“เป็เื่ที่คุยกันไม่กี่ประโยคก็จบแล้วเท่านั้นแหละแต่ทำอย่างกับเป็เื่ใหญ่โตเสียขนาดนั้น อาจารย์ทนไม่ได้ที่เห็นพวกเขาพูดจาไร้สาระอาจารย์ก็เลยกลับมาก่อน”
“ประชุมเกี่ยวกับอะไรหรือครับ? เกี่ยวกับรายละเอียดการแข่งขันการพิสูจน์เครื่องเคลือบในวันพรุ่งนี้ใช่หรือเปล่า?”
“การแข่งขันการพิสูจน์เครื่องเคลือบในวันพรุ่งนี้ถูกเลื่อนออกไปอีก10 วันน่ะ”
“ถูกเลื่อนออกไปอีก 10 วัน?”
หลินเยว่ได้ยินเช่นนี้ก็ถึงกับตกตะลึง“มันเป็เื่ที่ตกลงกันไว้แล้วไม่ใช่หรอ? ทำไมถึงจู่ๆ คิดจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนเลยล่ะ?”
“อาจารย์เองก็ไม่รู้เหมือนกันตอนแรกยังคิดว่าเฉินเฟยเป็ตัวก่อปัญหา แต่เมื่อสังเกตสีหน้าของเขาแล้วก็เห็นว่าเขาดูงงอยู่เหมือนกัน ดูแล้วเื่นี้คงไม่ได้เกี่ยวข้องกับเขาน่าจะเป็ปัญหาของทางจิ่งเต๋อเจิ้นมากกว่า และด้วยสาเหตุนี้พวกเขาก็เริ่มถกเถียงกัน ดังนั้น อาจารย์ก็เลยกลับมาก่อนหากรู้ล่วงหน้าว่าอีกหลายวันถึงจะได้เริ่มแข่งขัน ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะได้เดินทางมาช้าหน่อยสอนคุณอยู่ที่คุนิเพิ่มอีกหลายๆ วันจะต้องมีประสิทธิภาพดีกว่านี้ เพราะอยู่ที่นั่น้าเครื่องเคลือบแบบไหนที่หรงเล่อเซวียนก็มีตัวอย่างให้ศึกษาทั้งหมด แต่ดูที่นี่สิ พูดได้แค่ทฤษฎีเท่านั้นแหละ”
ท่านเฮ่อฉางเหอพูดอย่างอ่อนใจ
แผนการที่วางไว้ทั้งหมดกลับไม่ตรงกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจริงเลย!
“ในเมื่อเลื่อนเวลาออกไปอีก 10 วัน ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะทำอย่างไรหรือครับ?อาจารย์ยังสอนต่อไปหรือเปล่า?” หลินเยว่ถามขึ้น
การเรียนในหลายวันมานี้ทำให้เขารู้สึกอึดอัดกดดันแทบแย่มันควรจะถึงเวลาที่เขาจะได้ออกไปเดินรับลมบ้างแล้วล่ะ
ท่านเฮ่อฉางเหอมองหลินเยว่อย่างอ่อนใจแล้วจึงพูดขึ้น“พรุ่งนี้คุณออกไปเดินเถอะ ควรใช้ความรู้ที่เพิ่งเรียนหลายวันมานี้ออกไปฝึกสำรวจแผงบ้าง”
“ครับ”
ใบหน้าของหลินเยว่แสดงอาการตื่นเต้นออกมาเขารอวันนี้มานานมากแล้ว
เมื่อท่านเฮ่อฉางเหอเห็นท่าทางเช่นนี้ของหลินเยว่มุมปากของเขาก็ปรากฏรอยยิ้มเ้าเล่ห์พร้อมพูดขึ้น “พรุ่งนี้ออกไปข้างนอกได้ แต่บ่ายวันนี้คุณยังต้องเรียนต่อไปก่อนแล้วเนื้อหาวันนี้ค่อนข้างเยอะเสียด้วย หากสามารถเรียนเสร็จภายในสี่ทุ่มก็ถือว่าไม่เลวแล้วล่ะ”
“อาจารย์... อาจารย์คงไม่โหดขนาดนั้นหรอกนะ!” หลินเยว่โอดครวญขึ้นมาทันที
“นี่อาจารย์ทำเพื่อคุณหรอกนะ!”
ท่านเฮ่อฉางเหอขึงตาใส่หลินเยว่หลินเยว่จึงเงียบกริบไปในทันที
เรียนไปเถอะ ในเมื่อยังไงก็ต้องเรียนในสักวันการเรียนเร็วขึ้นอีกสักหน่อยก็ย่อมดีกว่ายื้อเวลาออกไป...
วันถัดมา หลินเยว่มุ่งหน้าตรงไปยังถนนวัตถุโบราณ นับั้แ่ครั้งที่แล้วที่เขามายังถนนวัตถุโบราณกับจางฮุยิครั้งนี้ถือว่าเป็ครั้งแรกที่เขามาด้วยตัวเองอีกครั้ง ยังมีอีกหลายจุดที่เขายังไม่เคยไปครั้งนี้เขาจะต้องเดินชมให้ครบทั้งหมด
ถึงแม้ว่าหลินเยว่จะเคยมากับจางฮุยิครั้งหนึ่งแต่เขาก็ยังต้องเดินวนหาอยู่นานมากกว่าจะหาถนนหินหยกโบราณเส้นนี้เจอ และครั้งนี้ก็ทำให้เขาจำเป็ต้องยอมรับกับตัวเองที่เป็มนุษย์จอมหลงทาง
ถึงแม้ว่าจะเป็่เช้า แต่ก็มีคนเดินพลุกพล่านอยู่บนถนนเส้นนี้แล้วหลินเยว่ไม่ได้เดินไปยังเส้นทางที่เคยเดิน แต่เลือกเดินเส้นทางที่จางฮุยิเดินในครั้งที่แล้วซึ่งเส้นทางนี้เขาไม่เคยเดินมาก่อน ไม่แน่เขาอาจจะได้พบของดีก็ได้แต่เขาก็รู้ตัวดีว่านี่เป็การเพ้อฝันของตัวเองการเก็บตกมันง่ายอย่างนั้นเสียที่ไหนล่ะเขาควรจะใช้ความรู้ที่เขาเรียนมานำมาฝึกฝนยังจะดีเสียกว่า
หลินเยว่มองไปเรื่อยๆ ตามสบายเครื่องเคลือบที่วางอยู่เต็มพื้นไม่มีร่องรอยถึงความ “แท้” เลยสักนิดหรือแม้กระทั่งจะเป็ของลอกเลียนแบบเกรดเอก็ยังมีน้อยมาก
ไม่รู้ว่าที่นี่กลายเป็ถนนวัตถุโบราณได้อย่างไรเขาคิดว่าแต่ก่อนที่นี่น่าจะเป็แหล่งที่ขายถ้วยชามกะละัะบวยเซรามิกมากกว่า
หลินเยว่เดินวนบนถนนวัตถุโบราณอยู่ครึ่งวันเช้าแต่ก็ไม่พบอะไรที่น่าสนใจซึ่งทำให้เขารู้สึกผิดหวังมากแต่ทว่าสิ่งเดียวที่ทำให้เขารู้สึกพอใจก็คือความสามารถในการสังเกตของปลอมของเขามีการพัฒนาขึ้นแล้วและทำให้เขารู้สึกว่าตนเองเข้าใจความรู้ที่ท่านเฮ่อฉางเหอสอนเขาใน่หลายวันมานี้ได้อย่างลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น
เมื่อถึงตอนเที่ยงหลินเยว่จึงหาที่ทานข้าวอย่างไม่ใส่ใจนัก หลังจากนั้นเขาก็เริ่มเข้าสู่การเดินทางตามหาสมบัติของเขาต่อ
หลินเยว่กลับมายังถนนวัตถุโบราณอีกครั้ง ครั้งนี้เขาเตรียมจะเดินไปยังเส้นทางเดิมที่ครั้งที่แล้วเขาได้เดินไปแล้วแต่แล้ว เขาพลันได้ยินคนที่เดินอยู่บนถนน 2 คนพูดคุยกัน
“ถนนวัตถุโบราณเส้นนี้ไม่มีของเด็ดอีกแล้วจะพูดว่าเป็ถนนของปลอมทั้งเส้นก็ยังไม่ดูโอเวอร์เกินจริง ่นี้คนที่คิดจะเข้ามาหากินจากถนนวัตถุโบราณก็เป็การหาเื่อดตายชัดๆถึงใช้เวลา 100 ปีก็ไม่เห็นว่าจะเก็บตกของดีได้สักชิ้นหรือหากได้เจอก็เป็ของที่คนอื่นได้ไป” มีคนคนหนึ่งบ่นขึ้น
ส่วนอีกคนก็รำพึงต่อ “ก็นั่นน่ะสิ แต่ละปีมีคนเดินทางมาจิ่งเต๋อเจิ้นเยอะขนาดนั้นแต่ถ้าเป็คนนอกวงการก็ไม่มีทางมา แล้วจะเหลือเครื่องเคลือบดีๆหลงเหลืออยู่ที่นี่ได้ยังไงล่ะ ของดีก็ถูกคนอื่นเก็บตกไปหมดแล้ว”
“เฮ่อ ยิ่งเดินอยู่ที่นี่ก็ยิ่งรู้สึกว่าไม่มีอะไรน่าสนใจไปกันเถอะ ไปหาผู้เฒ่าหลิวกัน ในมือของเขามีจานลายครามลายดอกไม้ในสมัยรัชศกเซวียนเต๋อแห่งราชวงศ์ิอยู่ใบหนึ่งพวกเราลองไปหาเขากัน ไม่แน่วันนี้อาจจะทำให้เขาใจอ่อนยอมขายมันออกมาก็ได้นะ”
“คุณฝันหวานเกินไปแล้วล่ะ เราไปกันมาตั้งกี่ครั้งก็ไม่เคยเห็นผู้เฒ่าหลิวยอมใจอ่อนสักที”
แต่ถึงจะพูดแบบนี้แต่คนที่พูดก็แสดงออกว่าสนใจที่จะไปหาผู้เฒ่าหลิวอย่างเห็นได้ชัด และสุดท้ายเขาก็เอ่ยออกมา
“ไปกันสิ อยู่ที่นี่ก็เสียเวลาอยู่แล้วลองไปเสี่ยงดวงที่นั่นกันดีกว่า”
ขณะที่พูดพวกเขาทั้งสองคนก็เดินเข้าไปยังถนนเส้นหนึ่งที่เป็ทางเลี้ยวตรงหัวมุม
หลินเยว่ได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกสนใจทันที ดังนั้นเขาจึงค่อยๆ เดินตามไป
เป้าหมายของเขาไม่ได้คิดจะไปแย่งของ แต่เขา้าไปศึกษาเรียนรู้ตอนที่ท่านเฮ่อฉางเหออธิบายเกี่ยวกับเครื่องลายครามลายดอกไม้ในสมัยรัชศกเซวียนเต๋อแห่งราชวงศ์ินั้นอาจารย์ไม่สามารถหาเครื่องเคลือบที่เกี่ยวข้องมาเป็สื่อการสอน ดังนั้นหลินเยว่จึงจำได้เพียงลักษณะเฉพาะของมัน แต่ยังไม่เคยได้ััของจริงเลยวันนี้เขาจึงคิดว่าน่าจะเป็โอกาสอันดีที่จะได้ทดลองสังเกตจากของจริงดู
เพื่อไม่ให้ถูกเข้าใจผิดว่ามีเจตนาร้าย หลินเยว่จึงแกล้งทำตัวเป็นักท่องเที่ยวที่สนใจสิ่งรอบๆตัวจนต้องมองซ้ายมองขวาอยู่ตลอดทาง คงต้องบอกว่าเทคนิคการสะกดรอยตามคนอื่นที่เขาเลียนแบบมาจากโทรทัศน์ก็มีประโยชน์มากเช่นกันแต่ทว่าเขาก็ยังไม่สามารถทำได้ถึงขนาดสะกดรอยตามอยู่ทางด้านหลังเป็ระยะเกือบประชิดตัว1 เมตรแล้วจะไม่ถูกคนอื่นจับสังเกตได้ดังนั้น เขาจึงเดินตามอยู่ทางด้านหลังของ 2 คนนั้นเป็ระยะห่าง 200 เมตร และทำให้เขาจึงได้แต่มองจากระยะไกลเท่านั้น
เพียงไม่นาน หลินเยว่เดินตามคน 2 คนนั้นจนมาถึงถนนที่เก่าแก่เส้นหนึ่งสองข้างทางเป็กำแพงสูงที่ก่อด้วยอิฐดำ มีความเงียบสงบเป็อย่างมากทำให้คนที่เดินอยู่รู้สึกราวกับได้ย้อนกลับไปอยู่ในสมัยโบราณ เป็การเดินเล่นอย่างเพลิดเพลินตามตรอกซอกซอยโบราณริมฝั่งแม่น้ำแยงซี ให้ความรู้สึกที่พิเศษกว่าปกติ
อากาศบนตรอกโบราณเส้นนี้แผ่กระจายไปด้วยกลิ่นน้ำฝนเป็กลิ่นที่ผสมกลิ่นดินและกลิ่นหญ้าที่กระจายเข้าสู่ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาเมื่อสูดกลิ่นนี้เข้าไปก็ทำให้สดชื่นขึ้นมาทันที
หลินเยว่ไม่ได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศริมฝั่งแม่น้ำเลยเพราะเขากำลังจดจ่ออยู่กับการหาวิธีสะกดรอยตามเพื่อไม่ให้คลาดกับอีกฝ่ายและเวลานี้เอง ตรอกเล็กๆ กลับกลายเป็ตรอกที่สั้นมากและลักษณะตรอกก็เริ่มมีความซับซ้อน หากอีกฝ่ายเดินเลี้ยวหลายๆ ครั้งภายในระยะทางไม่ถึง200 เมตรหลินเยว่ก็คงจะคลาดจากพวกเขาอย่างแน่นอน
ทันใดนั้น คน 2 คนที่อยู่เบื้องหน้าหลินเยว่ก็เดินเลี้ยวเข้าไปทางขวาหลินเยว่จึงพยายามเร่งฝีเท้าเดินตามไป แต่ทว่าเมื่อเขาเดินเลี้ยวตรงมุมขวานั้นแล้วเขาก็ต้องมองอย่างมึนงงเพราะเบื้องหน้ามีทางแยก 3 ทางเขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเดินไปทางทิศไหน และที่น่าเจ็บใจที่สุดก็คือ ทางแยกทั้ง 3ทางนี้มีเป็ทางที่สั้นมาก อีกฝ่ายคงเลี้ยวไปไม่รู้กี่ครั้งจนหายไปจากสายตาแล้ว
คลาดกันเสียแล้ว
หลินเยว่ต้องยอมรับว่าฝีมือการสะกดรอยตามของตน...มันแย่มากจริงๆ
ตอนนี้หลินเยว่จึงได้แต่สอบถามคนแถวๆนี้ว่าบริเวณนี้มีผู้เฒ่าสกุลหลิวหรือไม่ เพราะเขาได้ยินสองคนนั้นพูดไว้อย่างนี้และเขาก็ไม่รู้ว่าตนเองได้ยินผิดไปหรือเปล่า
อันที่จริง หลินเยว่ไม่ได้ฟังผิดไปแต่ทว่าเขาก็ได้ทราบจากคนบริเวณนี้ว่าที่นี่เป็ศูนย์รวมของคนสกุลหลิวซึ่งก็หมายความว่าคนที่อาศัยอยู่ที่นี่ล้วนเป็คนสกุลหลิว
เมื่อทราบข้อมูลนี้แล้ว หลินเยว่ก็ได้แต่กุมขมับตอนแรกเขาคิดว่าจะเป็เพียงผู้เฒ่าสกุลหลิวคนหนึ่งเท่านั้นแต่กลับกลายเป็ว่าผู้เฒ่าทุกคนในที่แห่งนี้จะเป็คนสกุลหลิวทั้งหมดแล้วเขาจะหาข้อมูลต่อไปได้อย่างไรล่ะ? แต่แล้วเขาก็คิดถึงเครื่องลายครามลายดอกไม้ในสมัยรัชศกเซวียนเต๋อแห่งราชวงศ์ิผู้เฒ่าที่มีเครื่องลายครามลายดอกไม้ใบนี้ก็น่าจะมีเพียงคนเดียวนะ
แต่เมื่อสอบถามแล้ว อีกฝ่ายกลับบอกเขาว่าที่นี่ไม่มีเครื่องลายครามลายดอกไม้ในสมัยรัชศกเซวียนเต๋อแห่งราชวงศ์ิเลย
คำตอบที่ได้นี้ก็ทำให้หลินเยว่ข้องใจไม่หยุดหรือว่าสองคนนั้นจะหลอกเขา?
แต่ตนเองกับพวกเขาสองคนนั้นไม่ได้รู้จักกันเป็ส่วนตัวเลยแล้วทำไมพวกเขาถึงต้องหลอกตัวเขาเองด้วยล่ะ?
หรือว่าคนตรงหน้าจะไม่รู้เื่เครื่องลายครามลายดอกไม้ในสมัยรัชศกเซวียนเต๋อแห่งราชวงศ์ิ?
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้