ด้วยปากที่น่าเกลียดของมู่อี๋เสวี่ย ที่นางต้องแบกรับาแจากการถูกฉีกขาดเอาไว้อย่างเ็ป นางร้องไห้คร่ำครวญเล่าว่าตนเองถูกมู่จื่อหลิงทำร้ายจนทำให้ตนต้องอับอายอย่างไรบ้าง และร้องไห้ แจกแจงอย่างละเอียดถี่ถ้วนให้มู่เจิ้นกั๋วได้รับฟัง
หลังจากมู่เจิ้นกั๋วได้รับฟังความคับข้องใจของมู่อี๋เสวี่ยอย่างเงียบๆ เมื่อเห็นรูปลักษณ์ที่น่าสังเวชและน่าสมเพชของมู่อี๋เสวี่ย เขาทำเพียงแค่ขมวดคิ้วเล็กน้อย การแสดงออกของเขาไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก
เห็นได้ว่าเขาไม่ได้คิดเกี่ยวกับเื่นี้เลย ด้วยไม่เชื่อในคำพูดของมู่อี๋เสวี่ย ดังนั้นเขาจึงโบกมือให้ “หยุดพูดจาเหลวไหลได้แล้ว เป็ไปไม่ได้ที่หลิงเอ๋อร์จะทำเื่เช่นนั้น”
พูดจาเหลวไหล? นางกลายเป็เช่นนี้? มันจะเหลวไหลได้อย่างไร? เมื่อเห็นว่ามู่เจิ้นกั๋วไม่เชื่อ มู่อี๋เสวี่ยจึงเกิดความกังวลขึ้นมาในทันที
นางเสียโฉมไปแล้ว ไป๋ซู่ซู่ก็ไม่สนใจนางเช่นกัน ยามนี้ คนเดียวที่นางสามารถพึ่งพิงได้คือมู่เจิ้นกั๋ว
หากมู่เจิ้นกั๋วไม่เชื่อนาง เช่นนั้นนางควรทำอย่างไร?
ไม่ ไม่ได้ มู่จื่อหลิงเป็ผู้ที่ทำให้นางต้องตกลงมายังจุดที่เป็อยู่ในทุกวันนี้ นางต้องพยายามเพิ่มขึ้นเพื่อเอาคืนเป็สองเท่า ต้องทำได้!
มู่อี๋เสวี่ยคุกเข่าลงด้วยเสียงอันดัง นางคว้าชายชุดของมู่เจิ้นกั๋วไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง แล้วชี้ไปที่ปากของนางด้วยอีกมือหนึ่ง “ท่านพ่อ ข้าไม่ได้พูดจาเหลวไหล มู่จื่อหลิงทำให้ข้าเป็เช่นนี้ มู่จื่อหลิง...”
นางพูดอย่างละล่ำละลัก ยังคงเปิดปากพล่ามต่อ “เป็มู่จื่อหลิงที่ทำให้ผู้ชายน่ารังเกียจมากมายรังแกข้าในที่สาธารณะ ทำลายความบริสุทธิ์ของข้า ทั้งยังทำลายรูปลักษณ์ของข้า...นางทำให้รูปลักษณ์ของข้ากลายเป็ผีก็ไม่ใช่คนก็ไม่เชิงเช่นนี้ ล้วนเป็นางที่กระทำ...”
การถูกเหยียดหยามและเย็บปากหน้าวังหลวงในวันนั้น ถือเป็ฝันร้ายตลอดชีวิตของมู่อี๋เสวี่ย ยามนี้เมื่อนางคิดเกี่ยวกับมัน นอกจากความเกลียดชังในใจของนางแล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดอีก
มู่อี๋เสวี่ยร้องไห้ครั้งแล้วครั้งเล่า กับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเองอย่างน่าอนาถโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
น้ำเสียงของนางวิตกกังวลมาก นางไม่คำนึงถึงแผลเป็บนปากที่เปิดออกอีกครั้ง ทันใดนั้นเืที่ริมฝีปากของนางก็ไหลลงมา ส่งผลให้ใบหน้าของนางแลดูน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าเก่า
มู่อี๋เสวี่ยผู้น่าสงสารและไร้หนทาง สามารถทำให้ใจของคนคนหนึ่งใจอ่อนลงได้ มู่เจิ้นกั๋วมองไปที่มู่อี๋เสวี่ยอย่างเ็า ในที่สุดก็ถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้
อย่างไรก็ตาม เขายังคงมีใบหน้าที่สง่างามและเคร่งขรึม ก่อนถามด้วยน้ำเสียงที่ลึกล้ำว่า “เ้าเอาแต่พูดว่าหลิงเอ๋อร์ทำร้ายเ้า เช่นนั้นพ่อขอถามเ้า ความสัมพันธ์ระหว่างเ้ากับหลิงเอ๋อร์ใน่หลายปีที่ผ่านมา ยังมีท่าทีของเ้าที่มีต่อนาง จากจิตสำนึกที่แจ่มแจ้งของเ้า เ้าไม่เคยรังแกนางใช่หรือไม่?”
มู่อี๋เสวี่ยตกตะลึงในทันที รู้สึกเหลือเชื่อเล็กน้อยอยู่ภายในใจ
ท่านพ่อของนางหมายความว่าอย่างไร?
เป็ไปได้ไหมว่าท่านพ่อจะรู้หมดแล้วว่านางทำอะไรกับมู่จื่อหลิงมาก่อนบ้าง?
เป็ไปไม่ได้ ท่านพ่อจะรู้ได้อย่างไรในเมื่อท่านพ่ออยู่ในสวนจิ้งซินตลอดเวลา? แม้แต่ท่านแม่ของนางก็ยังไม่รู้เื่พวกนี้เลย
มู่อี๋เสวี่ยยึดมั่นในใจนางมาก นางเงยหน้าขึ้นอย่างน่ารักและน่าสงสาร นางร้องไห้ออกมาอย่างหนัก “ท่านพ่อ ข้าไม่ได้รังแก อย่างไรก็เป็พี่สาว...ขอท่านพ่อให้ความเป็ธรรมกับข้าด้วย...”
เมื่อเห็นความพยายามในการโต้แย้งของมู่อี๋เสวี่ย ซึ่งไม่มีความรู้สึกสำนึกผิดแม้แต่น้อย มู่เจิ้นกั๋วก็รู้สึกเย็นเยียบ
“พอแล้ว!” มู่เจิ้นกั๋วขัดจังหวะมู่อี๋เสวี่ยอย่างโกรธเคือง
น้ำเสียงของเขาค่อนข้างร้อนรนและโกรธเล็กน้อย “ก่อนที่พ่อจะตัดสินเื่นี้ให้เ้า เ้าควรดูด้วยตนเองว่านี่คือสิ่งใด?”
ก่อนที่จะพูดจบ มู่เจิ้นกั๋วก็หยิบกระดาษหนาๆ กองหนึ่งออกมาจากช่องในแขนชุด โยนมันลงมาต่อหน้ามู่อี๋เสวี่ยซึ่งกำลังคุกเข่าอยู่ต่อหน้าเขา
จู่ๆ มู่เจิ้นกั๋วก็โกรธโดยไม่คาดคิด มู่อี๋เสวี่ยตัวสั่นด้วยความกลัว
นางไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าบิดาของนางจะปฏิบัติกับนางเช่นนี้ เขาโหดร้ายกับนางมาก แต่...เมื่อสายตาของมู่อี๋เสวี่ยมองไปที่กองกระดาษที่ยุ่งเหยิงบนพื้น...
กองกระดาษนี้กุ่ยเม่ยเป็ผู้รวบรวมมา มันมีข้อกล่าวหาทั้งหมดที่มู่อี๋เสวี่ยเคยรังแกมู่จื่อหลิงตลอดสิบปีที่ผ่านมา
ั้แ่วัยเด็กจนถึงวัยสาว มู่อี๋เสวี่ยได้ทำร้ายและรังแกมู่จื่อหลิง มีทั้งการกลั่นแกล้งเล็กน้อยไปจนการทำร้ายใหญ่โต
ยามมองดูแวบแรกอาการาเ็และการกลั่นแกล้งเหล่านี้ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่มันกลับค่อยๆ รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ โหดร้ายขึ้นทีละนิด สะสมจนทิ้งร่องรอยความโเี้ไร้ปรานีเอาไว้ ชีวิตของมู่จื่อหลิงใน่หลายปีที่ผ่านมาถูกทรมานจนเกินกว่าจะประเมินได้
เมื่อเห็นสิ่งนี้มันทำให้หัวใจของมู่เจิ้นกั๋วบีบรัดแน่น มันทำให้เขารู้สึกผิดต่อบุตรสาวของตนอย่างมู่จื่อหลิงมาก มันเจ็บมากขึ้นเรื่อยๆ
มองดูกระดาษแต่ละแผ่นที่เขียนด้วยถ้อยคำที่หนักแน่น มู่เจิ้นกั๋วชี้ไปที่มันด้วยใบหน้าเ็า เขาชี้ไปที่กระดาษบนพื้นแล้วพูดอย่างตรงไปตรงมา “เ้าดู หลายปีมานี้เ้าทำร้ายหลิงเอ๋อร์น้อยหรือ? เ้ายังมีสิ่งใดที่จะมาร้องขอต่อหน้าพ่ออีก?”
นิ้วที่สั่นเทาของมู่อี๋เสวี่ยหยิบกระดาษขึ้นมาจากพื้น
เพียงแค่ชำเลืองมองเพียงครั้งเดียว สมองของมู่อี๋เสวี่ยก็ะเิ นางหยิบขึ้นมาหนึ่งแผ่นอย่างไม่เชื่อสายตา
แผ่นหนึ่ง ไปยังอีกแผ่น...
ยิ่งมอง ใบหน้าของมู่อี๋เสวี่ยก็ยิ่งน่าเกลียดมากขึ้นเท่านั้น
นี่ สิ่งเหล่านี้เขียนเกี่ยวกับการกลั่นแกล้งรังแกมู่จื่อหลิงของนางในอดีตไว้ทั้งหมด
มีหลายสิ่งหลายอย่างทั้งเล็กและใหญ่จนนับไม่ถ้วน บางอย่างนางถึงกับลืมเลือนมันไปเสียแล้ว แต่ตรงนี้สิ่งเหล่านี้ได้ถูกระบุไว้อย่างชัดเจนและตรงไปตรงมา
เื่เล็กน้อย...คือการที่นางให้บ่าวรับใช้จับบรรดางู หนอน หนู และมด มาเพื่อแกล้งมู่จื่อหลิง ส่วนเื่ใหญ่...คือนางงดอาหารของมู่จื่อหลิง ทำให้นางต้องอดอาหารเป็เวลาติดต่อกันหลายวัน ยุยงให้คนอื่นหัวเราะและกลั่นแกล้งมู่จื่อหลิง...ครั้งล่าสุดถึงกับทำให้มู่จื่อหลิงตกจากหลังม้า มีแม้กระทั่งการพยายามสังหารนาง
ใน่หลายปีที่ผ่านมา นางสนุกกับการเล่นกับมู่จื่อหลิงผู้โง่เขลา ทำให้มู่จื่อหลิงยากที่จะมีชีวิตที่สงบสุข
ตอนนี้สิ่งเหล่านี้...เป็ไปได้อย่างไร? ดวงตาของมู่อี๋เสวี่ยเบิกกว้าง นางไม่อยากจะเชื่อเลย
เมื่อเห็นใบหน้าที่ซีดเซียวและประหลาดใจของมู่อี๋เสวี่ยในยามนี้ มู่เจิ้นกั๋วก็รู้แล้ว ว่าการทำร้ายเ่าั้ทั้งหมดเป็นางที่ทำมันกับมู่จื่อหลิงจริงๆ
ในยามนี้มู่เจิ้นกั๋วมีอาการปวดหัว ทุกครอบครัวย่อมมีพระสูตรที่อ่านยาก [1]
ในท้ายที่สุดก็ยังต้องโทษเขา โทษเขาที่เป็พ่อที่ไม่ทำหน้าที่ในฐานะพ่อให้ดี บางทีหากในยามนั้นเขาไม่เห็นด้วยกับหลี่เอินที่จะแต่งงานกับไป๋ซู่ซู่ คงจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นในยามนี้
มีหลายวิธีในการแสดงความขอบคุณ แต่พวกเขากลับเลือกวิธีที่โง่ที่สุด
นี่ไม่ใช่การตอบแทน แต่เป็การทรมานซึ่งกันและกัน!
ในเวลาเดียวกัน พวกเขาทรมานผู้อื่นอีกมากมาย...ผิดก้าวเดียว ก้าวต่อไปล้วนผิดพลาดจริงๆ
“อันตรายที่เ้าทำกับหลิงเอ๋อร์ใน่หลายปีที่ผ่านมานั้นมากเกินกว่าที่เ้ากำลังทุกข์ทรมานอยู่ในยามนี้ เ้าควรรู้อยู่แก่ใจของเ้าเองว่าอะไรสำคัญกว่ากัน” มู่เจิ้นกั๋วขมวดคิ้วด้วยอาการปวดหัว
แม้ว่ามู่อี๋เสวี่ยจะไม่ใช่บุตรสาวแท้ๆ ของเขา แต่ความรักที่เขามีต่อมู่อี๋เสวี่ยั้แ่วัยเด็กนั้นกลับมีมากกว่ามู่จื่อหลิงและบรรดาพี่น้องของนางมาก
ยิ่งไปกว่านั้น เขาคิดไว้แล้วว่าจะให้โอกาสบุตรสาวผู้นี้ยอมรับความผิดพลาดของนางและกลับใจ แต่ใครจะไปรู้ว่านางจะไม่ยอมสำนึกแม้แต่น้อยหลังจากถูกกล่าวตำหนิซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ไม่ ไม่ใช่ ท่านพ่อ ข้าไม่ได้...” มู่อี๋เสวี่ยคว้าชายชุดของมู่เจิ้นกั๋วพร้อมทั้งส่ายหัวอย่างสิ้นหวังราวกับคนบ้า
มู่เจิ้นกั๋วมองไปที่มู่อี๋เสวี่ยด้วยหัวใจที่หนาวเหน็บ เหตุใดบุตรสาวผู้นี้ถึงทำเื่ยุ่งเหยิงเช่นนี้ ทั้งที่ในใจของนางย่อมรู้ทุกสิ่งดีกว่าผู้ใด
ไม่ต้องพูดถึงว่าเื่ที่เกิดนี้เป็มู่จื่อหลิงที่ลงมือทำต่อมู่อี๋เสวี่ยหรือไม่ แม้ว่านางจะทำจริง พ่อผู้ไร้ความสามารถอย่างเขาก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะตั้งคำถามและกล่าวหานาง!
มู่อี๋เสวี่ยส่ายหัวอย่างควบคุมไม่ได้ น้ำตาไหลอาบใบหน้า เืและน้ำตาปนบนใบหน้าที่ซีดเซียวของนาง นางทำอะไรไม่ถูก ทั้งรำคาญและไม่พอใจ!
ใบหน้าไร้รอยยิ้มของมู่เจิ้นกั๋วเต็มไปด้วยความผันผวนและความเดียวดายที่ไม่อาจลบเลือนได้ด้วยกาลเวลา เขาพูดด้วยน้ำเสียงอย่างคนหมดหนทาง “เสวี่ยเอ๋อร์ ความเสียหายที่เ้าทำต่อหลิงเอ๋อร์ใน่หลายปีที่ผ่านมา พ่อจะไม่ตามเอาผิดมันอีก เ้ากลับไปเสียเถอะ ดูแลรักษาตนเองให้ดี”
ไม่ตามเอาผิด? เขาไม่ตามเอาผิดหรือ? มู่อี๋เสวี่ยค่อยๆ ปล่อยมือที่จับชุดของมู่เจิ้นกั๋วไว้แน่น ทรุดตัวลงกับพื้นอย่างน่าสลดใจ
“ฮ่าฮ่า โง่ ช่างโง่เขลาเสียนี่กระไร…ฮ่าฮ่า…” ร้องไห้ไปร้องไห้มา จู่ๆ มู่อี๋เสวี่ยก็หัวเราะออกมา
น้ำตาอันขมขื่นไม่มีที่สิ้นสุดร่วงหล่นอย่างเงียบๆ มันส่งตรงมาจากความอ้างว้างและโศกเศร้าที่มีอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจ
เป็รอยยิ้มที่ไปไม่ถึงดวงตา [2] ด้วยนางจำต้องหักห้ามใจตนเองอย่างหนัก
ใช่ นางโง่มาก เหตุใดนางถึงมาขอให้มู่เจิ้นกั๋วช่วยเรียกร้องแทนนาง? ในเมื่อมู่จื่อหลิงหญิงเลวผู้นั้นเป็บุตรสาวแท้ๆ ของเขา
นางมู่อี๋เสวี่ยจะนับเป็สิ่งใดได้? นับเป็อะไร? แม้แต่มารดาของนางเองก็ยังเพิกเฉยต่อนาง ‘บิดา’ ผู้นี้จะเรียกร้องแทนนางได้อย่างไร?
จะเป็ไปได้อย่างไร? มู่เจิ้นกั๋วจะเพิกเฉยต่อบุตรสาวแท้ๆ ของตนได้อย่างไร จะเอาผิดกับนางได้อย่างไร?
มันช่างน่าขันเสียจริง
มุมปากแดงก่ำและน่าสะพรึงกลัวของมู่อี๋เสวี่ยมีแววของการเยาะเย้ย มันเป็รอยยิ้มที่น่าสังเวชและน่าเศร้า ลึกลงไปในดวงตานั้นเต็มไปด้วยความเกลียดชังที่ไม่สามารถลบล้างได้
เมื่อมองไปที่มู่อี๋เสวี่ยซึ่งนั่งทรุดกายอยู่บนพื้น มู่เจิ้นกั๋วก็ขมวดคิ้วด้วยท่าทางที่ซับซ้อน “ป้าเยวี่ยไปเตรียมรถม้ามา พาคุณหนูรองกลับไป”
มู่เจิ้นกั๋วเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม สั่งความกับป้าเยวี่ยที่อยู่ข้างนอก
“คุณหนูรอง...” หลังจากที่ป้าเยวี่ยเข้ามา นางกำลังจะช่วยประคองมู่อี๋เสวี่ยขึ้นจากพื้น
“ออกไปให้พ้น! อย่ามาแตะต้องตัวข้า!” มู่อี๋เสวี่ยกลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง ปัดมือของป้าเยวี่ยออกอย่างไม่พอใจ โงนเงนลุกขึ้นจากพื้น ก่อนจะเดินล้มลุกคลุกคลานออกไป
ป้าเยวี่ยกำลังจะตามนางออกไป มองตามร่างที่กำลังหนี มู่เจิ้นกั๋วถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “ช่างมันเถอะ ปล่อยนางไป”
-
ใกล้ค่ำแล้ว
หลังจากวุ่นวายอยู่ในสวนสมุนไพรที่ลานหลังจวนมาทั้งวัน มู่จื่อหลิงก็ทุบร่างกายที่ปวดเมื่อยของนางเบาๆ ในยามนี้นางกำลังลากร่างกายที่อ่อนล้าของนาง เตรียมจะเข้าสู่ตำหนักอวี่หานเพื่อพักผ่อน
ในเวลานี้ ฮ่องเต้เหวินอิ้นได้ออกพระราชโองการมาใน่เวลาที่เหมาะสมเพื่อให้นางเข้าวังในเช้าตรู่ของวันพรุ่งนี้
“ถึงเวลาแล้ว ข้าหยุดมันไม่ได้จริงๆ!” มู่จื่อหลิงพึมพำกับตนเองขณะที่มองดูพระราชโองการจากฮ่องเต้ที่เพิ่งได้รับมาจากขันทีด้วยความรู้สึกราวกับน้ำตาจะไหล
ขันทีชราผู้มาแจ้งพระราชโองการไม่เข้าใจความหมายของมู่จื่อหลิง เขาเตือนอย่างใจดีว่า “วันพรุ่งนี้ขอหวางเฟยโปรดมาตรงเวลา อย่าให้ฮ่องเต้ต้องรอเป็เวลานาน ข้าน้อยขอลา”
มู่จื่อหลิงมีใบหน้าที่ขมขื่น นางยกมือขึ้นโบก ปล่อยให้ขันทีชราจากไป
เมื่อนึกย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพราะหลงเซี่ยวหนาน นึกถึงพลังอันยิ่งใหญ่และน่าเกรงขามของฮ่องเต้เหวินอิ้น ที่จับนางเข้าคุกหลวงโดยไม่พูดอะไรสักคำ มู่จื่อหลิงรู้สึกว่านางหนึ่งหัวสองใหญ่อย่างแท้จริง
แม้ว่าพระราชโองการของฮ่องเต้จะไม่ได้ระบุอย่างชัดเจนว่าฮ่องเต้เหวินอิ้นทรงเรียกหานางด้วยเหตุใด แต่ยามนี้ไทเฮาเฒ่าในวังกำลังกระตือรือร้นที่จะลงโทษนางสำหรับความผิดของนาง ไม่ว่าผู้ใดก็เดาได้
กล่าวได้ว่าผู้ที่เก่งกาจและรับมือยากที่สุดในวังหลวง...ไม่ใช่ฮองเฮาหรือไทเฮาแต่เป็ฮ่องเต้!
คำสั่งของไทเฮานั้นง่ายต่อการสกัดกั้น แต่พระราชโองการของฮ่องเต้ที่อยู่เหนือกระดานผู้ใดจะกล้าขัดขวางอย่างเปิดเผยได้เล่า?
ผ่านไปครู่หนึ่งมู่จื่อหลิงคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก ด้วยหลงเซี่ยวอวี่สกัดกั้นรับสั่งของไทเฮา เป็ไปไม่ได้ที่จะคาดไม่ถึง ว่าไทเฮาไม่พอพระทัย พระนางย่อมต้องไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ เมื่อฮ่องเต้ปรากฏตัว เื่ต่างๆ ก็จะยิ่งซับซ้อนมากขึ้น
แม้สิ่งที่นางออกไปดิ้นรนกับเื่ต่างๆ จะสามารถทำได้ใน่เช้า แต่มา่บ่ายมู่จื่อหลิงกลับต้องมานั่งเกาผมของตนอย่างแรงด้วยความขมขื่น
เ้ามารร้ายหลงเซี่ยวอวี่ผู้นั้น ่นี้ไม่รู้ว่าหายไปอยู่ที่ใด? พรุ่งนี้ควรทำอย่างไรดี?
หากเป็ไทเฮา นางยังมีความมั่นใจว่าสามารถต่อกรได้ แต่หากเป็ฮ่องเต้เหวินอิ้น...
จากความทรงจำของนาง ฮ่องเต้เหวินอิ้นเป็คนประเภทที่ไม่เปิดโอกาสให้ผู้อื่นโต้แย้งเลย กล่าวว่าถูกก็คือถูก กล่าวว่าผิดก็คือผิด
ไม่ ควรจะกล่าวว่าตราบเท่าที่ฮ่องเต้เหวินอิ้นเป็ผู้กำหนด ไม่ว่าถูกหรือผิด เขาจะจัดการกับมันอย่างสมบูรณ์ เด็ดขาด ไม่ยืดเยื้อ
มู่จื่อหลิงเงยหน้าขึ้นช้าๆ มองดูดวงจันทร์เต็มดวงกลมโตที่ล่องลอยอยู่บนท้องฟ้าห่างไกลอย่างเศร้าสร้อยเล็กน้อย
การเข้าวังในวันพรุ่งนี้จะเกิดความวุ่นวายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนหรือไม่?
หรือจะเป็เช่นเดิมที่ยังไม่ทันได้ตอบโต้ นางก็ต้องโดนจับขังอีกครั้ง?
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] ทุกครอบครัวย่อมมีพระสูตรที่อ่านยาก (家家有本难念的经) เป็คำอุปมา มีความหมายว่า ทุกครอบครัวล้วนมีปัญหาของตัวเอง หรือแต่ละครอบครัวมีปัญหาที่ไม่ง่ายที่จะแก้ไข ส่วนมากใช้ในการบรรยายถึงความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนและขัดแย้งกันในครอบครัว
[2] รอยยิ้มที่ไปไม่ถึงดวงตา (笑意不达眼底) เป็วลี มีความหมายว่า ยิ้มปลอมๆ ไม่จริงใจ หรือรอยยิ้มที่มีความเศร้าแฝงอยู่