลาในมือ เธอยื่นมันให้เขา แล้วพูดเรียบๆ แต่กลับทำให้คนฟังใจเต้นแรง
“พี่อนุมัติแล้ว กลับไปพักซะ ถ้าไม่อยากให้พี่โมโหจนไล่ออกจริง ๆ”
นัทพงษ์รับใบลามาช้าๆ ริมฝีปากเม้มแน่นราวกับอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ยิ้มจางๆ “ขอบคุณครับ…”
เขาหันหลังกำลังจะเดินออกไป แต่แล้วก็ชะงักเมื่อได้ยินเสียงเบาๆ ตามหลังมา “...แล้วก็... ขอบใจ... สำหรับวันนั้น”
เสียงนั้นแทบจะกระซิบ แต่กลับทำให้เขาหยุดเดินทันที ร่างสูงโปร่งหันกลับมามองหญิงสาวที่ยังยืนอยู่ในท่าทางเย่อหยิ่งเหมือนเดิม แต่แก้มของเธอแดงนิดๆ จนดูน่ามอง
“พี่ว่าอะไรนะครับ?” เขาแกล้งถามย้ำ พร้อมยิ้มกรุ้มกริ่ม
“อย่าให้ต้องพูดซ้ำ พี่อาจจะเปลี่ยนใจไม่ให้เธอลาเลยก็ได้!”
“ไม่ครับๆ ผมได้ยินชัดเลยครับ!” นัทพงษ์ยกมือยอมแพ้แต่ยิ้มตาหยีแบบเด็กดี
มารตีส่ายหน้าอย่างเอือมระอา ก่อนจะหมุนตัวกลับเข้าไปในห้องทำงาน แต่หัวใจเธอกลับเต้นไม่เป็จังหวะ…เด็กฝึกงานคนนี้มันน่าหมั่นไส้จริงๆ แต่ก็น่ารักขึ้นเรื่อยๆ …เธอก็ไม่รู้ั้แ่เมื่อไหร่เหมือนกัน ที่เริ่มมีความรู้สึกแบบนี้
บ่ายวันอาทิตย์ในสวนหลังบ้าน บริเวณริมเนิน มารตีนั่งพิงหมอนข้างนุ่มๆ บนเก้าอี้หวายใต้มุมนั่งเล่น ปพนต์นั่งอยู่ข้างๆ มือข้างหนึ่งถือถ้วยกาแฟ มืออีกข้างวางอยู่บนขาเปลือยของเธออย่างแ่เบา สายลมเย็นพัดใบไม้ไหวเอื่อยๆ และกลิ่นหอมอ่อนของดอกลีลาวดีก็ทำให้่เวลานี้ชวนให้ใจนิ่งสงบและอ่อนไหว
“พี่ปพนต์คะ” มารตีเอ่ยเรียกชื่อสามีเบาๆ สายตาเธอเหม่อมองออกไปไกลยังเส้นขอบฟ้า แต่เสียงนั้นแฝงความหนักแน่นบางอย่าง
“หืม?” เขาหันมาสบตาเธอ ยิ้มมุมปากอย่างคุ้นเคย “ดูจริงจังนะ มีอะไรในใจเหรอจ๊ะ?”
ธอเม้มริมฝีปากนิด ก่อนจะหันมาสบตาเขา “รตีอยากขออะไรหน่อยค่ะ… แบบจริงจัง”
ปพนต์ยกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ว่ามาเลยจ้ะ ฟังอยู่” ก่อนหันไปมองภรรยาสาวคนสวยอย่างสนใจ
ผู้เป็ภรรยาลูบผ้าคลุมตักเบาๆ เหมือนรวบรวมความกล้า “เื่นัทพงษ์... เด็กฝึกงานที่บริษัทค่ะ”
ปพนต์ยิ้ม “อืม คนที่ซุ่มๆ ซ่ามๆ ทำเอกสารหายประจำ แต่ก็มาช่วยเธอสู้กับโจรวันนั้นใช่มั้ย?”
“ใช่ค่ะ…” เธอยิ้มน้อยๆ พลางถอนหายใจ “ตอนแรกรตีก็แค่หงุดหงิดที่เขาซุ่มซ่าม แต่พอได้เห็นอีกมุม... เห็นความตั้งใจ เห็นความกล้า แม้จะยังเงอะงะ รตีก็... เอ่อ...เริ่มสนใจเขานิดๆ”
“นิดๆ?” ปพนต์แกล้งเลิกคิ้วขึ้นพร้อมยิ้มขำ “หรือมากกว่า ‘นิด’ แล้วจ๊ะ มารตี?”
หญิงสาวหัวเราะเบาๆ “ก็ไม่ถึงกับหลงใหลหรอกนะ แต่รตีรู้สึกว่า... เขาเป็คนที่น่ารัก ซื่อๆ และน่าค้นหาในแบบของเขาเอง รตีเลยอยากลอง...” เธอเว้นคำ ก้มหน้านิดๆ แบบอายๆ “ลองจีบเขาดู... แบบแเี ไม่บอกเขาว่ารตีมีสามีแล้ว… จนกว่าจะถึงเวลาเหมาะสม”
ปพนต์เงียบไปชั่วครู่ สายตาเขาอ่านความรู้สึกของภรรยาออกอย่างชัดเจน เขารู้ดีว่าเธอไม่ได้พูดเล่น และเธอเองก็ไม่เคยขออะไรแบบนี้ถ้าไม่จริงใจ
“ถ้าพี่ไม่อนุญาตล่ะ?” เขาถามเรียบๆ แต่อมยิ้มแบบมีเลศนัย
มารตีชะงัก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาเขา “รตีก็จะไม่ทำ แต่…จะเสียใจนิดหน่อยค่ะ”
ปพนต์คลี่ยิ้ม “แล้วถ้าพี่อนุญาตล่ะ?”
เธอยิ้มกว้างทันที ราวกับเด็กหญิงได้ของเล่นที่อยากได้มานาน “รตีก็จะไปเริ่มวางแผนเลย... แต่อย่าห่วงนะ รตีจะยังไม่ไปไกล ไม่แตะตัวเขา ไม่ทำให้เขาเข้าใจผิด เราแค่... เล่นเกมเล็กๆ กันก่อน”
ปพนต์ยกมือขึ้นลูบผมภรรยาสาวเบาๆ “รตีน่ารักมาก รู้มั้ย...พี่ก็อยากเห็นรตีในมุมแบบนี้บ้าง เล่นสนุกบ้าง ไม่ต้องเป็หัวหน้าใหญ่ในบริษัทตลอดเวลา”
เธอทำตาโต “งั้นอนุญาตแล้วใช่ไหมคะ?”
เขายักไหล่ “ก็ต้องดูว่ารตีจะจีบเก่งแค่ไหน... แล้วจะเอาชนะใจเด็กนั่นได้รึเปล่า”
มารตีหัวเราะคิก “อย่าประมาทรตีเชียวนะคะ!”
ปพนต์โน้มตัวมากระซิบที่ข้างหู “แต่สุดท้ายรตีก็ต้องกลับมาให้พี่จีบทุกวันอยู่ดี...” ขณะที่มือใหญ่หนาลูบสะโพกอวบของหญิงสาวไปมา พลางขยำเบาๆ จ้องตาเธออย่างมีเลศนัย เธอหน้าแดงทันที ก่อนจะหยิกแขนเขาเบาๆ แล้วหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข
บ่ายวันนั้น ทั้งคู่พูดคุยกันต่ออีกนาน แต่ไม่ได้พูดคุยกันแค่คำพูดเท่านั้น ร่างกายที่เปลือยเปล่าของทั้งสองยังพูดคุยภาษารักที่เร่าร้อนกันด้วย ทำเอาสาวใช้ที่เอาน้ำมาเติมให้หน้าแดงใจสั่นไปเลย
คนใช้ที่บ้านต่างก็แปลกใจไปตามๆ กัน เพราะสองสามเดือนมานี่ มารตีเปลี่ยนไปมาก นายหญิงของบ้านที่ปกติมักจะแต่งกายมิดชิดและไม่เคยแสดงความรักกับนายผู้ชายแบบเปิดเผยมาก่อนเลย...แต่ทุกวันนี้เธอเปิดเผยมากอย่างเมื่อ่บ่ายวันนี้ ที่ทั้งสองร่วมรักกันอย่างโจ่งแจ้งกลางสนามหลังบ้านแบบไม่สนใจว่าจะมีใครเห็นหรือไม่
ทุกคนได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ...แต่ก็ไม่วายซุบซิบกันไปมา
“นี่ ระริน เธอสังเกตบ้างไหม เดี๋ยวนี้ทำไมคุณรตี ชอบแต่งตัวโป๊จังเลย”
“ฮื่อ ใช่นะสิ เมื่อวันก่อนพี่คำหมานมองตาค้างเลย ตอนที่คุณรตีเดินดูดอกไม้ในสวนน่ะ”
“ทำไมเหรอ” อีกเสียงถามอย่างอยากรู้อยากเห็น
“ก็เธอสวมแค่ชุดนอนบางๆ แล้วก็ไม่ใส่ชุดชั้นในนะสิ”
“นี่พวกหล่อน...มีอะไรก็ไปทำ ไป๊มานินทาเ้านายอยู่ได้ อยากถูกไล่ออกหรือไง” เสียงศรีแพร ดังแหวมาแต่ไกล
ทั้งกลุ่มจึงแตกกระจาย...แต่ภายในจิตใจยังเต็มไปด้วยความสงสัยไม่เสื่อมคลาย
หลังจากวันนั้นภายในใจของมารตีก็เริ่มมีแรงกระเพื่อมบางอย่าง เธอไม่ใช่แค่ได้รับอนุญาตจากสามีเท่านั้น... เธอยังได้รับพลังใจด้วย และตอนนี้... เกมจีบหนุ่มน้อย กำลังจะเริ่มต้นขึ้นอย่างจริงจังแล้ว
เช้าวันจันทร์ในออฟฟิศเงียบสงบกว่าทุกวัน แสงแดดอ่อนจากกระจกสะท้อนลงบนโต๊ะทำงานผู้จัดการ ที่ทำจากไม้แบบเรียบๆ แต่ดูหรูของมารตี ข้างหน้าคือจอมอนิเตอร์ที่รายงานยอดโครงการต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง แต่สายตาเธอกลับเหลือบไปมองทางมุมห้อง ที่โต๊ะเด็กฝึกงานตั้งอยู่เป็ระยะ
นัทพงษ์มาทำงานตามเวลาเช่นเคย ใบหน้าเขายังดูสดใสแม้จะมีผ้าพันแผลที่แขน มือแข็งแรงกำลังเรียบเรียงเอกสารด้วยความระมัดระวังราวกับกลัวจะผิดพลาดซ้ำอีกครั้ง แต่สิ่งที่ทำให้มารตีรู้สึกแปลกใจกว่าทุกวันคือ...