“เซี่ยวอี๋! เกิดเื่แล้ว ในห้องเกิดอะไรขึ้น?” ในขณะที่เสิ่นิกรอกเสียงลงไปในหูฟัง เท้าของเขาก็เตะไปยังกล่องดับเพลิงที่อยู่บริเวณทางเดิน เขาดึงหัวฉีดดับเพลิงสีแดงออกมาจากตู้
“หลินฝานและฟางหยวนกำลังต่อสู้กันอยู่! บ้าเอ๊ย เฟอร์นิเจอร์ที่เพิ่งจะซื้อมาพังเละหมดแล้ว!” เซี่ยวอี๋ร้องลั่นหน้ากล้องโทรทรรศน์
“เดี๋ยวมันได้เจอดีแน่!” เสิ่นิโบกขวานอันแหลมคมเข้ากับแผ่นเหล็กนิรภัย ท้ายที่สุดแล้วมันก็ไม่ใช่รถหุ้มเกราะ แผ่นเหล็กของประตูนิรภัยแท้จริงแล้วบางมาก ด้านในมีแต่ฉนวนกันไฟและฉากเก็บเสียง
เสิ่นิเหวี่ยงขวานใส่ล็อกประตูด้วยท่าทางราวกับกำลังตัดต้นไม้อยู่ เสียงดังครึกโครมจนกระทั่งเพื่อนบ้านต่างก็พากันเปิดประตูออกมาดู
“เข้าไป!” เสิ่นิคำราม เพื่อนบ้านที่คิดจะออกมาดูต่างก็พากันมุดหัวกลับเข้าไปในห้อง มีบางคนกดโทร.แจ้ง 110
ผ่านไปสักพัก เสียงใบพัดก็ดังกระหึ่มเหนือท้องฟ้า
“เซี่ยวอี๋! เฮลิคอปเตอร์จอดอยู่ที่ไหน?” เสิ่นิรู้สึกว่าบางอย่างไม่ถูกต้อง
“ที่ดาดฟ้าของอะพาร์ตเมนต์ มันปล่อยเชือกลงมาแล้ว เชือกโปรยลงมาที่ห้องฟางหยวน!” เซี่ยวอี๋ร้องด้วยความตื่นตระหนก
ภายในห้อง ฟางหยวนล้มตัวลงบนพื้น หญิงสาวจ้องมองเฟอร์นิเจอร์ซึ่งพังจนไม่เหลือชิ้นดี เซ็งจริงๆ ต้องเปลี่ยนอีกแล้ว
“ไม่เจอหน้ากัน 3 ปี ฝีมือรุดหน้าขึ้นนะ” หลินฝานลูบแก้มซึ่งโดนซัดเข้าไป เขารู้สึกปวดจี๊ดตรงบริเวณกราม “น่าเสียดาย ที่รุดหน้าขึ้นไม่มากเท่าไร”
“พี่คิดจะทำอะไร?” ฟางหยวนหมดเรี่ยวหมดแรง
“แน่นอนว่าพี่จะทำกับเธออยู่แล้ว เพียงแต่ต้องส่งตัวเธอไปให้ ‘เ้านาย’ ก่อน เงินถึงจะเข้าบัญชี 2 ล้าน ถึงแม้จะไม่มาก แต่ถ้าได้เอาเธอ ก็ถือว่าคุ้มค่าตั๋วเครื่องบินที่บินกลับมาแล้ว” หลินฝานคว้าจับเชือกที่ห้อยอยู่ด้านนอกหน้าต่าง เขาใช้เข็มขัดล็อกตัวเขากับฟางหยวน
“อาจารย์รักพี่มากนะ พี่ทำเื่อย่างนี้ได้ยังไง” ฟางหยวนกล่าวด้วยความผิดหวัง
“ตาแก่นั่นรักพี่เหรอ? เธอรู้ไหมว่าทำไมตอนพี่ 19 ถึงต้องวิ่งโล่ไปแข่งท้าแชมป์ที่ประเทศไทย? เพราะไอ้เฒ่านั่นมันไล่พี่ออกจากโรงยิมไงล่ะ! เพราะว่ามันจับได้ว่าพี่แอบเข้าไปขโมยกางเกงในในห้องพักเธอ ่วัยรุ่นก็เป็แบบนี้เหมือนกันหมดไม่ใช่เหรอ? มันถึงกับด่าพี่ว่าพี่เป็สัตว์เดรัจฉาน แก่จนจะลงโรง จนใช้การไม่ได้แล้ว ยังจะห้ามคนอื่นอีก มันตายซะได้ก็ดี” หลินฝานอุ้มฟางหยวนมาถึงขอบหน้าต่าง และแค่ถีบตัวออกไปเท่านั้น เขาก็ออกบินไปราวกับก้อนเบคอนที่ลอยเคว้งอยู่กลางอากาศ
ณ ขณะนั้น ประตูนิรภัยอันแข็งแกร่งก็ถูกเสิ่นิพังจนเปิดออก ในขณะที่พุ่งตัวเข้าไปในห้อง เขาก็เห็นรอยยิ้มอันดุร้ายของหลินฝานที่นอกหน้าต่างเข้าพอดี
“ลาก่อน เ้าหมาบอดี้การ์ด” เฮลิคอปเตอร์ลำดังกล่าวยกตัวของหลินฝานและฟางหยวนลอยขึ้นไปกลางอากาศในพริบตา เสิ่นิเห็นเชือกที่ด้านนอกหน้าต่าง เขาจึงเร่งความเร็วของฝีเท้าราวกับคลุ้มคลั่ง ก่อนจะเหยียบขอบหน้าต่างและะโออกจากตัวอาคารไป
นี่มันตึก 16 ชั้น และเชือกนั่นก็อยู่ห่างจากหน้าต่างเกือบ 7 เมตร!
นี่ไม่ใช่หนังของเฉินหลง ไม่มีอะไรรับประกันความปลอดภัย ระยะไม่ถึง 10 เมตร เสิ่นิเร่งจนถึงขีดสุดของร่างกาย เขาทะยานร่างไปยังเชือกที่กวัดแกว่ง และจับมันไว้มั่น
“ไอ้เวร! แกเป็คนหรือเปล่าเนี่ย?” หลินฝานใกลัว เขาพบเจอบอดี้การ์ดมาก็ไม่น้อย แต่การอารักขาแบบไม่คิดชีวิตแบบนี้ เขาเพิ่งเคยเจอ
รถตำรวจมาถึงที่ชั้นล่างของอะพาร์ตเมนต์ คนขับเฮลิคอปเตอร์รีบดันคันเร่งขึ้นในทันที เครื่องยนต์ทะยานขึ้นสู่กลางอากาศท่ามกลางตึกสูง มันรักษาระยะความสูงไว้ที่ 60 เมตร ก่อนจะบินตรงออกสู่ท้องทะเล
“แรมโบ้! แกบินได้หรือเปล่า?” หลินฝานะโลงทางด้านล่าง ในขณะที่มือก็หยิบมีดพกทหารออกมา
เสิ่นิจับเชือกมั่นแล้วปีนขึ้นไปด้วยมือเปล่า หลินฝานเริ่มลงมือตัดเชือกแล้ว
“อย่า!” ฟางหยวนคิดจะขัดขวาง แต่กลับถูกตีศอกจนหมดสติ
เหนือผืนทะเลอันกว้างใหญ่ เสิ่นิปีนเชือกขึ้นไปด้วยความเร็ว อีกคืบเดียวเท่านั้น เขาก็จะสามารถคว้าตัวฟางหยวนไว้ได้แล้ว แต่เชือกกลับถูกตัดขาดเสียก่อน
“ฉันหาตัวแกเจอแน่” เสิ่นิซึ่งกำลังร่วงหล่นกล่าวด้วยสีหน้าเ็า
“ขอลาขาด!” หลินฝานโบกมืออำลา เขาเห็นต่างจากที่เสิ่นิกล่าวทิ้งท้ายไว้
เสิ่นิตกลงสู่ทะเลจากระดับความสูง 55 เมตร น้ำกระเซ็นน้อยมาก แต่ร่างของเขาก็ยังหายเงียบไป ไม่โผล่ขึ้นมาอีกเลย
15 นาทีหลังจากนั้น ณ บริเวณริมชายหาด กลุ่มสาวงามในชุดบิกินี่กำลังเล่นลูกบอลอยู่ ทันใดนั้น ร่างของชายคนหนึ่งก็โผล่ขึ้นที่ริมหาด เสิ่นิวิ่งไปทางฝักบัวอาบน้ำด้วยสีหน้าเขียวซีด
เซี่ยวอี๋จอดรถจี๊ปอยู่ที่บริเวณริมถนน ด้วยระบบจับผี เซี่ยวอี๋จึงได้รู้ตำแหน่งที่แน่ชัดของเสิ่นิ ตัวเลขที่แสดงบนหน้าจอ ทำเอาเซี่ยวอี๋ไม่อยากจะเชื่อ
เสิ่นิตกลงไปในทะเลที่ระดับความสูงเกินขีดจำกัดของมนุษย์ จากข้อมูลที่เห็น ค่าต่างๆ ของร่างกายที่เกิดการผันผวน สามารถกลับคืนสู่สมดุลได้อย่างรวดเร็ว ก่อนเขาจะใช้เวลา 15 นาทีในการว่ายน้ำในทะเลด้วยระยะทาง 2.5 กิโลเมตร และในขณะที่เขาขึ้นมานั่งบนรถของเซี่ยวอี๋ ชายหนุ่มกลับไม่ได้หอบหายใจเลยสักนิด
“ไปไหนต่อ?” เซี่ยวอี๋เห็นว่าเสิ่นิตัวเปียกโชก
“ซูเปอร์มาร์เก็ต” เสิ่นิกล่าวอย่างสงบนิ่ง
เซี่ยวอี๋ไม่ถามให้มากความ เธอเลี้ยวรถเข้าไป Walmart ซึ่งอยู่ถัดไปไม่ไกล เสิ่นิลากรถเข็นออกมา ก่อนจะเริ่มชอปอย่างบ้าคลั่ง กรรไกร มีดปอกผลไม้ แบตสำรอง ไฟแช็กแบบเติมได้ ปืนยิงตะปูแบบพกพา ค้อน มีดอเนกประสงค์ แอลกอฮอลล์ทางการแพทย์...
รถเข็นคันเดียวไม่พอ รถคันที่เซี่ยวอี๋เข็นมาก็เต็มด้วยเช่นกัน
“นายคิดจะทำอะไร?” เซี่ยวอี๋ตามติดเสิ่นิมาเกือบ 1 เดือนแล้ว นี่เป็ครั้งแรกที่เธอรู้สึกว่าเสิ่นิน่ากลัวและดูแปลกตามาก
“ช่วยคน ตอนที่จับตัวโล้นซ่ามาสอบสวน เราได้ความเื่การลักพาตัวมา ซินเหลียนเซิ่งจะพาไปแค่สองที่เท่านั้น พวกเราแยกไปกันคนละที่ หากพบเป้าหมายแล้วก็แจ้งให้อีกฝ่ายไปสมทบ อย่าทำอะไรผลีผลามล่ะ” เสิ่นิพูดง่ายดายราวกับว่ากำลังหาสถานที่ทานข้าว
“พอได้แล้ว เสิ่นิ” เซี่ยวอี๋หยุดรถเข็น “คราวนี้มันเกินไปแล้ว นั่นมันกลุ่มอันธพาลทั้งแก๊งเลยนะ มีทั้งอาวุธยุทโธปกรณ์ตั้งเท่าไร นายคนเดียวทำอะไรไม่ได้หรอก แจ้งความซะ แจ้งที่อยู่ให้แก่ทางตำรวจ ตำรวจหน่วยพิเศษจะได้เข้ามาจัดการ”
“กฎข้อแรกของนิรวาน: ยอมแพ้เท่ากับตาย” เสิ่นิหันกลับมามองผู้ช่วยของเขา “โลกที่ผมอาศัยอยู่ มันไม่สามารถพูดกับตัวเองได้ว่า ‘ทำไม่ได้’ ‘เกินกำลัง’ ‘เปลี่ยนไม่ได้’ ต่อให้หมดลมหายใจ ต่อให้หัวใจหยุดเต้น ก็ยอมแพ้ไม่ได้เด็ดขาด
เราไม่ได้คาดหวังให้ใครมาช่วยเหลือ พลซุ่มยิงก็ดี หน่วยจู่โจมก็ช่าง ปฏิบัติการของคนหนึ่งคน หนึ่งคนท้าทายทั้งกองทัพ นั่นเป็เื่ธรรมดามาก เพราะฉะนั้น พวกเราถึงได้กลับมาจุติใหม่ในขุมนรกนิรวาน”
“แต่งานของฉันคือการให้ความมั่นใจว่านายจะไม่เป็ภัยต่อสังคม ฉันไม่รู้ว่าสิบปีที่ผ่านมานายต้องเจอความโเี้อะไรบ้าง ฉันแค่ไม่อยากให้นายซึ่งกว่าจะได้กลับมาอย่างยากลำบากนี้ ต้องมาตายด้วยน้ำมือของฉันก็เท่านั้น” เซี่ยวอี๋ลดศีรษะลง เธอผมหน้าม้าปิดบังใบหน้าเอาไว้
“ไม่ฆ่าใคร ก็ไม่นับว่าเป็อันตรายต่อสังคมแล้วหรือเปล่า? ผมรับปากคุณ แค่ช่วยคน ไม่ได้ฆ่าคน แม้มันจะยิ่งเป็การเพิ่มความเสี่ยงก็ตาม แต่ตอนนี้ก็ยังพอที่จะคุมสถานการณ์การได้” เสิ่นิยื่นนิ้วก้อยออกมาให้เซี่ยวอี๋ เหมือนกับการทำข้อตกลงกันระหว่างคู่หู
“คุณยังเป็เบบี๋อยู่หรือไง? ทำไมไม่ทำหนังสือรับรองมาให้ฉันแทน?” เซี่ยวอี๋ส่งสายตามองเหยียด
“ระหว่างเรา แค่เกี่ยวก้อยกันก็พอ” พลังอำมหิตจางหายไปจากร่างของเสิ่นิ ในที่สุดเขาก็ยิ้มออกมาอีกครั้ง
“ฉันจะเชื่อใจคุณสักครั้งก็แล้วกัน” เซี่ยวอี๋เกี่ยวก้อยเสิ่นิ ไม่รู้ทำไม หญิงสาวถึงหน้าแดงขึ้นมา
อีกฟากฝั่งหนึ่ง ฟางหยวนซึ่งสลบไสลอยู่ค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้น ก่อนจะพบว่าเธอนอนอยู่ในกรงเหล็กอันเย็นะเื กรงขนาดกว้างไม่เกิน 1.2 เมตร เธอต้องยืนก้มตัวไว้ ไม่สามารถยืดตัวตรงได้
ชายผู้หนึ่งซึ่งสวมสูทลายทางสีขาวดำ บนนิ้วมีแหวนอยู่ 8 วงกำลังนั่งยองๆ อยู่ที่ด้านนอก ดวงตาสามเหลี่ยมที่เขามีมาั้แ่กำเนิดนั้นเต็มไปด้วยความเกลียดชัง รอยแผลเป็อันน่าสยดสยองปรากฏขึ้นเป็แนวยาวจากทางแก้มซ้ายพาดผ่านสันจมูกไปถึงแก้มขวา ราวกับใบหน้าถูกแบ่งออกเป็ส่วนบนล่าง
“ตัวจริงดูดีกว่าในรูปนะ แต่ไม่มีอก ไม่มีก้นเอาแล้วจะสนุกเรอะ? รู้จักกันมาตั้งหลายปี ยังเข้าไม่ถึงรสนิยมของนายเลย” ตงชวนซึ่งนั่งอยู่หน้ากรงลุกขึ้นยืน เ้าหมอนั่นสูงไม่เกิน 158 เิเ แต่กลับได้เป็หัวหน้าแก๊ง และฝีมือของเขาก็แกร่งที่สุดในซินเหลียนเซิ่ง
“เ้านาย อย่าล้อผมเลย เธอเป็รักแรกของผม ออกไปแก่วมาตั้งสามปี เล่นกับผู้หญิงมาไม่รู้กี่สิบคน ก็ยังรู้สึกว่าชีวิตขาดหายอะไรไป ถ้าไม่ได้เอาเธอ ผมน่าจะนอนตายตาไม่หลับ” หลินฝานซึ่งนั่งอยู่อีกด้านเผยรอยยิ้มอันลามกในขณะที่กล่าว
หลินฝานกับตงชวนรู้จักกันมานานแล้ว ตงชวนพบเขาั้แ่อายุ 8 ขวบ ตอนที่หลินฝานอายุ 17 เขาก็ถูกทาบทาม ตงชวนไม่เคยขี้เหนียวกับคนที่มีพร์ในด้านการต่อสู้ แต่ตอนนั้นหลินฝานเย่อหยิ่งและทะนงตน เขาเพียงอยากคว้าแชมป์มวยไทย ไม่สนใจที่จะเข้าวงการนักเลง
แต่เมื่อจากบ้านไปสามปี เขาตกอยู่ในสังคมที่เสื่อมโทรม ความรู้ผิดชอบชั่วดีและมนุษยธรรมของเขาได้เหือดหายไปกับสังคมสลัมในประเทศไทย เขาต้องเอาชีวิตรอดเพื่อเลี้ยงชีพด้วยการชกมวยใต้ดิน แม้ว่าฝีมือของเขาจะรุดหน้าไปไม่น้อย แต่ก็ยังมองไม่เห็นอนาคต
“นายน่ะโลภเกินไป เงินก็ดี ผู้หญิงก็ดี ควบคุมความอยากได้อยากมีของตัวเองไม่ได้เลย ตอนนั้นที่แข่งกับแชมป์เมืองไทย หากนายไม่รับสินบนแล้วตั้งใจล้มมวย ตอนนี้ก็คงจะกลายเป็คนละคนแล้วล่ะมั้ง?” ตงชวนถอนหายใจด้วยความเสียดาย
“อย่าพูดเหมือนว่านายไม่มีส่วนเกี่ยวข้องสิ การล้มมวยครั้งนั้น นายเองก็มีส่วน นายจงใจขุดหลุมพรางฉัน นายทำเงินจากนัดนั้นได้ถึง 10 ล้าน ส่วนฉันได้มาแค่ 2 แสน ไม่อย่างนั้นฉันจะปล่อยให้มันได้แชมป์ไปหรือ?” เมื่อพูดถึงเื่ในอดีตขึ้นมา สีหน้าของหลินฝานก็ฉายแววดุดัน
“ทำไม คิดจะลองดีกับฉันเรอะ? หลายปีมานี้ฉันประลองกับนายมานับไม่ถ้วน นายเคยเอาชนะฉันได้หรือไง?” ตงชวนยกมือขึ้นพลางยิ้มอย่างดุร้าย แหวนทั้งแปดวงบนนิ้วมือของเขาล้วนแต่สลักคำว่า “แชมป์”
มันคือแหวนแชมป์ของการแข่งขันมวยใต้ดินภายในประเทศ ตงชวนทุ่มเวลานับ 10 ปีในการคว้าแหวนมาได้ 8 วง นี่จึงเป็จุดแกร่งอันน่าเกรงกลัวที่สุดของเขา
หลินฝานทะนงในตน น้อยคนนักที่จะทำให้เขายอมจำนนได้ แต่ตงชวนผู้ซึ่งอยู่เบื้องหน้าเขาคือเ้าตัวประหลาด ซึ่งหลินฝานจะสู้สักเท่าไร เขาก็ไม่สามารถเอาชนะมันได้ ตอนนี้เขาอายุแค่ 32 ปีเท่านั้น เขาก็สามารถครองตำแหน่งหัวหน้าแก๊งอันดับหนึ่งของเมืองหลินไห่ได้โดยที่อาศัยแค่หมัดเหล็กคู่นั้น
“ช่างเถอะ ฉันไม่ได้ว่างจนต้องหาเื่ใส่ตัว ที่ตกลงกันไว้ 2 ล้าน ฉัน้าเงินสด รอฉันเอานังฟางหยวนนี่ให้เสร็จก่อน คืนนี้ก็จะบินกลับไทยเลย” หลินฝานรู้ดีว่าเขาไม่ควรอยู่ที่นี่อีกต่อไป โดยเฉพาะเมื่อนึกถึงเสิ่นิแล้ว นั่นยิ่งชวนทำให้รู้สึกสะอิดสะเอียน
“ทั้งเงินทั้งผู้หญิงน่ะ ฉันให้นายแน่ แต่ว่าไม่ใช่ตอนนี้ รอก่อน” ตงชวนหยิบโทรศัพท์ดาวเทียมออกมาก่อนจะโทร.ไปยังหมายเลขอันคุ้นเคย “ฮัลโหล ฟางซื่อเฉวียนหรือเปล่า? ฉันตงชวน สนใจมาคุยกันที่ถิ่นฉันไหม? ถ้าไม่ว่าง ถ้างั้นฉันก็จะเล่นกับลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของแก ที่นี่มีลูกน้องหื่นกามอยู่ร้อยกว่าคน อยากให้พวกมันเรียงคิวกันเล่นกับเธอหน่อยไหมล่ะ?”