เห็นได้ชัดว่านักรบระดับหัวกะทิของตระกูลเย่ทั้งสามคนนี้น่าจะได้รับคำสั่งจากเย่สือซานให้มาทดสอบนักรบเผ่าคนเถื่อนในสามด้านคือ ด้านพละกำลัง ด้านพลังป้องกันและด้านการโจมตี เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลนำมาคาดคะเนพลังฝีมือโดยรวม ต่อไปหากเกิดการสู้รบขนาดใหญ่กับพวกเผ่าคนเถื่อนจะได้เตรียมการรับมือได้อย่างสบายมากยิ่งขึ้น
“เอาละ! จัดการกับมันทั้งสามซะ!”
ผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง นักรบของทั้งสองฝ่ายประมือกันไปสิบกว่าครั้ง เสียงพูดของเย่สือซานดังขึ้นอย่างเ็า นักรบระดับหัวกะทิจำนวนสิบกว่าคนลงมือพร้อมๆ กันอย่างรวดเร็ว ตั้งค่ายกลโอบล้อมเริ่มโจมตีเข้าใส่นักรบเผ่าคนเถื่อนทั้งสามในทันที
“%#ตระกูลเย่¥&ตาย...” นักรบเผ่าคนเถื่อนทั้งสามร้องคำรามออกมาอย่างไม่ยินยอมแล้วก็ล้มลงสู่พื้น ดวงตากลมใหญ่ที่ราวกับลูกตาวัวถลนปูดโปนออกมาคล้ายกับว่าตายตาไม่หลับฉันนั้น
“นายน้อย ไปดูกันว่าแหวนของพวกมันอยู่ในระดับใด!” เย่สือซานพยักหน้าพอใจกับผลงานของนักรบของตระกูลเย่ทั้งสิบคน จากนั้นเดินเข้ามาหาเย่ชิงหานแล้วเอ่ยขึ้น
อืม! มีคะแนนให้เก็บอีกแล้ว เย่ชิงหานก็อยากจะรู้เช่นเดียวกันจึงรีบเดินเข้าไปยังร่างของนักรบเผ่าคนเถื่อนทั้งสามแล้วถอดแหวนทั้งสามวงออกมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นนำไปแนบกับแหวนสีเหลืองบนนิ้วของตนเอง ตัวเลขที่อยู่ข้างๆ ตัวอักษร “า” ที่อยู่บนตัวแหวน จากเดิมที่เป็ “เลขสิบ” ตอนนี้กลายเป็” เลขสามสิบห้า” ขึ้นมาแทน
“นักรบเผ่าคนเถื่อนระดับขอบเขตขุนพลคนเถื่อนสามคน”
เย่ชิงหานหันไปพูดกับเย่สือซาน สิ่งที่ปรากฏออกมาไม่ต่างจากที่พวกเขาคาดคิดเอาไว้ ระดับขอบเขตพลังฝีมือเทียบได้กับขอบเขตเยี่ยมยุทธ์ของเผ่ามนุษย์ ส่วนพละกำลังและพลังป้องกันกลับแข็งแกร่งกว่าจนอาจจะเทียบได้กับระดับขอบเขตนักรบ พวกมันอาศัยเฉพาะแค่พละกำลังทางร่างกายเพียงเท่านั้น ไม่ได้ฝึกฝนพลังปราณรบหรือวิชาต่อสู้ใดๆ ดังนั้นเมื่อทำการต่อสู้จึงมีเพียงแค่พละกำลังมหาศาลที่ติดตัวมาแต่กำเนิดและพลังการป้องกันที่แข็งแกร่งอย่างน่ากลัว รูปแบบการต่อสู้จึงง่ายดายไม่ซับซ้อน
ครั้งนี้นักรบสาวของตระกูลเยว่แม้สีหน้าอาการจะดูไม่ดีนัก แต่จำนวนของผู้ที่ทำท่าอาเจียนออกมานั้นลดน้อยลงไปมากเนื่องจากผ่านการอาเจียนกันมาแล้วรอบหนึ่งตลอด่บ่าย อีกทั้งนักรบเผ่าคนเถื่อนทั้งสามคนเพียงแค่ถูกอาวุธแทงจนตาย ไม่ได้ถูกทุบจนแหลกเละเหมือนคราวที่เฟิงจื่อลงมือ
นักรบของตระกูลเย่ช่วยกันลากร่างของนักรบเผ่าคนเถื่อนออกไปกลบฝัง ส่วนคนอื่นๆ ที่ทำการเฝ้าระวังภัยและตั้งมั่นรักษาการณ์อยู่ก็ทำต่อไป ที่เหลือต่างกลับมายังสระน้ำเพื่อพักผ่อนต่อ
พวกเย่ชิงหานกลับมาถึงยังสระน้ำก็รวมตัวปรึกษาหารือกันอีกครั้งเกี่ยวกับเื่การแบ่งงานกันทำ เพราะพวกเขาไม่ได้คิดที่จะอยู่ตั้งมั่นรักษาการณ์ในที่แห่งนี้แค่วันสองวัน แต่จะอยู่ยาวเป็เวลาหลายเดือน ตามประสบการณ์ของตระกูลฮวา งานประลองาระหว่างเขตปกครองสามเดือนแรกค่อนข้างจะชุลมุนวุ่นวาย เนื่องจากค่ายกลเคลื่อนย้ายล่องหนจำนวนมากที่ยังไม่ถูกค้นพบ ทำให้เหล่านักรบที่เข้าร่วมงานต่างถูกเคลื่อนย้ายส่งสุ่มไปยังที่ต่างๆ ภายในป่ามายาพิศวง
ใน่เวลาสามเดือนแรกนี้ทุกคนดักซุ่มรออยู่ที่สระสังหารมารแห่งนี้จะเป็การดีที่สุด ทั้งเก็บคะแนนได้โดยง่าย ทั้งได้ฝึกการร่วมมือสอดประสานกันให้ชำนาญ รวมทั้งอาศัยการดักฆ่านักรบของเผ่าปีศาจและเผ่าคนเถื่อนเก็บข้อมูลรูปแบบและวิชาการต่อสู้ของพวกมันได้เป็อย่างดีอีกด้วย
หลังจากผ่านมติในที่ประชุม ทุกคนตัดสินใจให้สับเปลี่ยนเวรกันเฝ้าระวังภัย สองร้อยคนแบ่งเป็สองหน่วย หากไม่ได้มีนักรบเผ่าปีศาจและเผ่าคนเถื่อนปรากฏตัวเป็จำนวนมากให้หน่วยที่มีเวรรับผิดชอบจัดการกับนักรบต่างเผ่าด้วยตนเอง แต่ถ้าหากปรากฏนักรบต่างเผ่าออกมาเป็จำนวนมาก หรือว่ามีพลังฝีมือที่ค่อนข้างแข็งแกร่งดุดัน ให้รีบส่งสัญญาณเตือนภัยเพื่อเรียกกองกำลังทั้งหมดออกไปช่วยเหลือ นักรบระดับหัวกะทิที่มีพลังฝีมืออยู่ในระดับขอบเขตจ้าวนักรบทั้งเจ็ดคน ทำการแบ่งออกมาสามคนเพื่อนั่งรักษาการณ์ยังตำแหน่งทิศตะวันออก ตะวันตก และทิศเหนือทั้งสามทิศทางตามจุดที่มีค่ายกลเคลื่อนย้ายล่องหนอยู่ค่อนข้างหนาแน่น
หากมีนักรบต่างเผ่าที่มีพลังฝีมือในระดับสูงปรากฏออกมา และหน่วยที่เป็เวรเฝ้ารักษาการณ์ไม่สามารถจะต่อกรได้นักรบที่มีพลังฝีมือระดับขอบเขตจ้าวนักรบที่นั่งรักษาการณ์อยู่ใกล้ที่สุดก็สามารถรีบเร่งเข้าไปช่วยเหลือจัดการได้อย่างทันท่วงที
ภารกิจลับในชื่อ “ปฏิบัติการล่า” ได้ถูกดำเนินการขึ้นอย่างเป็ทางการ ทุกคนเริ่มแยกย้ายกันทำหน้าที่ของตนเองในทันที ที่เฝ้าระวังภัยก็เฝ้าระวังไป ที่พักผ่อนก็พักผ่อนไป ที่ฝึกยุทธ์ก็ฝึกยุทธ์ไป
ความมืดค่อยๆ คืบคลานเข้ามา เย่ชิงหานกลายมาเป็หนึ่งในสมาชิกของหน่วยเฝ้าระวังภัยหน่วยแรกอย่างไม่อาจจะบอกปัดความรับผิดชอบได้ เขาที่นั่งขัดสมาธิอยู่และมีนักรบระดับหัวกะทิอีกสิบคนซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้ที่อวบใหญ่ดูแข็งแรงต้นหนึ่งด้วยกัน ละแวกใกล้เคียงต้นไม้ใหญ่รัศมีห้าร้อยเมตรมีค่ายกลเคลื่อนย้ายล่องหนอยู่หลายแห่ง ภารกิจของพวกเขาคือเฝ้าระวังค่ายกลเคลื่อนย้ายทั้งแปดแห่งนี้ หากมีนักรบต่างเผ่าปรากฏตัวออกมาในปริมาณน้อยก็ให้ลงมือจัดการเองได้เลย แต่ถ้าหากมีปริมาณมากหรือมีพลังฝีมือที่ไม่อาจจะต่อกรได้ก็ให้ส่งสัญญาณเรียกระดมพลเพื่อให้มาช่วยเหลือสังหาร
ค่ายกลเคลื่อนย้ายที่อยู่ข้างล่างถูกคนของตระกูลฮวาติดตั้งกลไกขนาดเล็กน่าอัศจรรย์ไว้ ขอแค่เพียงค่ายกลเคลื่อนย้ายมีศัตรูปรากฏออกมากลไกที่ติดตั้งไว้จะส่งเสียงเบาๆ ออกมาให้ได้ยิน เป็สัญญาณเตือนให้เตรียมแผนการต่อสู้รับมือและทำการสังหารศัตรูให้ได้อย่างเร็วที่สุด
พระจันทร์สีเงินค่อยๆ เลื่อนลอยเด่นขึ้นมาบนนภา ลมร้อนจากทะเลที่อยู่ห่างไกลพัดโชยมาอย่างแ่เบา ทำให้ผู้คนเกิดความรู้สึกง่วงเหงาหาวนอนขึ้นมา
เย่ชิงหานกลับไม่ได้มีความรู้สึกง่วงนอนเลยแม้แต่น้อย และแน่นอนว่าไม่กล้าที่จะนอนด้วย หลังจากที่ประชุมหารือกันเสร็จเรียบร้อยเย่ชิงหานก็กำหนดแผนการฝึกฝนตลอดทั้งสามเดือนให้กับตนเองขึ้น ระยะเวลาสามเดือนต่อจากนี้สำหรับเขาเป็สิ่งที่มีค่ามากอย่างยิ่ง สระสังหารมารเป็สถานที่พิเศษเช่นนี้หากเขายังไม่รู้จักทะนุถนอมรักษาโอกาสนี้ไว้ เช่นนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับคนโง่
ตลอดระยะเวลาทั้งสามเดือนนอกจากเวลาที่จำเป็จริงๆ แล้ว ที่เหลือเขาคิดที่จะใช้ในการฝึกฝนทั้งหมด พลังฝีมือเพียงแค่ระดับขั้นแรกขอบเขตเยี่ยมยุทธ์อย่างเขา นักรบต่างเผ่ามากมายที่อยู่บนเกาะแห่งความมืดมิดนี้สามารถสังหารเขาให้ตายได้ในพริบตา อันตรายที่มีอยู่ทั่วทุกอณูบนเกาะไม่รู้ว่าตนเองจะพบเจอเมื่อไหร่ เหมือนกับลมร้อนแห่งท้องทะเลที่พัดโชยมาัักับใบหน้าอยู่ตลอดแต่ไม่รู้ว่ามันจะมาจากทิศทางใดและเมื่อไหร่เท่านั้นเอง การพยายามฝึกฝนให้หนักมากยิ่งขึ้นไม่เพียงแต่เพื่อพัฒนาตนเองให้แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ แต่ยังทำเพื่อน้องสาวที่นอนเป็เ้าหญิงนิทราที่ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายอีกด้วย ฉะนั้นตนเองจะต้องแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ แข็งแกร่งแบบไม่ต้องสนใจต่ออะไรทั้งนั้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งนับั้แ่เขากลับมาจากเมืองหมันในครั้งนั้นก็เคยชินกับคำว่าผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้นคือจ้าว ความรู้สึกแห่งความสุขสบายของผู้ที่สามารถกุมชะตาชีวิตของตนเองได้ รวมทั้งฐานะของเขาเมื่อครึ่งปีก่อนกับครึ่งปีนี้แตกต่างกันราวฟ้าดิน มันทำให้เขาเข้าใจได้เป็อย่างดีว่าบนโลกใบนี้หากเ้าไม่มีพลังฝีมือ แม้แต่กองขี้หมาเ้าก็ยังไม่มีค่าเทียบเท่า...
ดังนั้น เขาจึงได้กำหนดตารางเวลาของตนเองไว้ ขอเพียงมีเวลาจะต้องทำการฝึกฝนในทันทีเก็บสะสมพลังปราณรบเพื่อเลื่อนขั้นระดับพลังฝีมือ เขาเข้าใจข้อได้เปรียบตนเองดี หลังจากรวมร่างกับอสูรศักดิ์สิทธิ์เสี่ยวเฮย พลังฝีมือของเขาจะเพิ่มขึ้นถึงหนึ่งระดับขอบเขตใหญ่ จากระดับขั้นแรกขอบเขตเยี่ยมยุทธ์เพิ่มขึ้นถึงระดับขั้นแรกขอบเขตนักรบ และยังมีวิชาต่อสู้ร่างอสูรที่อยู่เหนือกฎเกณฑ์์นั่นอีก สามารถโจมตีทะลุผ่านการป้องกันทางวัตถุที่เป็สสารเข้าไปถึงดวงิญญาโดยตรง ทำให้ศัตรูเกิดอาการหน้ามืดวิงเวียนศีรษะขาดสติเสียการควบคุมไปชั่วเวลาหนึ่ง ดังนั้น ต่อให้เป็ผู้มีพลังฝีมือในระดับขอบเขตนักรบขอเพียงแค่ให้เขาเข้าไปอยู่ในระยะโจมตีได้ ไม่ว่าใครเขาก็สามารถจัดการได้ในพริบตา
เขาเคยถามเย่ชิงหนิวว่าพลังิญญาสามารถแยกฝึกต่างหากได้หรือไม่? ในความคิดของเขาหากพลังิญญาสามารถแยกฝึกได้ต่างหากเขาจะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อเพิ่มพูนระดับพลังิญญาให้ได้มากที่สุด แต่คำตอบของเย่ชิงหนิวทำให้เขาอับจนด้วยปัญญา ก่อนที่จะบรรลุถึงระดับขั้นขอบเขตาาจักรพรรดิ ระดับพลังิญญาจะเพิ่มสูงขึ้นตามการฝึกฝนพลังปราณรบ ระดับขั้นฝีมือที่เพิ่มสูงขึ้นพลังิญญาก็จะเพิ่มสูงขึ้นตาม นอกเสียจากว่ามียาประเภทยาิญญาเทวะที่เป็ของล้ำค่าหายากที่ใช้เพิ่มพลังิญญา หรือการเข้าสู่สภาวะความสงบแห่งิญญาดังเช่นที่เขาเคยเข้าเมื่อตอนอยู่ตระกูลเยว่ที่เกาะแห่งทะเลสาบแห่งความเงียบสงบ เช่นนี้ก็สามารถเพิ่มระดับพลังิญญาได้เช่นเดียวกัน
ยาิญญาเทวะล้ำค่าหายากเพียงใดไม่ต้องพูดถึง ส่วนสภาวะความสงบแห่งิญญา นับั้แ่ออกมาจากตระกูลเยว่เขาก็ทดลองเพื่อที่จะเข้าให้ถึงสภาวะเช่นนั้นอยู่เรื่อยๆ แต่ทำอย่างไรก็เสาะหาหนทางเข้าไม่ได้สักที...
ตอนนี้จึงทำได้เพียงแค่เพิ่มพลังฝีมือทางด้านพลังปราณรบอย่างเดียว เขาสาบานอยู่ภายในใจว่าจะต้องเลื่อนขั้นพลังฝีมือให้บรรลุถึงระดับขอบเขตนักรบให้ได้ก่อนที่งานประลองจะสิ้นสุดลง ถ้าหากพลังฝีมือบรรลุถึงระดับขอบเขตนักรบได้ละก็ หลังจากรวมร่างกับเสี่ยวเฮยพลังฝีมือก็จะบรรลุไปถึงระดับขอบเขตจ้าวนักรบ
ถึงเวลานั้นแม้ว่าพวกเย่อีจะเก็บสะสมได้ไม่ถึงเป้าที่ตั้งไว้ แต่ตนเองก็ยังสามารถเสี่ยงดวงเลือกสังหารนักรบต่างเผ่าที่มีพลังฝีมือในระดับขอบเขตราชันย์ปีศาจและราชันย์คนเถื่อนเพื่อเก็บคะแนนเพิ่มเติมเองได้เมื่อถึงตอนการสู้รบตัดสินสุดท้าย แล้วนำมาแลกยาิญญาเทวะ...
สั่งกำชับนักรบลูกหลานของตระกูลเย่ที่อยู่ข้างๆ ให้เรียกเขาเมื่อมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น จากนั้นจึงนั่งขัดสมาธิเริ่มทำการฝึกฝนพลังปราณรบขึ้น ในสมุดบันทึกแก่นแท้วรยุทธ์ที่เย่เตาบิดาของเขาเหลือทิ้งไว้บอกไว้อย่างชัดเจนว่า ผู้ฝึกยุทธ์ั้แ่ระดับขอบเขตเยี่ยมยุทธ์ลงไปล้วนอาศัยพร์ที่มีมาแต่กำเนิด แต่หลังจากระดับขอบเขตเยี่ยมยุทธ์ขึ้นไปล้วนอาศัยความมุมานะในการฝึกฝน ตระกูลเฟิงเมื่อสามร้อยปีก่อนปรากฏผู้มีพร์ที่ทำให้สั่นะเืไปทั่วทั้งทวีป อายุเพียงแค่เจ็ดปีฝึกฝนจนบรรลุถึงระดับขอบเขตเยี่ยมยุทธ์ เพียงแต่ว่าต่อมาเขาผู้นั้นเกียจคร้านต่อการฝึกฝนทำให้พลังฝีมือไม่ได้สูงเท่าใดนัก
แม้ว่าเย่ชิงหานจะพัฒนาฝีมืออย่างรวดเร็วภายในไม่กี่เดือนจนทำให้ผู้คนทั่วทั้งตระกูลเย่ต่างตกตะลึงและประหลาดใจไปตามๆ กัน แต่เขารู้ว่าหากไม่มุมานะพากเพียรฝึกฝนเหมือนกับสิบปีก่อนที่เคยทำมา จุดจบสุดท้ายของเขาก็จะไม่ต่างจากผู้มีพร์ที่สั่นะเืไปทั่วทั้งทวีปของตระกูลเฟิงผู้นั้นอย่างแน่นอน เจิดจรัสแค่เพียงวูบเดียวแล้วก็มอดดับไปตลอดกาล
ไม่เพียงแค่พลังปราณรบที่ต้องใช้เป็จำนวนมากในการบีบอัดให้เป็สถานะของเหลวเพื่อเติมให้เต็มตันเถียน แต่ยังรวมไปถึงการมีอยู่ของอสูรศักดิ์สิทธิ์เสี่ยวเฮยที่ดูดกลืนพลังปราณรบไปเป็จำนวนมากเพื่อการเติบโต จึงทำให้เย่ชิงหานยิ่งต้องมุมานะในการพากเพียรฝึกมากขึ้นอีกหลายเท่าตัว
อาจจะเป็เพราะในตอนกลางคืนทำให้ง่ายต่อการััถูกค่ายกลเคลื่อนย้ายที่ล่องหนอยู่ นักรบของทั้งสามเผ่าไม่เลือกที่จะเดินทางในตอนกลางคืน แต่เลือกหาที่หลบนอนพักผ่อนร่างกายและจิตใจเสียมากกว่า เวลาตลอดทั้งคืน นอกจากนักรบเผ่าคนเถื่อนที่ดวงซวยคนหนึ่งถูกค่ายกลเคลื่อนย้ายเคลื่อนย้ายมาทางทิศตะวันตกที่ฮวาเฉ่าอยู่ และถูกคนของฮวาเฉ่าจัดการไป นอกจากนั้นก็ไม่ได้มีนักรบของเผ่าปีศาจหรือเผ่าคนเถื่อนถูกค่ายกลเคลื่อนย้ายเคลื่อนย้ายส่งมาอีกเลย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้