หมี่หลันเยว่ได้ยินหลิวเสี่ยวหว่านพูดก็รู้ทันทีว่าโรงงานสับเปลี่ยนสินค้าเสียแล้ว ตอนที่สั่งซื้อ เธอได้ไปดูสินค้าด้วยตาตัวเองถึงโรงงาน แม้จะไม่ใช่คนทำเสื้อผ้าโดยตรง แต่ด้วยประสบการณ์ที่คลุกคลีกับเครื่องจักรมานานปี ก็พอจะแยกแยะเครื่องใหม่เครื่องเก่าออกได้ ไม่ผิดพลาดแน่นอน
"ท่าทางโรงงานนี้จะไม่ซื่อสัตย์เสียแล้ว ไปโรงงานพวกเขากันเลย!"
หมี่หลันเยว่โบกมือเล็กๆ เตรียมพาคนที่ไปโรงงาน แต่กลับถูกคนที่มาส่งของขวางไว้ ไม่ยอมให้เดินออกไปง่ายๆ
"พวกคุณไม่ต้องไปหรอกครับ เ้าของโรงงานผมมีเส้นสายใหญ่โต ในเมื่อส่งของถึงหน้าประตูบ้านแล้ว ผมว่าพวกคุณรับๆ ไปให้มันจบเื่จบราวดีกว่า อย่าให้เื่มันบานปลายไป มันจะไม่เป็ผลดีกับพวกคุณ"
เมื่อกี้นี้หลิวเสี่ยวหว่านพูดอะไร เขาก็ได้ยินหมดแล้ว รู้เื่ราวคร่าวๆ น่าจะเป็การเอาสินค้าเก่ามาส่งให้ลูกค้าที่สั่งสินค้าใหม่ แต่เื่แบบนี้ก็ไม่ใช่ครั้งแรก เพียงแต่ครั้งก่อนๆ จำนวนของที่สับเปลี่ยนไม่มากเท่าครั้งนี้ ดูเหมือนว่าเ้านายจะเห็นว่าลูกค้ารายนี้หัวอ่อน เลยขนสินค้าเก่ามาเททิ้งทีเดียว แบบนี้ก็แก้ปัญหาของค้างคลังสินค้าได้หมดจด
สินค้าพวกนี้ค้างในคลังสินค้ามาหลายปีแล้ว สภาพก็ไม่ค่อยได้มาตรฐาน แถมรูปแบบก็ล้าสมัย เรียกได้ว่าแทบใช้การไม่ได้ ถ้าเอาไปเย็บเสื้อผ้าใช้ในบ้านก็ยังพอถูไถ แต่ถ้าเป็เครื่องจักรของโรงงาน ก็เข้าขั้นหลอกลวงกันชัดๆ
"โอ้โฮ เ้านายพวกคุณนี่เก่งจริงนะ รู้ทั้งรู้ว่าสินค้าพวกนี้เป็ของเน่าๆ ยังกล้าส่งมาให้ถึงหน้าประตู แถมยังกล้าให้พวกคุณที่มาส่งของข่มขู่ลูกค้าแบบนี้ ท่าทางจะเป็เ้าพ่อในปักกิ่งแล้วมั้ง"
คนที่พูดจาแบบนี้ได้ในปักกิ่ง ก็ต้องมีเื้ัพอสมควร เจิ้งซวี่เหยาถึงกับเปิดหูเปิดตา แม้แต่เขาเองก็ยังไม่กล้าทำเื่กดขี่ลูกค้าอย่างเปิดเผยขนาดนี้ อยากจะรู้จริงๆ ว่าใครกันที่กล้าทำตัวเป็อันธพาลในเมืองหลวงได้ถึงเพียงนี้
ปักกิ่งเป็เมืองหลวง ต่อให้เป็คนใหญ่คนโต ก็ไม่มีใครกล้าทำเื่โจ่งแจ้งขนาดนี้ คนที่ตำแหน่งสูงๆ ยิ่งต้องระมัดระวังในการทำอะไรต่างๆ กลัวว่าจะเสียชื่อเสียงในหมู่ประชาชน เหมือนกับเ้าของบ้านสี่ประสานเดิม ถึงจะมียศตำแหน่งเป็ถึงระดับรองรัฐมนตรีแล้ว ก็ยังคงถ่อมตัวและระมัดระวัง ไม่แก่งแย่งผลประโยชน์กับประชาชน กลัวจะเสียความเชื่อถือ
ดังนั้นเจิ้งซวี่เหยาจึงคาดการณ์ว่าคนพวกนี้ ถ้าไม่ใช่พวกหัวหมอน้อยที่ถือหาง ก็คงเป็ญาติพี่น้องของข้าราชการใหญ่ที่เอาหนังเสือมาขู่ ทำเป็ใหญ่โต คนพวกนี้พอถูกเปิดโปงก็จะกลายเป็แค่เสือกระดาษ ไม่ต้องไปใส่ใจ
"น้องชาย อย่าพูดจาแบบนั้นเลย ดูๆ แล้วพวกคุณก็ยังหนุ่มยังแน่น ประสบการณ์ยังน้อยนัก ในสังคมนี้ คนที่มีอำนาจวาสนาบารมีมีถมไป พวกคุณไปยุ่งกับคนที่ไม่ควรรู้จักเข้า อย่าใจร้อนทำอะไรให้ต้องมาเสียใจภายหลังเลย"
คนที่มาส่งของขู่ซ้ำอีกครั้ง คนตรงหน้าแม้จะมีหลายคน แต่เขาก็ไม่ได้กลัว เพราะแต่ละคนยังเด็กเกินไป ดูยังไงก็ไม่เหมือนพวกเจนจัดในสังคม มีแค่คนที่อายุมากหน่อยที่พอจะดูดี แต่ก็ยังอ่อนหัดอยู่ดี สำหรับคนพวกนี้ เขาไม่ได้ใส่ใจ
"งั้นคุณจะบอกว่า เพราะพวกคุณมีอำนาจ พวกเราถึงต้องทนรับความอยุติธรรมและความเสียหายอย่างงั้นเหรอ สังคมนี้ยังมีหลักการอยู่ไหม แล้วจะมีกฎหมายไว้ทำไม มันน่าตลกสิ้นดี ที่ยังมีคนกล้าข่มเหงประชาชนอย่างเปิดเผยขนาดนี้ ช่างเป็บุญหูบุญตาของผมเสียจริง"
เจิ้งซวี่เหยาแทบจะหัวเราะออกมา เขานึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะทำตัวเป็อันธพาลได้ถึงขนาดนี้ คงจะทำเื่แบบนี้มานักต่อนัก ไม่อย่างนั้นคงไม่คล่องแคล่วถึงเพียงนี้ ดูท่าคนที่มาส่งของพวกนี้ ไม่ได้มีหน้าที่แค่ส่งของ แต่อาจจะควบตำแหน่งนักเลงไปด้วย
"เอาล่ะ ในเมื่อพี่ใหญ่พูดมาถึงขนาดนี้ พวกเราก็คงไม่มีอะไรจะพูดแล้วล่ะ แต่พวกเราก็ต้องลองดูสักตั้ง พวกคุณก็เห็นแล้วว่าพวกผมเป็แค่คนหนุ่มคนสาว ทำธุรกิจเล็กๆ น้อยๆ นี่มันคือสมบัติทั้งหมดของพวกเรา ถ้าเจ๊งขึ้นมา พวกเราคงต้องไปะโน้ำตาย ยังไงเสียพวกเราก็ต้องพยายามให้ถึงที่สุด"
เจิ้งซวี่เหยาแกล้งยอมอ่อนข้อให้คนที่มาส่งของ คนคนนั้นก็ยิ้มอย่างย่ามใจ
"พวกคุณควรจะรู้จักสถานการณ์ของตัวเอง ไม่ต้องไปทำอะไรให้มันเสียเวลาเปล่าๆ หรอก แต่ถ้าพวกคุณดันทุรังจะไปรับความอัปยศนั้น ผมก็ไม่ว่าอะไรอยู่แล้ว ยังไงรถบรรทุกของพวกนี้ พวกคุณก็ต้องรับไว้ให้ได้"
"ได้ พวกเราต้องลองดูก่อนถึงจะรู้ หย่งจิ้น พวกนายไปขนของที่อยู่ในโกดังออกมา พวกเราจะไปลองเสี่ยงโชคที่โรงงานนั้นดู"
เจิ้งซวี่เหยาออกคำสั่ง หมี่หลันหยางและเฉียนหย่งจิ้นรีบไปที่โกดัง
พวกเขาขนเครื่องจักรสองสามกล่องที่ขนเข้าไปแล้วออกมา เห็นกล่องหนึ่งถูกเปิดออก ทุกคนก็รู้เื่ราวดี หลิวเสี่ยวหว่านเป็คนตรวจพบปัญหาจากเครื่องจักรที่เปิดกล่องนี้ ถ้าหลิวเสี่ยวหว่านไม่ขยันขันแข็ง ไม่ได้เปิดกล่องดู พวกเขาคงโดนหลอกเข้าให้แล้ว
"พวกคุณเปิดกล่องเครื่องจักรแล้ว แบบนี้เื่มันจะยากขึ้นไปอีก"
เมื่อเห็นว่ากล่องถูกเปิดออก คนที่มาส่งของก็หัวเราะเยาะ เพราะรู้ว่าถ้าหีบห่อสมบูรณ์ไม่เสียหาย อาจจะยังพอคืนสินค้าได้บ้าง แต่นี่เปิดกล่องแล้ว พวกเขาก็จะมีข้ออ้างมากขึ้นไปอีก
"ถ้าไม่เปิดกล่องแล้วจะเห็นของข้างในได้ยังไง โรงงานแบบพวกคุณนี่มันหลอกลวงกันชัดๆ"
หลิวเสี่ยวหว่านไม่พอใจอย่างมาก เธอไม่คิดว่าในเมืองหลวงอย่างปักกิ่ง จะมีธุรกิจใจดำแบบนี้ด้วย เธอคิดว่าในเมืองใหญ่แบบปักกิ่ง จะมีระเบียบวินัยที่ดีที่สุดเสียอีก
"อย่าไปเสียเวลาพูดกับเขา ไปโรงงานกันเลย!"
เสียงของเจิ้งซวี่เหยาที่ดังขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้คนคนนั้นประหลาดใจ เมื่อกี้นี้ชายหนุ่มคนนี้ยังยอมอ่อนข้ออยู่ดี ทำไมถึงได้แข็งกร้าวขึ้นมาเสียอย่างนั้น แต่พอเขาเห็นว่ามีคนมาเพิ่ม เขาก็ถึงกับบางอ้อ
"ที่แท้ก็มีคนมาช่วยนี่เอง สนุกแน่ๆ พวกเราก็มีคนเยอะเหมือนกันนะ"
ชายคนนั้นพูดพลางขยับขาอย่างรวดเร็ว ะโขึ้นไปในรถบรรทุก หนีเอาตัวรอดเสียก่อน คนฉลาดไม่ควรเอาตัวเองไปเสี่ยงไร้ค่า มองดูแล้วคนพวกนี้ที่มาใหม่ ใช่ว่าจะมีมากมายอะไรนัก แต่ก็พอจะทำให้เขาหน้าหงายได้
"ดี จะได้ไปดูว่าพวกคุณมีกันกี่คน ถึงจะจัดการพวกเราได้"
กลุ่มชายหนุ่มที่ลงมาจากรถ เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเจิ้งซวี่เหยาพอดี หนึ่งในนั้นเป็ชายหนุ่มหน้าตาหมดจดดูสุภาพเรียบร้อย ยืนอยู่ข้างรถบรรทุก มองคนที่เข้าไปหลบอยู่ในรถ
ดูๆ แล้วเป็แค่ชายหนุ่มหน้าตาดีที่ดูอ่อนโยน แต่คนที่มาส่งของกลับรู้สึกถึงแรงกดดัน เพียงแค่ถูกเขามองก็รู้สึกเหมือนมีก้อนหินขนาดใหญ่มาจุกอยู่ที่อก หายใจแทบไม่ออก
"ช่างเถอะ ิจวิ้น พวกเราไปที่โรงงานก่อนดีกว่า เขาก็แค่ลูกกระจ๊อก ทำอะไรไม่ได้มาก อย่าเสียเวลากับเขาเลย"
เจิ้งซวี่เหยาเรียกชายหนุ่มหน้าตาดีคนนั้นกลับมา แล้วเรียกหลันเยว่และคนอื่นๆ ขึ้นรถที่คนพวกนี้ขับมา
แค่ดูจากรถสี่คันนี้ ก็รู้ว่าคนที่มาไม่ธรรมดา เพราะสมัยนี้คนที่ใช้รถส่วนตัวได้ตามใจชอบยังมีน้อย โดยเฉพาะรถส่วนตัว ยิ่งไม่ค่อยเห็น ส่วนใหญ่จะเป็รถของรัฐ ซึ่งจะเรียกใช้รถของรัฐได้ตามใจชอบ ก็แสดงว่ามีสถานะที่ไม่ธรรมดา
ไม่ใช่แค่หมี่หลันเยว่ที่ดูออกว่าคนที่มาไม่ธรรมดา คนที่เข้าไปนั่งอยู่ในรถก็เช่นกัน ตอนนี้เขากำลังอกสั่นขวัญแขวน เมื่อกี้เขาเห็นแค่ว่ามีคนเดินเข้ามา แต่ยังไม่ได้เห็นรถที่จอดอยู่ข้างๆ พอเห็นรถสี่คันที่มาพร้อมๆ กัน เขาก็รู้สึกเย็นวาบไปถึงกระดูก
บางทีคนที่ซวยอาจจะไม่ใช่คนหนุ่มพวกนี้ แต่อาจจะเป็เ้านายของเขาเองต่างหาก เล็งผิดคน คิดว่าหัวอ่อน แต่ที่แท้กลับมีคนหนุนหลังใหญ่โต แบบนี้ซวยแน่ ไม่ใช่แค่เ้านายที่ซวย ตัวเขาเองก็ซวยด้วย ที่ไม่ได้ดูให้ดีั้แ่แรกว่าคนพวกนี้มีภูมิหลัง
ถ้ารู้แต่แรกว่าควรจะเงียบๆ เสียดีกว่า เื่มันจะได้ไม่ลุกลามบานปลายขนาดนี้ คำพูดโอ้อวดเมื่อกี้ของเขา เหมือนเป็การสุมไฟเข้าไปอีก เขาอยากจะหยุดเหตุการณ์ทั้งหมด ตอนนี้ไม่รู้ว่าใครจะต้องเสียเปรียบมากกว่ากัน
พวกเขาขับรถไปโรงงานเป็ไปอย่างรวดเร็ว คนในโรงงานเห็นรถสี่คันขับตามรถที่ส่งของตอนเช้าเข้ามา ก็รู้ว่าเื่ไม่ดีแล้ว รีบไปแจ้งให้ผู้จัดการโรงงานและผู้จัดการฝ่ายขายทราบ ทั้งสองคนรีบออกมาต้อนรับด้วยความเคารพ
"แขกผู้มีเกียรติคนไหนมาถึงที่นี่กัน ต้องขออภัยจริงๆ ครับ ที่ไม่ได้ออกไปต้อนรับ"
ดูจากสถานการณ์ก็รู้ว่าหลบไม่ได้ แถมการหลบอาจจะทำให้สถานการณ์แย่ลงไปอีก ทั้งสองคนรีบเดินไปที่รถด้วยความเคารพ
"ผมไม่อยากพูดจาอ้อมค้อม ผมสั่งเครื่องจักรจากโรงงานพวกคุณ แต่ของที่ส่งมาไม่ตรงกับที่สั่ง พวกคุณจะแก้ปัญหายังไงก็บอกมา"
เจิ้งซวี่เหยาไม่ได้พูดจาตีสนิทกับทั้งสองคน ตัดบทเข้าเื่ทันที
"จะเป็ไปได้ยังไง โรงงานของเราซื่อสัตย์ที่สุด ไปดูก่อนดีกว่า แล้วคุณเอาใบสั่งซื้อมา เราจะได้เทียบกัน ถ้าสินค้าไม่ตรงกับใบสั่งซื้อจริง แสดงว่าทางโกดังส่งผิดพลาด ผมจะให้คำตอบที่น่าพอใจกับคุณแน่นอน"
ทั้งสองคนพูดจาด้วยความสุภาพ เจิ้งซวี่เหยาไม่ได้พูดอะไรต่อ ในเมื่อพวกเขาบอกว่าส่งสินค้าผิด แล้วจะรีบแก้ไขให้ เขาก็หาเื่ตำหนิไม่ได้ ทำได้แค่รอให้พวกเขาแสดงผลการแก้ไขออกมาเสียก่อน ส่วนหัวหน้าทั้งสองของโรงงาน เมื่อเห็นหมี่หลันเยว่ลงมาจากรถ สมองก็แทบะเิ นึกว่าเจอไก่รองบ่อนให้เชือด แต่ที่แท้กลับเป็เพียงพังพอนที่พร้อมจะแว้งกัด
ยังไงก็ตาม คนทั้งสองยังคงพยายามต่อไป เพราะการโล๊ะสินค้าเก่าออกไปให้หมดไม่ใช่เื่ง่าย และพวกเขาจะไม่ยอมแพ้เพียงเพราะความอึกทึกครึกโครมเหล่านี้
"คุณครับ ใบเสร็จยืนยันว่าไม่มีอะไรผิดพลาด สินค้าที่คุณสั่งก็คือสินค้าเหล่านี้"
ผู้จัดการฝ่ายขายเพิ่งจะพูดจบ ชายร่างกำยำที่ดูฉลาดเฉลียวคนหนึ่งก็หยิบใบรับรองการทำงานออกมาจากกระเป๋าเสื้อ
"ผมมาจากแผนกตรวจสอบของสำนักงานอุตสาหกรรมและการพาณิชย์ ตอนนี้มีคนร้องเรียนว่าพวกคุณก่อกวนตลาด เอาของไม่ดีมาสับเปลี่ยน แถมยังมีมูลค่าความเสียหายมหาศาล ไปกับผมที่สำนักฯ เถอะ"
เขายังพูดไม่ทันจบ ชายหนุ่มหน้าตาดีที่สุภาพเรียบร้อยคนนั้นก็หยิบเอกสารของตัวเองออกมาด้วย
"ไปกับผมก่อนดีกว่า มีคนร้องเรียนว่าโรงงานของคุณทำการฉ้อโกง แถมยังมีมูลค่าความเสียหายมหาศาล... ผมมาจากกองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ นี่คือเอกสารของผม"
พอเห็นหัวหน้าโรงงานทั้งสองที่ทรุดลงไปทันที หมี่หลันเยว่ก็หัวเราะ อาจารย์เจิ้งเก่งมากจริงๆ
