ชายชราเข้าไปจับมือเด็กหนุ่ม แต่ก็ต้องใกับท่าทีของอีกฝ่าย
ั์ตาดำขลับของเด็กหนุ่มไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ ถึงแม้จะเป็ใบหน้าของลู่เต้า แต่ชายชราก็ยังอดเอ่ยปากถามไม่ได้ “เ้า... เ้าเป็ใครกันแน่ ลู่เต้าหลานข้าเล่า”
ตามสัญญาที่ทั้งสองตกลงกันในถ้ำน้ำแข็ง ลู่เต้ายินยอมมอบกายเนื้อของตนให้กับไป๋เสียเพื่อช่วยเหลือชาวบ้าน
เมื่อเห็นชาวบ้านต่างลุกขึ้นยืนอย่างปลอดภัยไร้เื่ราว นั่นคือไป๋เสียทำตามสัญญาเสร็จสิ้นแล้ว ร่างกายของลู่เต้านี้ก็ควรจะเป็ของเขา
แต่ทั้งหมดก็เป็เพียงแค่ ‘ควร’ เท่านั้น
เมื่อได้ยินเสียงของลู่คง สติของลู่เต้าที่แทบจะเลือนหายไปก็ค่อยๆ ฟื้นคืนมา ไป๋เสียพลันใจสั่น ทุกครั้งที่หัวใจสูบฉีด สติของลู่เต้าก็ยิ่งฟื้นคืนมา ในขณะเดียวกันพลังของไป๋เสียก็ค่อยๆ อ่อนแอลง
“อะไรกัน!” ไป๋เสียใรีบหลับตาเพ่งมองเข้าไปในร่างกายตน ก็พบว่าิญญาของลู่เต้ากำลังดูดซับพลังของเขา แม้แต่เปลวเพลิงสืบสานแห่งมารที่ซ่อนลึกอยู่ในจิติญญาก็ถูกดึงหลอมรวมเป็หนึ่งเดียวกับิญญาของลู่เต้าด้วย
เมื่อหลอมรวมกับลู่เต้าแล้ว แสงสีครามของเปลวเพลิงสืบสานก็มอดดับ เหลือเพียงเมล็ดพันธุ์ขนาดใหญ่ตกลงสู่ห้วงิญญาอันว่างเปล่าของลู่เต้า
หากไม่ได้เห็นกับตา ไป๋เสียคงคิดว่ามีคนกำลังล้อตนเล่นเป็แน่ ความเป็มาของเปลวเพลิงสืบสานนั้น คงไม่มีใครรู้ดีไปกว่าเขาแล้ว
เล่ากันว่าเมื่อพันกว่าปีก่อน นี่คือไฟที่บรรพบุรุษวิถีมารทิ้งไว้กับให้ทายาท ขอเพียงแค่ได้รับเปลวเพลิงนี้และผ่านการทดสอบ ก็จะได้รับพลังบางส่วนของบรรพบุรุษวิถีมาร แม้จะเป็เพียงพลังที่ไม่สมบูรณ์ แต่ในโลกที่พลังิญญากำลังจะหมดสิ้นลงเช่นนี้ ก็เพียงพอให้ผู้คนหวาดกลัวแล้ว
ไป๋เสียในอดีตก็เหมือนกับลู่เต้าที่ไม่อาจทะลวงจุดชีพจรได้ แต่เขาก็ไม่คิดยอมแพ้ คอยเสาะหาวิธีปลุกพลังอย่างลำบากยากเข็ญเช่นเดียวกับลู่คง
จนกระทั่งไป๋เสียไปได้เปลวเพลิงสืบสานจากศพในซากปรักหักพังรกร้างในแคว้นทักษิณชาดโดยบังเอิญ เขาจึงใช้พลังวิถีมารเปิดจุดชีพจร ก้าวสู่เส้นทางฝึกตน และสุดท้ายก็ถูกผนึกไว้ในเขตต้องห้ามของเขายักษา
สำหรับไป๋เสียแล้ว เปลวไฟสีครามคือจุดเริ่มต้นของทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีใครรู้ซึ้งถึงความสำคัญและความหมายของเปลวเพลิงสืบสานได้ดีไปกว่าเขาอีกแล้ว
แม้เขาจะเก็บรักษาเปลวไฟนี้กว่าสิบปี แต่ก็เพิ่งรู้ว่าภายในเปลวไฟมีเมล็ดพันธุ์ลึกลับซ่อนอยู่
พลังและสติสัมปชัญญะของไป๋เสียค่อยๆ ถูกลู่เต้ากดข่ม เมื่อสติของเขาถูกิญญาอันทรงพลังบีบบังคับ ไป๋เสียก็ร้องะโอย่างขุ่นเคือง “ท่านเลือกเด็กน้อยผู้นี้งั้นหรือ…ท่านบรรพบุรุษ...”
ทันทีที่สติของไป๋เสียดับวูบไป ลู่เต้าก็กลับมาควบคุมร่างกายได้อีกครั้งราวกับเพิ่งตื่นจากความฝัน เมื่อเขาเห็นว่าชายชราปลอดภัยก็โผเข้ากอดอีกฝ่ายด้วยความดีใจ
“ท่านปู่!”
ก่อนหน้านี้ยังรู้สึกแปลกประหลาดอยู่หยกๆ แต่จู่ๆ วินาทีต่อมา ลู่เต้าคนเดิมก็กลับมาแล้ว ลู่คงเองก็สับสนไม่น้อยเช่นกัน
“อาเต้า... เกิดอะไรขึ้นกับเ้า” ลู่คงถามด้วยความเป็ห่วง
แท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นนั้น ลู่เต้าไม่รู้เื่เลยทั้งสิ้น ภาพสุดท้ายที่เขาจำได้คือดึงไม้สะกดมารเพื่อปลดปล่อยไป๋เสียในเขตต้องห้าม จากนั้นสติก็ดับวูบไป
ในภวังค์ เขารู้สึกราวกับว่าตนลอยอยู่บนอากาศ เบื้องล่างเป็แม่น้ำแห่งกาลเวลาที่ส่องประกายระยิบระยับ
เขาไม่รู้ว่าแม่น้ำแห่งกาลเวลานี้ไหลมาจากหนแห่งใด และไหลต่อไปที่ใดก็ไม่อาจล่วงรู้ได้
ลู่เต้าเห็นชายผมยาวสวมชุดคลุมสีดำผู้หนึ่งยืนบรรเลงพิณอยู่ริมแม่น้ำแห่งกาลเวลา เสียงพิณไพเราะเปล่งออกมาจากปลายนิ้วเรียวยาวของเขา
“เ้ามาที่นี่ตอนนี้ยังเร็วเกินไป กลับไปก่อนเถอะ” เมื่อชายผู้นั้นเห็นลู่เต้า จึงดีดสายพิณเบาๆ แล้วน้ำสีทองในแม่น้ำพลันบ้าคลั่ง น้ำเสียงทุ้มต่ำดังก้อง จากนั้นลู่เต้ารู้สึกตัวตื่นขึ้นมาด้วยแรงกระแทกอย่างรุนแรง
ขณะที่เขากำลังจะเล่าเื่ราวทั้งหมดให้ปู่ฟัง ไป๋เสียก็เข้ายึดครองร่างของลู่เต้าแล้วพุ่งไปที่เขายักษาทันที
ชายชราที่อ่อนแอะโไล่หลัง “อาเต้า... อย่าไปนะ...”
บนทางขึ้นเขา ไป๋เสียควบคุมร่างกายลู่เต้าให้วิ่งลึกเข้าไปในเขายักษา ลู่เต้าบ่นในใจ “เ้ากำลังทำอะไร ปล่อยข้ากลับไปเดี๋ยวนี้!”
“เปลวเพลิงสืบสานเลือกเ้าแล้ว” ไป๋เสียวิ่งพลางเอ่ยตอบ “ั้แ่บัดนี้เป็ต้นไป ข้าไม่เพียงแต่ไม่สามารถยึดครองร่างกายเ้าได้แล้ว แต่ยังต้องปกป้องเ้า… จนกว่าจะทำภารกิจของพวกเราจะสำเร็จ”
“ภารกิจ?” ลู่เต้าเอ่ยทวน “พวกเรา?”
ไป๋เสียพาลู่เต้าลึกเข้าไปในเขายักษา ซึ่งที่แม้แต่นายพรานเฒ่าก็ไม่กล้าเสี่ยงเข้าไป สัตว์มากมายล้มตายกลายเป็โครงกระดูก ลมพิษที่เกิดจากการเน่าเปื่อยของซากศพทำให้ที่นี่ปกคลุมไปด้วยหมอกพิษตลอดทั้งปี
ไป๋เสียยืนอยู่บนก้อนหินใหญ่ และมองลงไปในหุบเขาลึกที่ปกคลุมไปด้วยหมอกพิษ เมื่อมองดีๆ ก็จะเห็นว่าบนผนังหินมีประตูทองสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่อยู่สองบาน ด้วยกาลเวลาที่ผ่านไปเนิ่นนาน บานประตูจึงเต็มไปด้วยสนิมสีเขียว
“ให้ตาย... ด้วยพลังของเ้าแล้วคงเข้าไปไม่ได้หรอก” ไป๋เสียมองประตูทองสัมฤทธิ์ที่โผล่ในหมอกพิษอย่างเลือนราง แล้วพูดด้วยความหมดหวัง
“ที่เ้าพูดถึงภารกิจคืออะไร แล้วประตูบานนั้นด้วย” ในหัวลู่เต้าเต็มไปด้วยคำถามมากมาย
ไป๋เสียถอนหายใจอย่างจนใจ ก่อนจะนั่งไขว่ห้างบนก้อนหินใหญ่ แล้วเริ่มอธิบายให้ลู่เต้าฟัง
เมื่อพันปีก่อน จู่ๆ พลังิญญาบนโลกก็เหือดหายไป ในเวลาเดียวกัน เทพาทั้งเจ็ดต่างฉีกผ่านมิติมายังโลก สังหารสิ่งมีชีวิตทั้งมวล บรรพบุรุษวิถีมารจึงต้องต่อสู้กับเทพาทั้งเจ็ดเพียงลำพัง ต้องผนึกพวกมันเอาไว้ และยืดเวลาแห่งหายนะออกไป
หลังจากต่อสู้กับเทพาทั้งเจ็ด บรรพบุรุษวิถีมารก็ได้รับาเ็สาหัสจนสิ้นใจ ก่อนตายเขาได้หลอมรวมแก่นพลังของตนเป็เปลวเพลิงสืบสาน สืบทอดให้กับศิษย์เอกเพียงหนึ่งเดียวของเขาอันมีนามว่า กูซู พร้อมทั้งสั่งให้เขาสืบเสาะหาวิธีกำจัดเทพาให้สิ้นซาก
เป็เวลากว่าพันปีที่ศิษย์วิถีมารรุ่นแล้วรุ่นเล่าได้ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับเทพาทั้งเจ็ด ทั้งหมดได้ถูกเก็บไว้ในหอคัมภีร์ต้องห้าม หรือก็คือหลังประตูทองสัมฤทธิ์สองบานที่อยู่ตรงหน้านั่นเอง
“ถ้าพวกเราเข้าไปหาวิธีจัดการเทพาได้ ข้ากับเ้าก็เป็อิสระใช่หรือไม่” ลู่เต้าถาม
“พูดง่ายแต่ทำยาก” ไป๋เสียเด็ดหญ้าโยนลงไปด้านล่าง หญ้าที่ร่วงหล่นลงไป เพียงแค่ัักับหมอกพิษสีเหลือง ก็เหี่ยวเฉากลายเป็ขี้เถ้าทันที
ลู่เต้ามองขี้เถ้าที่ปลิวอยู่ในอากาศ แล้วพูดว่า “คงต้องใช้เคล็ดวิชาพิเศษ หรือไม่ก็ศัสตราวุธิญญา ถึงจะต้านทานหมอกพิษเข้าไปในหอคัมภีร์ต้องห้ามได้”
ไป๋เสียพูดอย่างไม่ไว้หน้า “เ้าอ่อนแอเกินไป อย่าว่าแต่เทพาเลย แค่เป็สัตว์อสูรที่แข็งแกร่งกว่านี้สักหน่อย เ้าก็คงรับมือไม่ได้แล้ว”
“ทำให้เ้าผิดหวังแล้วล่ะสิ” ลู่เต้าพูดอย่างจนใจ “จนถึงตอนนี้ข้ายังทะลวงจุดชีพจรไม่ได้เลย เกรงว่าจะทำภารกิจที่เ้าพูดไม่ได้หรอก”
ไป๋เสียหัวเราะลั่น ก่อนจะพูดต่อ “ตอนที่ข้าสิงร่างเ้า ข้าได้เปิดจุดชีพจรในร่างเ้าให้แล้ว ตอนนี้เ้าน่าจะรู้สึกได้ถึงพลังิญญาแล้วซี”
ตอนแรกลู่เต้าไม่ค่อยเชื่อ แต่ก็ทำตามคำแนะนำของไป๋เสีย เขาหลับตาลงแล้วตั้งใจัั แล้วก็รู้สึกได้ถึงความมหัศจรรย์บนิั
“จริงด้วย!” ในใจลู่เต้าลิงโลด แม้จะรู้สึกเพียงเล็กน้อย แต่ตอนนี้เขาก็ััได้ถึงพลังิญญาในอากาศแล้ว
“หึ ถึงจะไร้พร์ แต่ร่างกายก็แข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปไม่น้อย” ไป๋เสียสำรวจร่างกายของลู่เต้าอย่างรวดเร็ว ก่อนจะประเมินออกมา
ในเวลานี้ ลู่เต้ายังคงหลงใหลไปกับประสบการณ์ใหม่ หาได้ยินสิ่งที่ไป๋เสียพูดไม่
แต่ก็ไม่อาจโทษเขาได้ เมื่อคนตาบอดมาั้แ่เกิดสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ก็คงมีปฏิกิริยาเช่นเดียวกับลู่เต้า
สติของลู่เต้าไล่ไปในร่างกาย สุดท้ายร่างจิตของเขาก็มาถึงดินแดนแห้งแล้ง
“ที่นี่คือห้วงปราณ” ร่างจิตของไป๋เสียปรากฏตัวในชุดสีขาวสะอาด “ปกติแล้ว ผู้ฝึกตนจะนำพลังิญญาในอาหารและอากาศเข้าสู่ร่างกาย จากนั้นจึงแปรเปลี่ยนเป็ของเหลวเก็บไว้ในห้วงปราณ ยิ่งมีพลังิญญามากเท่าไร ก็ยิ่งใช้เคล็ดวิชาหรือศัสตราวุธิญญาได้มากขึ้นเท่านั้น จำไว้ว่าหากห้วงปราณแห้งเหือด ผู้ฝึกตนจะมิอาจควบคุมสิ่งใดที่ต้องใช้พลังิญญาขับเคลื่อนได้”
“ในห้วงปราณของข้าไม่มีอะไรเลย” ขณะที่ลู่เต้าคิดเช่นนั้น เท้าของเขาก็ไปกระทบกับเมล็ดพันธุ์ลึกลับที่แปรเปลี่ยนมาจากเปลวเพลิงสืบสาน
ลู่เต้าหยิบเมล็ดพันธุ์ขึ้นมาดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น เมล็ดพันธุ์มีขนาดประมาณฝ่ามือ เปลือกนอกสีดำวาว แม้แต่ไป๋เสียก็จำไม่ได้ว่าเป็เมล็ดของพืชชนิดใด ทั้งสองลงความเห็นว่าหากเมล็ดพันธุ์นี้งอกเงยขึ้นมา จะต้องมีขนาดใหญ่มากอย่างแน่นอน
“เปลวเพลิง... เปลวเพลิง...” ไป๋เสียพึมพำ “ตอนนี้เปลวเพลิงสืบสานมอดดับลงแล้ว ถึงเวลาที่ต้องหว่านเมล็ดแล้วงั้นหรือ”
เขาลอบสังเกตลู่เต้า เด็กน้อยผู้นี้ที่เพิ่งจะััถึงพลังิญญาได้แท้ๆ แต่กลับถูกบรรพบุรุษวิถีมารเลือกเป็ผู้สืบทอด
เขาไม่ยอมรับ
ทำไมคนที่ได้รับการยกย่องว่ามีพร์สูงที่สุดในรอบร้อยปีอย่างเขา ถึงได้พ่ายแพ้ให้กับเด็กน้อยอายุสิบเจ็ดที่ยังไม่ทะลวงจุดชีพจรด้วยซ้ำเล่า
“ท่านบรรพบุรุษ... ข้าขอพิสูจน์ว่าการตัดสินใจของท่านถูกต้องหรือไม่” ไป๋เสียจ้องลู่เต้าด้วยสายตาที่เยือกเย็นลง “หากข้าเห็นว่าเขาไม่เหมาะสมกับภารกิจนี้ ก็อย่าได้โทษข้า...”
“ที่ต้องแย่งชิง”
