เมื่อมองดูเงาร่างภูตผีที่กำลังมุ่งไปยังรอยวิถีทำลายล้างที่รวมตัวกันอยู่ตรงเบื้องหน้า
ฉินอวี่ก็ไม่อาจสงบใจอยู่ได้เป็เวลานาน
เขาไม่เคยคิดแม้แต่จะฝัน ว่าจะได้พบกับหนึ่งในเก้าวิชาลับแห่งจูเทียน
“รวบรวมเก้าวิชาลับแห่งจูเทียน ก็เท่ากับได้คัมภีร์จูเทียน!” ฉินอวี่พึมพำ แต่ก็ไม่อาจระงับความตื่นเต้นนี้ได้เลย
คัมภีร์จูเทียน หนึ่งในสามยอดคัมภีร์แห่งหงหวง
ร่ำลือกันว่า สามยอดคัมภีร์ที่ว่านี้ รับสืบทอดมาจากหงเิ เป็ตำราที่แข็งแกร่งที่สุดของไท่ชู
ในอดีต สำนักจูเทียนเต้าจะยึดพื้นฐานมาจากคัมภีร์จูเทียน แต่น่าเสียดายที่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดคัมภีร์จูเทียนจึงถูกแบ่งออกเป็วิชาลับทั้งเก้าแห่งจูเทียนไปเสียได้ และเมื่อเวลาผ่านไป วิชาลับก็สูญหายไปสามวิชา
ในตอนนั้นที่สำนักจูเทียนเต้าถูกทำลาย หลงเหลือวิชาลับที่ถูกรักษาไว้ได้หกวิชา ซึ่งวิชาลับทั้งหกนั้นได้ให้กำเนิดหกธรรมบาล! หลังจากสำนักจูเทียนเต้าถูกทำลายไป ก็มีคนเคยพูดกันว่า หากวิชาลับทั้งเก้าแห่งจูเทียนครบสมบูรณ์ เกรงว่าทั่วทั้งแดนเซียนอู่คงไม่มีผู้ใดสามารถทำลายสำนักจูเทียนเต้าได้อีก
ฉินอวี่มีความอยากรู้เกี่ยวกับสำนักจูเทียนเต้าเป็อย่างยิ่ง เขาพยายามอ่านตำราโบราณเป็จำนวนมากเพื่อจะค้นหาสาเหตุในการล่มสลายของสำนักจูเทียนเต้า แต่เมื่อลองมองไปมองมาแล้ว ฉินอวี่ก็พอจะคาดเดาได้ว่าสำนักจูเทียนเต้าน่าจะถูกทำลายเพราะสาเหตุจากคัมภีร์จูเทียน!
และในตอนนี้ เมื่อเงาร่างของธรรมบาลซึ่งเป็หนึ่งในความลับทั้งเก้าของสำนักจูเทียนเต้าที่แข็งแกร่งในอดีตได้ปรากฏตัวขึ้นมา จะไม่ให้ฉินอวี่ใได้อย่างไร
เขาไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่าในเหวลึกแห่งนี้จะมีความลับเช่นนี้ซ่อนอยู่จริงๆ
“ไม่รู้ว่าคนผู้นี้เป็ใครกัน หากสามารถเรียนรู้หนึ่งในเก้าความลับแห่งจูเทียนได้ เกรงว่าสถานะในอดีตคงจะไม่ธรรมดาแน่นอน เพียงแต่... ในตอนที่สำนักจูเทียนเต้าถูกทำลายเป็ยุคสมัยไท่ชู หรือชายชราที่น่ากลัวคนนั้นจะเป็คนในยุคสมัยไท่ชู? เป็ไปไม่ได้! ไม่มีทางเป็ไปได้!” ฉินอวี่สรุปไว้ในใจ
แม้จะเป็จุดสูงสุดของขั้นเขตแดนเต๋าก็ไม่มีทางจะมีชีวิตอยู่มาถึงตอนนี้ได้ นอกเสียจากชายชราคนนั้นจะเข้าถึงเขตแดนเซียน ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีทางจะมีชีวิตอยู่ได้ถึงทุกวันนี้
“หรือว่า เขาจะเป็ผู้แข็งแกร่งขั้นเขตแดนเซียน?” เมื่อความคิดเช่นนี้ปรากฏขึ้น ทำให้ฉินอวี่ต้องตกตะลึง
“แม้แต่แดนเซียนอู่ในยุคไท่ชูก็ไม่มีคนขั้นเขตแดนเซียนปรากฏขึ้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงในตอนนี้เลย” ฉินอวี่คาดคะเน แม้จะรู้สึกว่าชายคนนี้ดูน่ากลัว แต่ก็น่าจะต้องเป็ผู้แข็งแกร่งขั้นเขตแดนเซียน ไม่เช่นนั้นจะมีชีวิตอยู่ถึงทุกวันนี้ได้อย่างไร? และคงได้ล้างแค้นให้กับสำนักจูเทียนเต้าไปนานแล้ว
“ชายชราคนนี้ดูเหมือนจะเสียสติไปแล้ว แบบนี้คงต้องไปจากที่นี่ก่อนจะดีกว่า” ฉินอวี่พึมพำกับตนเอง จากนั้นจึงหันหลังกลับและเหาะไปทางสุสานร้าง
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม ฉินอวี่ก็กลับมาถึงสุสานร้าง จากนั้นจึงใช้มโนจิตสาดส่องไปในรัศมีรอบด้าน และเมื่อมโนจิตส่องไปถึงระยะห้าสิบลี้ ฉินอวี่ก็ต้องละสายตากลับมาทันที สีหน้าของเขาดูเอาแน่เอานอนไม่ได้ หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาจึงค่อยๆ ลงไปยืนบนพื้นดิน หยิบดินกำมือหนึ่งมาทาไว้บนใบหน้า จากนั้นจึงนำดินป้ายไปบนเสื้อผ้าของเขา และฉีกเสื้อผ้าไปตามอารมณ์ หลังจากที่ทำให้ตนเองดูมอมแมมแล้ว เขาจึงรีบเหาะไปทางหนึ่งอย่างรวดเร็ว
“ทำอะไรต้องว่องไวขึ้นหน่อย หากเจอชายชราร้องไห้คนนั้นคงจบเห่แน่นอน”
“ข้าก็คิดแบบนั้น แต่ตามกฎในการขุดของสุสานแห่งนี้ อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาหนึ่งชั่วยาม หรือพวกเราจะะเิหลุมขึ้นสักหลุม?”
“เ้ายังรู้สึกชีวิตวุ่นวายไม่พอหรือ นี่เป็ระดับท่านผู้าุโเชียวนะ หลังจากสามปีนี้ก็น่าจะต้องถูกพาตัวไปแล้ว แต่หากถูกพวกเขาพบหลุมเข้าและไม่ทำตามกฎ พวกเราจะมีชีวิตรอดได้หรือ? ไม่ต้องพูดมากแล้ว รีบขุดเถอะ”
เด็กหนุ่มชุดเทาสองคนกำลังตั้งหน้าตั้งตาขุดหลุมบนพื้นอย่างบ้าคลั่ง และด้านข้างกายเขานั้น ได้พบศพหัวขาดที่สวมชุดเกราะสีดำสนิท
“หวังจง เ้าได้ยินอะไรหรือไม่?” ชายหนุ่มรูปร่างเตี้ยหยุดลงอย่างกะทันหัน และตัวสั่นสะท้าน
“ได้ยินอะไรกัน? มีอะไรที่ไหน? ตื่นตูมไปได้ หลิวเจ๋อเ้าทำอะไรให้มันไวหน่อย อย่าคิดอู้” ชายหนุ่มที่ชื่อหวังจงพูดอย่างโกรธเกรี้ยว แม้ว่าจะตำหนิอยู่ แต่ความเร็วในการขุดกลับไม่ลดลง
“หรือข้าจะได้ยินผิดไป?” หลิวเจ๋อมองไปรอบด้าน
“ทั้งสองท่าน...” ในขณะนี้ เสียงขอความช่วยเหลือก็ดังขึ้นเบาๆ หลิวเจ๋อและหวังจงตัวสั่นสะท้าน หันมาสบตากันและกัน โยนพลั่วที่อยู่ในมือออกด้วยความใ และรีบวิ่งไปทางด้านหนึ่งอย่างบ้าคลั่ง
ฉินอวี่ที่กำลังเหาะมาอย่างรวดเร็วต้องตกตะลึงไปทันที ก่อนหน้านี้เขาได้ตรวจพบคนผู้ฝึกตนขั้นสมานญาณทั้งสองคนมาก่อนแล้ว เดิมคิดว่าจะปลอมตัวเข้าไป แต่กลับนึกไม่ถึงว่าทั้งสองคนจะใกลัวถึงขนาดนี้ จนวิ่งหนีหายไป
“หรือว่า พวกเขาก็รู้จักชายชราคนนั้น? และพวกเขาก็คิดว่าข้าคือชายชราคนนั้น?” ฉินอวี่กลอกตาไปมา ดวงตาเปล่งประกายเล็กน้อย และรีบเพิ่มความเร็ว
หลังจากนั้นไม่นาน ฉินอวี่ก็ตรงไปยังเบื้องหน้าของทั้งสองคน และพูดขึ้น “ช้าก่อน!”
เมื่อทั้งสองคนที่กำลังหวาดกลัวได้พบกับฉินอวี่ เขาก็พูดขึ้นอย่างโกรธเคืองในเวลาเดียวกัน “ยังจะรออะไรอีก ชายชราร้องไห้มาถึงแล้ว ยังไม่หนีอีก!”
“เป็ข้าเอง...” ฉินอวี่ส่ายหน้าอย่างขมขื่น และแอบมีแผนการรับมืออยู่ในใจ
“อะไร? เ้าหรือ?” ชายหนุ่มที่ชื่อหวังจงมีสติขึ้นมา และจ้องไปยังฉินอวี่เป็เวลานานโดยไม่พูดอะไร หน้าอกที่สั่นกระเพื่อมอย่างรุนแรงเริ่มสงบลง จากนั้นจึงเหลือบมองทางด้านหลัง และพูดอย่างแปลกใจ “ก่อนหน้านี้คือเสียงโหยหวนของเ้าหรือ?”
ใบหน้าของฉินอวี่กระตุก โหยหวน? ตนเองส่งเสียงโหยหวนที่ไหนกัน? ทันใดนั้น เขาก็แสร้งทำเยาะเย้ยไปทันที “ใช่ พวกเ้าสองคนก็ขวัญอ่อนเกินไป”
“ใครขวัญอ่อน เ้านะสิขี้ขลาดขวัญอ่อน แล้วเ้าเป็ใครกัน ทำไมจึงมาอยู่ในสุสานร้าง? พวกเราเหมือนไม่เคยเห็นเ้ามาก่อน?” เมื่อถูกฉินอวี่พูดเช่นนี้ หลิวเจ๋อก็โกรธมาก และอดไม่ได้ที่จะพูดไปอย่างโกรธเคือง
“พูดตามตรง ข้าก็เพิ่งหนีชายชราร้องไห้คนนั้นมา” ฉินอวี่พูดออกไปด้วยอารมณ์
“อะไรนะ? เ้าบอกว่าเ้าหนีชายชราร้องไห้คนนั้นมาหรือ? เ้าพบกับชายชราคนนั้นแต่ไม่ตายหรือ?” หวังจงและหลิงเจ๋อตาเบิกโพลง กวาดสายตามองฉินอวี่อย่างเหลือเชื่อ
ใบหน้าของฉินอวี่เผยให้เห็นความกลัวอย่างต่อเนื่อง และพูดว่า “ก่อนหน้านี้ข้าถูกชายชราร้องไห้จับตัวไป เพิ่งหนีออกมาได้ไม่กี่วันนี้เอง”
“เ้า... เ้าคือหลี่โหย่วฉายที่เพิ่งเข้ามาใหม่หรือ?” หลิวเจ๋อมองไปยังฉินอวี่อย่างละเอียด ก่อนจะถามอย่างไม่แน่ใจ
ใบหน้าของฉินอวี่กระตุกเล็กน้อย ทุกสิ่งเป็ไปตามคาดราวกับ์จัดสรร ก่อนหน้านี้เขาก็กำลังคิดว่าจะหลอกทั้งสองคนได้อย่างไร แต่กลับนึกไม่ถึงว่าจะมีคนมอบตัวตนใหม่ให้กับเขาเช่นนี้
“ผู้น้อยเอง” ฉินอวี่พูดพลางแสดงความเคารพ
“ไม่ใช่สิ เ้าไม่ได้อยู่ขั้นเทียนชุ่ยหรอกหรือ? เวลาแค่ครึ่งเดือนทำไมจึงอยู่ขั้นกุมารทิพย์ล่ะ? หรือว่า... ชายชราที่ร้องไห้คนนั้นจะชี้แนะอะไรกับเ้า?” พลังจินตนาการของหลิวเจ๋อนั้นช่างเลิศล้ำจริงๆ เขาจึงพึมพำด้วยความประหลาดใจ
แต่หวังจงดูจะมีนิสัยที่นิ่งขรึมกว่าหลิวเจ๋อ หลังจากจ้องมองฉินอวี่อยู่ครู่หนึ่ง ก็พูดขึ้นอย่างเคร่งขรึม “และรอยผนึกปีศาจของเ้าล่ะ?”
ฉินอวี่ตกตะลึง ก่อนจะกลั้นหายใจ และยื่นมือขวาออกไป ถ่ายเทแก่นปราณลงไป จนเกิดเป็ผนึกสีทองแดงรอยหนึ่ง จากนั้นจึงเก็บมือกลับไป
“เ้าเป็ใครกันแน่! เป็ไปไม่ได้ที่คนที่เปิดรอยผนึกฝ่ามือจะถูกส่งมาที่แห่งนี้” หวังจงเรียกอาวุธิญญาออกมา และจ้องตรงไปทางฉินอวี่ พลางะโอย่างรุนแรง ส่วนหลิวเจ๋อก็เรียกอาวุธิญญาออกมาเช่นกัน และเป็กระบี่สีครามเล่มหนึ่ง
ฉินอวี่ถอนหายใจอย่างโล่งอก หรี่ตาลงมองหวังจง และเยาะเย้ยอยู่ในใจ สำหรับเขาแล้วการลองใจเพียงแค่นี้เป็สิ่งที่น้อยนิดนัก หากพวกเขาแน่ใจว่าตนเองไม่ใช่หลี่โหย่วฉาย ก็คงจะลงมือไปนานแล้ว
“หรือข้าต้องบอกเ้าด้วยว่าข้าไปล่วงเกินผู้ใดมา? และต้องบอกพวกเ้าด้วยหรือว่าชายชราร้องไห้คนนั้นแนะนำข้า หรือมอบของดีอะไรให้ข้า? อย่างที่รู้กัน ว่ายิ่งรู้น้อยเท่าไร ชีวิตก็ยิ่งยืนยาว?” ฉินอวี่ตะคอกกลับไปด้วยเสียงอันดุร้าย
“เ้า...” ดวงตาของหวังจงเต็มไปด้วยความสงสัยและตื่นตระหนก และเริ่มเชื่อขึ้นมาแล้วในใจ เขาจึงกัดฟันพูดออกไป “ในเมื่อเ้าได้คำชี้แนะจากชายชราร้องไห้นั่นมาแล้ว แล้วทำไมเ้าถึงต้องหนีออกมาอีกเล่า?”
“เ้าคงไม่รู้ว่าชายชราคนนั้นเสียสติไปแล้ว บางเวลาก็ปกติดี บางเวลาก็บ้า? หากตอนนี้ยังไม่หนีออกมา จะปล่อยให้เขาเสียสติจนจะฆ่าข้าก่อนแล้วค่อยหนีออกมาหรือ?” ฉินอวี่พูดอย่างเยือกเย็น
“หลี่โหย่วฉาย เ้าทำได้อย่างไรกัน? เ้าได้พบกับชายชราร้องไห้คนนั้นแต่ยังไม่ตาย เ้าไม่รู้หรือว่าชายชราคนนั้นน่ากลัวแค่ไหน เขาพบกับใครก็ตามจะต้องถามคำถามกับคนผู้นั้นหนึ่งถาม หากไม่ตอบคำถามเขาล้วนต้องถูกฆ่าตายทั้งสิ้น หลายปีมานี้มีคนในสุสานร้างตายด้วยน้ำมือของชายชราคนนั้นมากเท่าไรแล้วก็ไม่อาจรู้ได้” หลิวเจ๋อเชื่อฉินอวี่อย่างสนิทใจแล้ว จึงได้แต่ถามไปด้วยความสงสัย
หวังจงมองไปทางฉินอวี่ สายตาของเขาเต็มไปด้วยความอยากรู้ ในฐานะเป็คนขุดหลุมศพ ย่อมมีโอกาสมากที่จะต้องพบเจอชายชราร้องไห้คนนั้น แต่ในเมื่อหลี่โหย่วฉายยังมีชีวิตรอดจึง้าคำตอบจากเขา หากได้คำตอบมาจากเขา ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกสังหารอีกเมื่อต้องพบกับชายชราคนนั้นในอนาคต
หลิวเจ๋อชำเลืองมองหวังจง ในใจของหวังจงกำลังสับสนอยู่เป็เวลานาน ก่อนจะพูดขึ้น “หลี่โหย่วฉาย ข้าผิดเอง ถึงอย่างไรเ้าก็อยู่ในเขตหลุมศพแห่งนี้แล้ว นอกจากพวกข้าที่เป็คนขุดหลุมแล้วก็มีน้อยคนนักที่จะเข้ามา...”
ฉินอวี่หันศีรษะไปอย่างสบายๆ และพูดอย่างเยือกเย็น “ดังนั้นเ้าจึงคิดว่าข้าคือคนนอก? หากข้าเป็คนนอกที่เข้ามา ด้วยระดับการฝึกฝนของข้าการเข้ามาที่นี่ไม่เท่ากับมารนหาที่ตายหรือ?”
ใบหน้าของหวังจงแดงก่ำ ฉินอวี่ได้คาดเดาความคิดในใจของตนเองได้ถูกต้อง แต่คำพูดของฉินอวี่ก็ทำให้เขาคัดค้านไม่ได้ ความสงสัยในใจจึงค่อยๆ จางหายไป ใช่แล้ว หากเป็คนนอกเข้ามา ด้วยระดับฝึกฝนเช่นนี้ ก็เท่ากับรนหาที่ตาย หรือพูดได้อีกอย่างหนึ่งว่า คนนอกที่เข้ามาจะมีรอยผนึกฝ่ามือได้อย่างไร?
“พี่หลี่ เ้าเป็ผู้ใหญ่มากกำลัง โปรดอภัยให้หวังจงด้วย เขาเป็คนหัวโบราณไปสักหน่อย แต่จิตใจดี” เมื่อหลิวเจ๋อเห็นฉินอวี่พูดอย่างเ็า เขาก็อดจะตระหนกไม่ได้ หากไม่ได้รับคำตอบ ครั้งต่อไปเมื่อต้องพบกับชายชราร้องไห้ ถ้าตอบอะไรไม่ได้ก็มีหวังจบเห่แน่นอน
ฉินอวี่ยังคงวางตัว เพราะตัวตนของเขายังจำเป็ต้องมีสองคนนี้คอยช่วยเหลือ จะปล่อยให้ความสัมพันธ์ที่มีแข็งกระด้างไปได้อย่างไร? เมื่อเห็นความไม่สบายใจและท่าทางที่ละอายของหวังจง ฉินอวี่ก็โบกมือขึ้น “ช่างเถอะๆ เมื่อครู่นี้พวกเ้าทำอะไรกันอยู่หรือ?”
“ขุดหลุมศพ พวกข้าเป็คนขุดหลุมศพก็กำลังขุดหลุมศพกับขุดศพมิใช่หรือ?” เมื่อหวังจงเห็นฉินอวี่อภัยให้ตนเอง เขาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกอยู่ในใจ และรีบตอบกลับไป เขาเองก็้าคำตอบของชายชราร้องไห้ ไม่เช่นนั้นก็ต้องมาคอยระวังตัวอยู่ตลอดเวลา
“ขุดหลุมศพ? ขุดศพ?” ฉินอวี่สงสัย เมื่อนึกถึงหลุมศพที่ว่างเปล่าแล้ว เขาก็อดจะสงสัยไม่ได้
“เ้าคงไม่รู้สินะ เฮ้อ สิ่งที่พวกข้าทำคือฝังคน การขุดหลุม ขุดเสร็จก็นำคนตายลงไปฝัง รอให้พ้นเวลาสามปีก็ขุดศพเหล่านี้ขึ้นมา ส่งไปยังเ้าเมืองของเขตปีศาจ” หวังจงรีบชิงตอบก่อนหลิวเจ๋อ เพราะยังกังวลว่าฉินอวี่อาจเกลียดตนเอง
“ฝังคน ขุดหลุมศพ? ฝังไว้ใต้ดินเป็เวลาสามปี?” ฉินอวี่รู้สึกประหลาดใจขึ้นมาทันที
