เคลื่อนพลังของเคล็ดวิชาาไปหนึ่งรอบ พลังของหญ้าิญญาเพลิงก็ลดไปหนึ่งส่วนจนกระทั่งข้าเคลื่อนพลังไปสิบรอบความรู้สึกที่เหมือนว่ามันจะกลืนกินร่างกายของข้าก็หมดลงและเมื่อใช้ตาทิพย์มองเข้าไปก็พบว่าตอนนี้พลังของหญ้าิญญาเพลิงกำลังก่อตัวรวมกันเป็กลุ่มก้อนลอยล่องอยู่เหนือท้องฟ้าในจุดประภพิญญาและยังไม่ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย
่เวลาต่อจากนั้นก็ได้หญ้าิญญาเพลิงต้นนี้เข้าไปเสริมพลังลมปราณที่สูญเสียไปจากการฝึกฝนเคล็ดวิชาาและสิ่งที่ทำให้ข้าต้องตกตะลึงก็คือ แม้ว่าข้าจะฝึกฝนเคล็ดวิชาาไปแล้วกว่าสิบครั้งแต่พลังของหญ้าิญญาเพลิงก็ยังไม่ลดน้อยถอยลงไปถึงจะฝึกฝนจนเวลาล่วงเลยเข้ายามดึกมันก็ยังคงอยู่อย่างนั้นไม่หายไปไหนสรรพคุณและประโยชน์มากมายขนาดนี้เป็สิ่งที่โสมโลหิตไม่มีทางเทียบได้!
ฟิ่ว ฟิ่ว...
ระหว่างฝึกฝน พลังิญญาก็แผ่ซ่านออกมาและลอยวนจนเกิดกระแสลมที่ปลิวซัดไปมาเสียงเม็ดฝนเล็กๆ ตกกระทบลงบนต้นไม้ใบหญ้าที่เคยสงบเงียบไร้ซึ่งเสียงใดๆ แต่จริงๆแล้วท้องฟ้าเหนือหุบเขาหลิงหยุนกลับมีแสงของดวงดาวส่องระยิบระยับนั่นหมายความว่าเสียงฝนที่ได้ยินไม่ได้มาจากธรรมชาติ แต่เป็เสียงฝนที่ดังขึ้นมาจากการเคลื่อนพลังเคล็ดวิชาาของข้านั่นเองมันเริ่มจากเสียงฝนเม็ดเล็กๆ จนกลายเป็เม็ดใหญ่ตกลงมาจากฟากฟ้าจนเกิดเป็เสียงเหมือนสายฟ้าฟาดตามความรุนแรงของพลังและความรู้สึกแบบนี้แสดงให้เห็นว่าข้าได้บรรลุเคล็ดวิชาาเข้าไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว!
มันคือพลัง วัสสานทระนง พลังระดับกลางของขั้นวาตะพิฆาต!
และในเวลาเดียวกันพลังที่เพิ่มขึ้น ทำให้ข้ารู้สึกว่าตัวเองได้บรรลุการบำเพ็ญระดับกลางจนเข้าสู่ระดับสมบูรณ์ของขั้น์แล้ว!
ความดีใจยังคงเกิดขึ้นในทุกๆ ครั้งที่ข้าบรรลุ แต่เพราะหญ้าิญญาเพลิงยังแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายไม่ได้จึงจะต้องพยายามจัดการให้มันสลายก่อนถึงจะดี!
หลังจากหาฟืนมาก่อไฟทำกับข้าวจนอิ่มท้องข้าก็ดับไฟเพื่อไม่ให้มันลุกลามก่อนจะเริ่มการบำเพ็ญต่อ!
หลังจากเคลื่อนพลังของเคล็ดวิชาาไปหลายครั้ง พลังที่เป็กลุ่มก้อนของหญ้าิญญาเพลิงก็ค่อยๆแตกออกและส่องแสงกระจายเข้าสู่ร่างกายทำให้กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นแข็งแกร่งขึ้นถือได้ว่าเป็การพัฒนาร่างกายขึ้นอีกระดับหลังจากที่เคยพัฒนามาแล้วเมื่อครั้งบำเพ็ญขั้นหลอมปราณ
เนื่องจากมีพลังของหญ้าิญญาเพลิงอยู่จึงทำให้ร่างกายยังคงสภาพของลมปราณที่เต็มเปี่ยมโดยไม่ลดน้อยถอยลงไปข้าทำการเคลื่อนพลังอันน่าอัศจรรย์ของเคล็ดวิชาาหลายต่อหลายรอบเพื่อให้ซึมซับเข้าสู่ร่างกายแม้ว่าจะมีขั้นตอนการพัฒนาร่างกายให้แข็งแกร่งขึ้นเหมือนขั้นหลอมปราณแต่การพัฒนาร่างกายในครั้งนี้กลับให้พลังที่มากกว่าหลายเท่าตัว!
กระทั่งเวลาล่วงเลยมาจนใกล้ฟ้าสางของอีกวันก็เกิดพลังที่อัดอั้นอยู่ในใจเหมือนพร้อมจะะเิออกมา!
หลังจากร่างกายเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง จู่ๆก็เกิดเสียงะเิของพลังดังมาจากหน้าอก ระลอกคลื่นพลังดั่งลมพายุซึ่งพัดพาไอหมอกของพลังิญญาที่ปกคลุมร่างกายสลายหายไปในพริบตาข้าบรรลุอีกระดับแล้ว!
พลังระดับสูงของขั้นวาตะพิฆาต พลังวาตะเมฆินทร์!
ขณะเดียวกันพลังของหญ้าิญญาเส้นสุดท้ายในจุดประภพิญญาก็ถูกสลายและแทรกซึมเข้าสู่ร่างกาย!
พลังอันมหาศาลถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ทำให้ิัด้านนอกมีแสงของพลังิญญาที่ผลุบๆโผล่ๆ อาการแบบนี้เกิดจากร่างกายและจิติญญามีการพัฒนาให้แข็งแกร่งขึ้นอีกทั้งลมปราณและพละกำลังในร่างกายก็เพิ่มขึ้นตามจนเพิ่มระดับสูงขึ้นจนน่าใ!
ขั้น์ระดับสมบูรณ์!
ขั้นเทวิญญาระดับต้น!
...
ชั่วพริบตาเดียวข้าก็บรรลุไปถึงสองระดับในที่สุดพลังของหญ้าิญญาเพลิงก็ทำให้ข้าเข้าสู่ขั้นเทวิญญาจนได้!
แข็งแกร่ง! ถือเป็คำที่เหมาะสำหรับร่างกายของข้าในตอนนี้พละกำลังในร่างกายเพิ่มขึ้นจนน่าใความรู้สึกร้อนรุ่มไหลเวียนไปทั่วทำให้ร่างกายเกิดการพัฒนาขึ้นอย่างมากและอีกอย่างคือพลังประจำกายที่ผู้ฝึกฝนในขั้นเทวิญญาควรจะมีก็แข็งแกร่งขึ้นด้วยและเมื่อก้าวเข้าสู่ขั้นเทวิญญา การสลายและดูดซึมของจินตานและสิ่งต่างๆที่้าก็จะเร็วขึ้นกว่าเดิม!
เพราะแบบนี้จินตานระดับเจ็ดที่ซูซีอวี๋ให้มาจึงเริ่มสลายอย่างช้าๆแต่ถึงจะช้าก็ดีกว่าเมื่อก่อนที่ไม่รู้ว่าจะสลายมันได้เมื่อไร
หลังจากที่ฝึกฝนอย่างเหน็ดเหนื่อยร่างกายก็ประท้วงว่าตอนนี้ข้าควรจะพักผ่อนได้แล้ว...
แม้ว่าการก่อกองไฟตั้งแคมป์นอนจะสามารถไล่พวกสัตว์ิญญาได้ก็จริงแต่ก็ทำให้พวกนักล่าสัตว์คนอื่นๆ รู้ตำแหน่งของข้าได้เหมือนกันดังนั้นจะต้องใช้วิธีการผูกเปลนอนบนต้นไม้ นอกจากสัตว์ิญญาจะเข้าหาข้าไม่ได้แล้วพวกนักล่าสัตว์ก็จะไม่รู้ที่อยู่ของข้าเหมือนกัน
หลังจากตรวจดูบริเวณรอบๆต้นไม้แล้วจึงเรียกกระบี่คมจันทราออกมาฟันพุ่มไม้เตี้ยแถวนั้นมาสานเป็เปลนอนไว้บนกิ่งไม้สองกิ่งจนตรงกลางกลายเป็แอ่งเล็กๆใบไม้แถวนั้นถูกนำมาทำเป็เบาะรองเสริมความนุ่มข้าทำมันอย่างชำนาญเพราะเมื่อครั้งที่ต้องใช้ชีวิตในป่าสามปีการทำเปลนอนบนต้นไม้ก็เป็หนึ่งในวิธีการเอาตัวรอดเช่นกัน
หลังจากนั้นไม่นานก็เอาตะกร้าใส่ของขึ้นไปนอนกอดอยู่บนเปลนอนที่นุ่มนิ่มจนสามารถนอนได้อย่างสบายๆ
การนอนหลับพักผ่อนที่เพียงพอเป็สิ่งจำเป็ของผู้ฝึกฝนิญญาทุกคนเพราะถึงแม้จะแข็งแกร่งขนาดไหนร่างกายก็ยังเป็กล้ามเนื้อที่รวมตัวกันดังนั้นการนอนหลับจึงเป็สิ่งที่จำเป็อย่างมาก
...
เมื่อหลับตาลงก็เข้าสู่ห้วงนิทราที่สนิทและสบาย
ตื่นขึ้นมาอีกทีในตอนเช้าเมื่อเห็นว่ามีแสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามายังใบหน้าเมื่อลืมตาก็พบว่ามีพลังิญญากำลังลอยวนอยู่เหนือหน้าอกอย่างมีความสุขเมื่อเห็นแบบนั้นจึงอดยิ้มออกมาไม่ได้ เพราะมันคือ ‘รุ่งอรุณิญญา’ที่บ่งบอกว่าพลังิญญาในตัวของผู้ฝึกฝนได้ผสานเข้ากับธรรมชาติอย่างสมบูรณ์แบบทำให้รู้ว่าข้าได้เข้าสู่ขั้นที่พบเห็นได้น้อยมาก ซึ่งจะคล้ายกับ “ศิลา์”ที่หมายความว่าพละกำลังพุ่งพรวดขึ้นมาอย่างรวดเร็วและรุนแรงแต่เมื่อก้มลงไปดูแล้วก็ต้องผิดหวัง เมื่อข้ายังไม่มีศิลา์แต่กลับเป็เสียงของกระเพาะที่ร้องออกมาด้วยความหิวแทนเพราะหลังจากที่ผ่านการฝึกฝนอย่างหนักหน่วงมาเมื่อคืนก็ทำให้ท้องว่างเปล่าไปหมดแล้ว
ถึงแม้ว่าตอนนี้ปริมาณอาหารการกินของข้าจะลดลงตามขั้นการบำเพ็ญที่เพิ่มขึ้นแต่ก็ยังต้องกินเป็สองเท่าของคนปกติอยู่ดี
สายตามองไปตามต้นเสียงที่ดังขึ้นมาจากไม่ไกลกระต่ายป่าตัวหนึ่งกำลังะโอยู่ในพงหญ้าไกลออกไปประมาณสิบเมตรโดยหูของมันตั้งขึ้นเหมือนกำลังสำรวจสิ่งอันตรายรอบตัวเมื่อต้องมาเจอกับข้าก็ถือว่าเป็โชคร้ายของมันก็แล้วกัน แต่ถ้าจะโทษข้าก็ไม่ได้เพราะมันวิ่งเข้ามาหาข้าเอง!
กิ่งไม้ใกล้มือถูกหยิบขึ้นมา ข้าสูดลมหายใจเข้าลึกด้วยพลังของการผสานจิติญญาเข้ากับร่างจับไม้ให้มั่นแล้วพุ่งออกไปด้วยความรุนแรง ฉึบ!เสียงของกิ่งไม้ปักลงบนตัวของกระต่ายตัวนั้นทำให้ข้ารู้ว่ามีอาหารเช้าให้กินแล้ว!
ข้าะโลงมาจากต้นไม้แล้วนำกระต่ายไปถอนขนถลกหนังกระต่ายอ้วนตัวนี้ดูแล้วน่าจะหนักเกือบสามกิโลหลังจากจัดการเสร็จเรียบร้อยก็เอาขึ้นเตาย่างหยิบเครื่องปรุงออกมาจากตะกร้าแล้วโรยลงบนตัวของมันอย่างดิบดีโชคดีที่ข้าเตรียมตัวมาอย่างดีไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ต้องกินอิ่มนอนอุ่นเอาไว้ก่อน!
ไม่นานกลิ่นของมันก็ลอยเตะจมูก ย่างกระต่ายป่านี่มันหอมเสียจริง!
หลังจากที่มันสุกก็เริ่มกินลงท้องเวลาผ่านไปไม่ถึงสิบนาทีก็เหลือแต่กระดูกที่ร่วงหล่นลงพื้นล้างมือล้างปากอย่างดิบดีก็รับรู้ถึงพลังที่เพิ่มมากขึ้นเส้นเืและพลังิญญาที่ไหลเวียนทั่วร่างกายให้ความรู้สึกอบอุ่นซึ่งแฝงไปด้วยความแข็งแรงและดูเหมือนว่าหลังจากที่ร่างกายเกิดการพัฒนาก็รู้สึกแข็งแกร่งขึ้นจนเห็นได้ชัดเลยทีเดียว!
ตอนนี้ข้ายังอยู่ที่หุบเขาหลิงหยุนชั้นที่เจ็ดจึงเร่งฝีเท้าเดินหน้าเพราะจุดหมายอยู่ในชั้นที่หกขอแค่ไม่เข้าไปจนข้ามเขตถึงหุบเขาชั้นที่ห้าเป็พอเพราะนอกจากจะลึกเกินไปยังทำให้สัตว์ิญญาระดับหกออกมาได้ง่ายอีกต่างหากและถ้าเป็แบบนั้นจริงๆ ข้าก็คงจะรอดยากซึ่งการเข้าไปในหุบเขาชั้นที่หกถือเป็การท้าทายความสามารถของตัวเองมากพอแล้วถ้ายังรั้นที่จะเข้าไปในขั้นที่ห้าก็หมายความว่าข้าทำเื่เกินตัวหรือพาตัวเองไปตายอย่างที่คนอื่นว่าไว้เพราะหุบเขาหลิงหยุนั้แ่ชั้นที่ห้าเข้าไปต่างก็มีกองกระดูกและซากศพเกลื่อนกลาดซึ่งเป็พวกทหารรับใช้ที่อวดเก่งทั้งนั้น
เดินไปได้ไม่ไกลก็มีแสงวิบวับของผลไม้ดึงดูดความสนใจของข้าให้เข้าหา
นึกไม่ถึงว่าเถาวัลย์ที่ไม่รู้ชื่อต้นนี้จะมีผลไม้งอกออกมาถึงสองลูกแถมยังเป็ผลไม้ที่ข้าไม่รู้จักอีกต่างหาก ไม่รู้ล่ะ เด็ดลงมาก่อนค่อยว่ากันทีหลัง
สวบ!
เท้าทั้งสองข้างใช้พลังของเพลงขาเมฆาหมอกะโขึ้นไปเหมือนลิงลมเมื่อะโเข้าไปใกล้ก็พบว่าเป็ผลไม้ที่เต็มไปด้วยไอิญญาซึ่งลักษณะของมันคือมีเปลือกเรียงกันเป็กลีบห่อหุ้มไว้พร้อมกับแสงสีส้มแดงที่เรืองรอง
ลิ้นจี่ประกายส้ม! ถือเป็ลิ้นจี่ชนิดหนึ่งที่เต็มไปด้วยไอิญญาเมื่อกินแล้วจะเพิ่มพลังิญญาให้มากขึ้นเล็กน้อยซ้ำยังช่วยบำรุงลมปราณและพละกำลังที่เสียไปจากการฝึกฝนได้อีกด้วยซึ่งที่ร้านหอเจ็ดเทพก็มีผลไม้ชนิดนี้ขายในราคาสองถึงสามหมื่นเหรียญหลงหลิงเหมือนกันแต่ไม่ว่าความสดใหม่หรือพลังิญญาก็ไม่เหมือนกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าข้าตอนนี้เลยสักนิด
ฟ่อ! ฟ่อ!...
จู่ๆ งูพิษก็เลื้อยลงมาจากกิ่งไม้้าซึ่งเป็สัตว์ิญญาระดับสองอย่างงูเขียวใบไผ่นึกไม่ถึงว่าสัตว์ิญญาที่ปกป้องของล้ำค่าอย่างนี้จะเป็แค่งูกระจอกๆ ตัวหนึ่ง!
ข้าปล่อยพลังวาตะพิฆาตจากฝ่ามืออย่างไม่ต้องคิดให้เสียเวลาก่อนจะจับมันโยนทิ้งลงไปบนพื้น ซึ่งจะเป็หรือตาย ข้าไม่ได้สนใจสักนิด เพราะดีงูของสัตว์ิญญาระดับสองของมันไม่มีประโยชน์ต่อคนที่อยู่ในขั้นเทวิญญาอย่างข้าแม้แต่น้อย
กินดีงูของมันก็ไร้ประโยชน์แต่กับลิ้นจี่ประกายส้มนี้ไม่เหมือนกัน!
ความหวานส่งผ่านลิ้นเข้าสู่ร่างกาย ก่อนที่ข้าจะกลืนมันลงไปความรู้สึกสบายไหลลงท้องอย่างรวดเร็วถึงแม้จะไม่ใช่ผลไม้วิญาณอย่างที่คิดไว้แต่ก็ถือว่าเป็ผลไม้ที่มีรสชาติอร่อยมากชนิดหนึ่งเลยแหละ
หลังจากได้ลิ้มรสชาติของมันแล้วก็ะโลงจากต้นไม้และเริ่มเดินทางต่อ!
ข้าแอบคิดอยู่ในใจว่าตอนนี้ข้ามีพลังของขั้นเทวิญญาระดับต้นพลังของวิชาลมหายใจัขั้นที่แปดและยังมีพลังขั้นที่ห้าของเคล็ดวิชาาและเพลงขาเมฆาหมอกรวมไปถึงพลังของพร์การกลืนกินในตัวก็มากพอที่จะสังหารสัตว์ิญญาระดับห้าได้แล้วส่วนเื่ที่ว่าหากได้ต่อสู้และสัตว์ิญญาระดับหกก็ยังพอสู้ได้นิดหน่อย แต่ถ้ามากกว่านั้นคงจะต้องหนีเอาชีวิตรอดให้เร็วที่สุด
ในเมื่อเป็แบบนี้หุบเขาหลิงหยุนชั้นที่หกจึงเป็สถานที่ที่เหมาะที่สุด!
ขณะกำลังมุ่งหน้าไปยังหุบเขาหลิงหยุนชั้นที่หกก็ได้ยินเสียงชายแก่ที่ค่อนข้างคุ้นหูให้ตายเถอะ! ทำไมต้องมาเจอคนพวกนี้ด้วยนี่ย?
เสียงของปรมาจารย์นักรบิญญาอย่างข่าถูดังอยู่ไม่ไกล “หวังอี้ระวังเกราะรบของเ้าด้วย!”
ข้าไต่ขึ้นไปบนต้นไม้สูงอีกครั้งเพื่อมองหาต้นเสียงเมื่อมองออกไปก็เห็นศิษย์ของสำนักหมื่นิญญาห้าคนกำลังต่อสู้กับสัตว์ิญญาระดับห้าอยู่โดยทั้งห้าคนนั้นคือเชวียนหยวนจิ้น ไอลา หวังอี้ หลี่สวินและหลินเค๋อส่วนปรมาจารย์นักรบิญญาที่อยู่ข้างๆ ก็คือข่าถูนึกไม่ถึงว่าการมาของข้าครั้งนี้จะต้องมาเจอกับศิษย์ห้องหนึ่งของสำนักจวี๋ฉีที่กำลังสู้กับสัตว์ิญญาอยู่!
ซึ่งสัตว์ิญญาระดับห้าตัวนั้นคือวัวดินพฤกษาที่มีน้ำหนักกว่าเจ็ดถึงแปดตันมันวิ่งวนไปทั่วบริเวณ ขาหน้าของมันกระทืบลงบนพื้นจนฝุ่นฟุ้งร่างอันใหญ่โตปกคลุมไปด้วยพลังิญญาที่หนาแน่นโดยทุกครั้งมันจะวิ่งมาทำลายพลังของพวกเชวียนหยวนจิ้นและคนอื่นๆ จนแตกกระจายและใช้เขาของมันขวิดจนการป้องกันของพวกนั้นแตกเป็เสี่ยงๆ!
“อืม นอนดูอะไรสนุกๆ ดีกว่า...”
ข้านั่งลงบนกิ่งไม้ใหญ่แล้วล้วงเอาผลไม้ป่าที่เพิ่งเก็บขึ้นมากินไปพลางๆ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้