หนิงอ้ายในตอนนี้แม้จะถึงพร้อมด้วยคุณสมบัติของผู้ฝึกตนราชทินนามเทวะิญญาขั้นต้น ประกอบกับร่างกายนี้ได้ประสานไปกับกระดูกิญญาล้ำค่า ยิ่งส่งผลให้ยามออกท่าร่างเคล็ดวิชาตัวเบาย่างก้าวทะยานหมื่นลี้จึงมีความรวดเร็วเหนือชั้นกว่าผู้ฝึกตนระดับขั้นเดียวกันหลายเท่า เวลาที่ผ่านไปเพียงหนึ่งเค่อตามกำหนด เงาร่างของเฟยหลงกลับพุ่งทะยานล้ำหน้าผ่านร่างบางไปด้วยความเร็วที่เหนือชั้นยิ่งกว่า
เห็นรอยยิ้มที่อีกฝ่ายมอบให้ เขาชักเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าการแข่งขันครั้งนี้คุ้มค่ากับการลงแรงไปหรือไม่ ยิ่งเงื่อนไขที่ว่าผู้ชนะสามารถร้องขอสิ่งหนึ่งจากผู้แพ้แล้ว ครั้งนี้เป็เขาเองที่ประมาทเสียท่าหลงเชื่อคำที่มากไปด้วยเล่ห์กลของอีกฝ่ายเข้าจนได้ เนตรแห่ง์ส่งข้อมูลให้รับรู้ว่าอีกฝ่ายได้ควบคุมพลังปราณให้เหลือเพียงเขตขั้นเทวะิญญาขั้นต้นเพียงเท่านั้น ย่างก้าวทะยานหมื่นลี้ขึ้นชื่อว่าเป็หนึ่งในสุดยอดเคล็ดวิชาตัวเบาที่มีความรวดเร็วเป็อันดับต้น ๆ ในมหาพิภพ ทว่าเคล็ดวิชาของอีกฝ่ายนั้นดูเหนือชั้นไปกว่ามาก เคล็ดวิชาก็เป็เพียงส่วนหนึ่ง อย่างไรก็ตามรากฐานการบ่มเพาะก็เป็อีกสิ่งหนึ่งที่เสริมให้เกิดความได้เปรียบเช่นนี้
"แม้จะลำบากใจไม่น้อย แต่ข้ารู้สึกเสียใจกับหนิงเอ๋อร์อย่างใจจริงที่ต้องเอ่ยคำว่า เ้าแพ้แล้วในการเดิมพันครั้งนี้..." เฟยหลงเอ่ยขึ้นอย่างอารมณ์ดี
"ช่างเป็คำกล่าวที่ดูจริงใจเสียจริง!!" เห็นท่าทางของอีกฝ่ายแล้ว หนิงอ้ายอดไม่ได้ที่จะเอ่ยเหน็บแนมอีกฝ่ายไป
"ฮ่าฮ่าฮ่า หากทำให้เ้าคิดเช่นนั้นต้องขออภัย..."
"ช่างเถอะ จะว่าไปเคล็ดวิชาตัวเบานี้ดูไปแล้วไม่คล้ายกับวิชาของสำนัก นี่คงเป็วิชาประจำตัวของท่านใช่หรือไม่??" หนิงอ้ายถามด้วยความสงสัย อีกฝ่ายปลอมตัวอยู่ในร่างเนื้อหนังมนุษย์เช่นนี้ เขาจึงไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะเรียกใช้เคล็ดวิชาประจำตัวออกมา
"เคล็ดวิชาตัวเบานี้มีนามว่าัเหินทะยานฟ้า เป็เคล็ดวิชาลับประจำตระกูลที่สืบทอดกันมา หากหนิงเอ๋อร์สนใจเช่นนั้นให้ข้า..."
"ไม่รบกวนท่าน อย่างไรข้าก็มีเคล็ดวิชาตัวเบาประจำตัวเรียกใช้งานอยู่แล้ว..." หนิงอ้ายตอบกลับอีกฝ่ายไปอย่างไม่ใส่ใจ สองเท้าเร่งก้าวเดินเทียบเสมอชายหนุ่ม
"ย่างก้าวทะยานหมื่นลี้นับว่าเป็สุดยอดวิชาตัวเบาของตระกูลหวัง ด้วยระดับของพลังิญญาของหนิงเอ๋อร์ในยามนี้กับการเรียกใช้ นับว่าเหนือชั้นว่าสุดยอดรุ่นเยาว์ตระกูลอื่นหลายเท่าแล้ว..."
"ท่านรู้!!" หนิงอ้ายร้องดังขึ้นด้วยความใ ไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะล่วงรู้ตัวตนได้เช่นนี้ หลังจากคุ้นชินและเชี่ยวชาญมากยิ่งขึ้น เขาได้ปรับท่วงท่าของเคล็ดวิชานี้ให้มีความแตกต่างไปเล็กน้อย ดังนั้นจึงเป็การยากที่จะมีผู้ใดล่วงรู้ถึงความเป็มาดังกล่าวได้
"หนิงเอ๋อร์อย่าได้คิดเป็อื่น เคล็ดวิชาย่างก้าวทะยานหมื่นลี้นี้มีความโดดเด่นเป็เอกลักษณ์ ตัวข้าย่อมผ่านเื่ราวในยุทธภพมาไม่น้อยจึงพอจับจุดสังเกตได้อยู่บ้าง..."
"เป็เช่นนั้น??" หนิงอ้ายถามย้ำเพื่อความมั่นใจ
"ย่อมเป็เช่นนั้น!!" เฟยหลงตอบกลับไปด้วยความหนักแน่น
"…" หนิงอ้ายไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมา อีกทั้งยังเร่งฝีเท้าให้เร็วมากยิ่งขึ้น ไม่ไกลนั้นเห็นเป็กำแพงเมือง เป็หน้าด่านทางเข้าเมืองหมอกทมิฬแล้วนั่นเอง
"หนิงเอ๋อร์ เ้าโกรธข้าอย่างนั้นรึ??" เฟยหลงที่เห็นว่าอีกฝ่ายเงียบไปนาน จึงถามขึ้นด้วยประโยคดังกล่าว
"ไม่ได้คิดเช่นนั้นเสียหน่อย ข้ากำลังคิดว่าคนเ้าเล่ห์เช่นท่านจะร้องขอสิ่งใดกัน ขอเตือนเอาไว้ก่อนว่าหากเป็สิ่งที่ลำบากใจ หากข้าปฏิเสธคำขอดังกล่าวหวังว่าท่านจะไม่ถือสาเอาความ" หนิงอ้ายตอบกลับไปให้อีกฝ่ายได้รับรู้ แววตาที่ไม่มั่นคงก่อนหน้าของชายหนุ่มทำให้เขารู้สึกบางอย่างที่ไม่สบายใจเท่าไหร่
"ที่แท้ก็เป็เช่นนี้ คำขอจากข้าย่อมไม่สร้างความลำบากใจอันใดอยู่แล้ว" เฟยหลงที่ได้ยินจึงเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย มือหนาเข้ากอบกุมมือเรียวเล็กของหนิงอ้าย
"ท่านนี่มันหน้าหนา และชอบกินเต้าหู้ข้าเสียจริง!!" หนิงอ้ายเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเล็กน้อย ระยะหลังมานี้ชายหนุ่มกล้าถึงเนื้อถึงตัวเขามากขึ้นโดยที่เขาไม่ทันได้ระวังตัวเสียซ้ำ สะบัดมือที่ถูกเกาะกุมไว้ได้แล้วจึงรีบเดินทางมุ่งตรงเข้าเมือง โดยที่มีเสียงหัวเราะของชายหนุ่มดังขึ้นตามไล่หลังอย่างอารมณ์ดี...
ทหารเวรยามประจำด่านทางเข้าเมืองเห็นผู้มาเยือนที่กำลังใกล้เข้ามาในทุกขณะ จากชุดที่สวมใส่นั้นย่อมเป็ศิษย์สายในของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์เป็แน่ เมื่อพิจารณาถึงป้ายหยกข้างเอวนั้นพวกเขาถึงกับรีบคำนับด้วยความรวดเร็ว ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่หน้าตาหล่อเหลานั้นเป็ถึงว่าที่เ้าสำนักคนต่อไปของสำนักศึกษา ส่วนอีกเด็กหนุ่มที่ยืนข้างกันนั้นป้ายหยกสีขาวฟ้าอันเป็สัญลักษณ์ของศิษย์ผู้สืบทอดตำหนักศาสตร์แห่งการรักษา แน่นอนว่าข่าวคราวที่เกิดขึ้นในสำนักใน่ที่ผ่านมาต่างเป็ที่รับรู้แก่ทุกคนทั้งสิ้น
ตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาที่ว่างเว้นตำแหน่งผู้สืบทอดมาหลายปี ทว่าเด็กหนุ่มที่เป็ศิษย์ใหม่ของสำนักกลับได้รับความวางใจจากท่านเ้าตำหนักให้ฐานะดังกล่าว แม้ฟังดูแล้วจะเป็เื่ราวที่สร้างความกังขาเป็อย่างมากก็จริง แต่ไม่นานจากนั้นข่าวคราวที่ว่าศิษย์คนสุดท้ายของตำหนัก ศิษย์ผู้สืบทอดอันมีนามว่าหนิงอ้าย ที่เพียงแค่เข้าศึกษาได้เพียงไม่กี่สิบวันกลับสามารถสอบเลื่อนขั้นนักปรุงโอสถได้สำเร็จและเป็การสอบเลื่อนขั้นถึงสองระดับในครั้งเดียว สมญานามปัญญาจารย์โอสถระดับกลาง หรือนักปรุงโอสถระดับสองที่อายุน้อยปานนี้ได้ปรากฏขึ้นในมหาทวีปบูรพาแล้ว
ตัวตนของนักปรุงโอสถนั้นกล่าวได้ว่าเหนือชั้นกว่าผู้ฝึกตนทั่วไปอย่างแท้จริง แม้จะเป็เื่ราวที่น่าเหลือเชื่อว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นจะเป็เพียงเด็กหนุ่มที่อายุเพียงสิบห้า สิบหกปีเช่นนี้ ทว่าป้ายหยกสีเขียวอ่อนที่แขวนไว้ข้างเอวนั่นย่อมเป็สิ่งที่ยืนยันได้ว่าข่าวลือเกี่ยวกับเด็กหนุ่มตลอดหลายเดือนผ่านมาล้วนเป็จริงทั้งสิ้น…
บรรยากาศภายในตัวเมืองหมอกทมิฬเต็มไปด้วยความคึกคัก บ้านเมืองสิ่งก่อสร้างภายในล้วนตกแต่งได้สวยงามน่ามองยิ่ง ใจกลางเมืองมีบ่อน้ำพุขนาดใหญ่ ยามแสงแดดส่องกระทบผิวน้ำสะท้อนเป็ประกายระยิบระยับ ต้นไม้ใหญ่ยืนต้นเรียงแถวเรียงรายเป็ระเบียบ ทุกสิ่งอย่างถูกจัดวางอย่างมีแบบแผน สมกับขึ้นชื่อว่าเป็เมืองหน้าด่านของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์อย่างแท้จริง
หนิงอ้ายที่เคยเดินทางมาเมืองหมอกทมิฬนี้เป็ครั้งที่สองจึงยังไม่คุ้นชินถึงร้านค้ารวมไปถึงเส้นทางเท่าไหร่ ยังดีที่เฟยหลงเคยมาทำภารกิจให้ท่านเ้าสำนักอยู่หลายครั้งจึงพอให้คำแนะนำได้อยู่บ้าง เด็กหนุ่มล้วงเอาใบรายการออกจากแหวนมิติเมื่อตรวจทานดูอีกรอบแล้วจึงได้เริ่มวางแผนอีกครั้ง สิ่งของที่ต้องหาซื้อในครั้งนี้มีทั้งสมุนไพรระดับสูง เืสัตว์อสูรและอีกหลายสิ่งที่คาดว่าอาจเป็ข้าวของจำเป็ที่อาจารย์ของตนต้องใช้
ร้านค้าแผงลอยหลายสิบร้านตั้งอยู่ตลอดสองข้างทาง สิ่งของที่ถูกวางเรียงรายให้เลือกอยู่บนนั้นล้วนเป็สิ่งของแปลกตาที่ไม่เคยเห็นมาก่อน บ้างก็มีลักษณะคล้ายคลึงกับสิ่งของจากโลกเดิมของเขาอยู่ไม่น้อยเช่นกัน โรงเตี๊ยมน้ำชายังคงแน่นขนัดเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ร้านค้าเครื่องประดับ ร้านค้าเสื้อผ้า ต่างมีลูกค้าเข้าเยี่ยมชมอย่างไม่ขาดสาย กลิ่นหอมราวกับข้าวใหม่ลอยตามลมมาแต่ไกล ไม่รอช้าหนิงอ้ายเดินนำเฟยหลงไปยังทิศทางดังกล่าวในทันที
ตรงหน้านั้นปรากฏเป็ร้านค้าริมทางร้านหนึ่ง ควันสีขาวลอยฟุ้งเมื่อยามที่ฝาไม้สานถูกเปิดออก สิ่งนี้ดูคล้ายกับหมั่นโถวในความทรงจำที่คุ้นเคย นอกจากนั้นยังมีเซาปิ่งร้อน ๆ ที่อยู่ข้างกัน สีสันชวนน่าลิ้มลองเป็อย่างยิ่ง
"หนิงเอ๋อร์หิวแล้วอย่างนั้นรึ?? เช่นนั้นซื้อกินรองท้องก่อนดีหรือไม่ ยามเว่ยข้าจะพาไปกินอาหารที่เหลาอาหารชื่อดังของเมืองนี้..." เฟยหลงถามเด็กหนุ่มที่ยืนข้างกัน
"ท่านลุงข้าขอหมั่นโถวกับซาลาเปาอย่างละสองขอรับ..." หนิงอ้ายพยักหน้ารับคำกล่าวของชายหนุ่ม ก่อนจะสั่งรายการกับชายวัยกลางคนตรงหน้า เฟยหลงไม่รอช้าล้วงเอาเหรียญอีแปะจ่ายตามราคาไป
หมั่นโถวที่ร้อนกำลังดีได้ถูกส่งถึงมือของเด็กหนุ่ม กลิ่นหอมหวานตรงหน้าชวนให้รู้สึกน่าลิ้มลองเป็อย่างมาก เพียงกัดลงไปนั้นรสชาติหอมหวาน แป้งที่ถูกนึ่งจนนุ่มฟูให้ความัันุ่มเนียนชวนให้กัดกินคำต่อไป ไม่คิดว่าหมั่นโถวร้านนี้จะมีรสชาติที่แปลกใหม่เช่นนี้ได้
เฟยหลงเดินนำหนิงอ้ายไปยังร้านขายสมุนไพรที่อยู่ไม่ห่างไปนัก เพียงครึ่งเค่อพวกเขาก็มาถึงแล้ว โชคดีที่เถ้าแก่เ้าของร้านกำลังจัดการสมุนไพรที่พึ่งได้รับจากคาราวานสินค้าพอดี เขาจึงยื่นใบรายการให้กับเถ้าแก่ร้านเพื่อจัดการสมุนไพรตามที่้า โดยไม่ลืมแจ้งว่าเป็ของท่านอาจารย์เหวินหวู่ แน่นอนว่าอีกฝ่ายได้ยินดังนั้นจึงรีบจัดการให้โดยทันที นั่งรอเพียงครึ่งชั่วยามทุกอย่างล้วนถูกจัดการเป็ที่เรียบร้อย ตอนแรกหนิงอ้ายคิดว่าอาจต้องไปหาซื้อสิ่งของเพิ่มเติมจากร้านอื่น ทว่าเถ้าแก่เ้าของร้านแจ้งว่าทางร้านมีสินค้าครบถ้วนตามที่้า จึงช่วยประหยัดเวลาไปได้มาก
ฐานะนักปรุงโอสถสมญานามปัญญาจารย์โอสถระดับหนึ่ง ระดับสอง ระดับสาม กล่าวว่าพบเจอได้ไม่ยากนัก นักปรุงโอสถสมญานามวิญญาจารย์โอสถระดับสี่ ระดับห้า ถือว่ายังพบเจอได้ในกลุ่มอิทธิพลในมหาพิภพหรือตระกูลใหญ่ต่าง ๆ ได้อยู่บ้างเช่นกัน นักปรุงโอสถระดับหกหรือสมญานามอัคราจารย์โอสถ ถือได้ว่าเป็ระดับที่นักปรุงโอสถทุกคนเฝ้าฝันถึง แล้วยิ่งกับเหวินหวู่ ผู้เป็เ้าตำหนักศาสตร์แห่งการรักษา ผู้เป็อาจารย์สั่งสอนของหนิงอ้ายผู้เป็ถึงนักปรุงโอสถระดับเจ็ด สมญานามปรมจารย์โอสถ เพียงหนึ่งเดียวในมหาทวีปบูรพาแห่งนี้ ถือเป็ตัวตนอันสูงศักดิ์เหนือฐานะกว่าผู้ฝึกตนที่แม้แต่ผู้ปกครองแคว้นยังต้องเกรงใจอยู่หลายส่วนเลยทีเดียว…
เฟยหลงทำตามสัญญาที่บอกกับหนิงอ้ายในก่อนหน้า มื้อเที่ยงของวันนี้ทั้งสองคนได้ฝากท้องไว้กับเหลาอาหารอันดับหนึ่งของเมือง ด้วยป้ายหยกประจำตัวของเฟยหลงที่แสดงฐานะของว่าที่เ้าสำนักคนต่อไป จึงได้ห้องอาหารที่ค่อนข้างเป็ส่วนตัวและสามารถมองเห็นสิ่งก่อสร้างรวมไปถึงผู้คนที่กำลังเดินจับจ่ายใช้สอยตรงด้านหน้าเหลาอาหารชวนให้เพลิดเพลินยิ่ง หนิงอ้ายพยักหน้าพึงพอใจในมื้ออาหารวันนี้ช่างสมกับราคาเหลาอาหารอันดับหนึ่งเสียจริง
ทั้งสองคนยังได้เดินเที่ยวชมตลาดกันอีกเล็กน้อย อีกทั้งยังคงเลือกซื้อหาข้าวของสิ่งจำเป็ หลังจากที่เสียเวลาไปไม่น้อยกับการจับจ่ายครั้งนี้ สมควรแก่เวลากลับสำนักเสียที ท้องฟ้าในยามโหย่วดูงดงามยิ่ง แสงสีส้มทองตัดที่เส้นขอบฟ้าอันเป็สัญญาณว่ายามรัตติกาลกำลังมาเยือนในอีกไม่ช้านี้ เส้นทางกลับสำนักยังคงเงียบสงบไร้ซึ่งสิ่งใดปรากฎ ทุกย่างก้าวที่เหยียบย่ำทะยานไปตามเคล็ดวิชาตัวเบายังคงเป็ไปด้วยความเร็วสม่ำเสมอ บัดนี้ท้องฟ้าได้มืดมิดมีเพียงแสงจันทร์สว่างสาดส่องหยอกล้อไปกับหมู่ดาวบนท้องฟ้า ท่ามกลางธรรมชาติราบรื่นนี้กลับััได้ถึงบางสิ่งตรงหน้าไม่ไกลไปนัก
"ดูเหมือนว่าจะมีพวกแมลงน่ารังเกียจอยู่ตรงหน้าพวกเราไปไม่ไกลนัก..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นพร้อมกับยกยิ้มออกมาเล็กน้อย
"ข้าก็รู้สึกได้เช่นนั้น หนิงเอ๋อร์รู้สึกกลัวหรือไม่??" เฟยหลงหยอกล้อกลับไป
"ข้าเห็นเป็เื่สนุกเสียมากกว่า ท่านคิดเช่นเดียวกันหรือไม่??"
"ฮ่าฮ่าฮ่า ยังเป็หนิงเอ๋อร์ที่ใจตรงกันกับข้า อย่างนี้ดีหรือไม่?? หากครั้งนี้หนิงเอ๋อร์สังหารได้มากกว่า คำขอหนึ่งประการที่ยังติดค้างข้าอยู่จะถือว่าลบล้างไป แต่หากว่าข้าเป็ฝ่ายที่สังหารได้มากกว่า ข้ามีสิทธิร้องขอเพิ่มได้อีกสองประการ ดีหรือไม่??" เฟยหลงให้ข้อเสนอแก่ร่างบางอย่างอารมณ์ดี
"ท่านนี่มันช่างเ้าเล่ห์เสียจริง ข้ารับข้อเสนอดังกล่าวนี้!!" แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายย่อมหาช่องว่างเอาเปรียบ อย่างไรหนิงอ้ายก็มั่นใจว่าครั้งนี้เขาต้องเป็ฝ่ายชนะอย่างแน่นอน...
ชายชุดดำนับสิบกว่าคนก้าวออกจากชายป่าด้านข้างราวกับกำลังรอดักซุ่มอยู่ กระบี่ด้ามยาวในมือกระชับแน่นคล้ายกับว่ากำลังรอคอย่เวลานี้อย่างใจจดจ่อ กว่าครึ่งของใบหน้าถูกปกปิดไว้เหลือเพียงส่วนของดวงตาดุดัน พลังปราณระดับไม่สามัญถูกปลดปล่อยออกมาอย่างข่มขู่ทั้งสองคน จิตสังหารอันแรงกล้าไม่ได้ทำให้เฟยหลงกับหนิงอ้ายหวาดกลัวเลยสักนิด ทั้งสองพยักหน้าส่งสัญญาณให้กันอย่างรู้ใจ ก่อนชักกระบี่ออกมาอย่างรวดเร็วตามสัญชาติญาณพร้อมกับการปะทะที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่นานนี้
"กลิ่นอายของรุ่นเยาว์ทั้งสองคนนี้ไม่ธรรมดาอย่าได้ประมาทเป็อันขาด!!!" ชายชุดดำคนหนึ่งที่ยืนอยู่ตวาดดังขึ้นอย่างชัดถ้อยคำ
"ขอรับ!!!" ชายชุดดำคนที่เหลือขานรับคำกล่าวนี้อย่างพร้อมเพรียงกัน พร้อมกับปลดปล่อยจิตสังหารอันแรงกล้าอย่างไม่ยั้ง
เนตรแห่ง์ทำให้หนิงอ้ายรู้ได้ว่ากลุ่มคนเหล่านี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับสาเหตุของการหายตัวไปของสุดยอดผู้ฝึกตนในระยะหลังมานี้ คาดว่าคงได้รับคำสั่งจากผู้ที่อยู่เื้ัที่มีตัวตนไม่ธรรมดาสามัญ แน่นอนว่าเมืองหมอกทมิฬนี้ถือได้ว่าเป้นเมืองสำคัญที่ถือว่าเป็เมืองหน้าด่านของสำนักศึกษา จึงมีผู้ฝึกตนมากหน้าหลายตาที่เดินทางผ่านเมืองนี้ทั้งสิ้น ดังนั้นพวกมันที่ได้รับค่าจ้างจึงได้ดักซุ่มรอตรงจุดที่ถือว่าห่างไกลจากเมืองพอประมาณ ส่วนเขากับเฟยหลงที่ผ่านมาพอดีจึงตกเป็เป้าหมายของพวกมันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
"ชายคนนั้นคงเป็หัวหน้าเป็ราชทินนามราชันิญญาขั้นกลางที่แข็งแกร่งมากผู้หนึ่ง ิญญายุทธ์ของเขาสังกัดปราณธาตุลมระดับสาม ที่สำคัญมีความเชี่ยวชาญในการหลบหลีกเป็อย่างมาก..."
"สองคนนี้เป็ราชทินนามราชันิญญาขั้นต้นเช่นกัน เพียงแต่พวกเขาพึ่งผ่านพ้นถึงเขตขั้นนี้ได้ไม่นานนักจึงมีรากฐานพลังลมปราณที่ไม่หนักแน่น ิญญายุทธ์ปราณธาตุไฟของทั้งสองเป็สายโจมตีที่มีความพิสดาร ท่านไม่อาจประมาทได้..."
"ส่วนคนอื่น ๆ ล้วนเป็ผู้ฝึกตนราชทินนามเทวะิญญาขั้นสูงทั้งสิ้น รากฐานบ่มเพาะไม่ธรรมดาสามัญเช่นกัน เจ็ดคนนั้นิญญายุทธ์ปราณธาตุน้ำ ห้าคนนั้นิญญายุทธ์ปราณธาตุดิน ส่วนคนที่เหลือิญญายุทธ์ปราณธาตุไฟทั้งสิ้น..."
"..."
"..."
เสียงหวานนุ่มของหนิงอ้ายเอ่ยกับเฟยหลงที่ยืนอยู่ข้างกันราวกับว่าสิ่งนี้เป็เื่ธรรมดาทั่วไปหาได้ส่งผลต่อพวกเขาทั้งสิ้น สิ่งที่ทำให้กลุ่มของชายหนุ่มชุดดำทั้งหมดต่างในั่นคือ ข้อมูลเกี่ยวกับระดับพลังิญญาหรือิญญายุทธ์ของพวกเขาที่เด็กหนุ่มอายุเพียงสิบห้าสิบหกปีเอ่ยขึ้นนั้นเป็ความจริงทั้งสิ้น ไม่รู้ว่าเป็เพราะสมบัติวิเศษหรือสิ่งใดกันจึงทำให้สามารถล่วงรู้ถึงความสามารถของพวกเขาได้ ในใจพลันคิดว่างานนี้คงพบเจอเื่ยุ่งยากเสียแล้วแต่เมื่อคิดได้ว่าครั้งนี้กลุ่มของพวกตนมีถึงเกือบสามสิบคน กับเป้าหมายที่มีเพียงสองคนตรงหน้า ดังนั้นแล้วภารกิจครั้งนี้คงสำเร็จดังเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา
"ผู้ที่อยู่เื้ัภารกิจนี้เป็ผู้ใด?? ขอเตือนด้วยความหวังดีข้าย่อมมีวิธีการรีดเค้นคำตอบนี้หากไม่บอกมาโดยง่าย!!" หนิงอ้ายพูดกับชายหนุ่มชุดดำตรงหน้าที่คาดว่าเป็หัวหน้า
"ฮ่าฮ่าฮ่า เด็กน้อย!! เ้าคิดว่าพวกข้าจะกลัวเด็กหนุ่มอย่างพวกเ้าอย่างนั้นรึ?? เ้ามีสิ่งใดแลกเปลี่ยนเล่า..." สายตาโลมเลียหื่นกระหายของชายชุดดำที่มองมาสร้างความไม่พอใจแก่เฟยหลงเป็อย่างมาก หากไม่มีหนิงอ้ายจับแขนไว้คาดว่าอีกฝ่ายคงพุ่งตัวเข้าสังหารแล้ว
"ข้าให้โอกาสอีกครั้ง ผู้ที่อยู่เื้ัภารกิจนี้เป็ผู้ใด??"
"อย่าถามให้มากความ หากพวกเ้าทั้งสองถูกจับกุมเมื่อไหร่ พวกเ้าย่อมจะได้รู้เมื่อนั้นหากว่ายังมีชีวิตอยู่รอด ไป!! จับตัวพวกมันให้ได้!!" ชายชุดดำคนเดิมเอ่ยย้ำด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม ชายหนุ่มชุดดำคนที่เหลือต่างยืมล้อมรอบเป็วงกลมด้วยท่าท่างคุกคามอย่างเต็มที่
"พวกนี้อย่างไรก็เป็ถึงราชทินนามเทวะิญญาขั้นสูง ราชทินนามราชันิญญาขั้นต้นที่มีรากฐานบ่มเพาะไม่ธรรมดาสามัญ กับหนิงเอ๋อร์ที่พึ่งผ่านพ้นเขตขั้นเทวะิญญาขั้นต้น่ปลายคงเสียเปรียบไม่น้อย ข้าว่าหนิงเอ๋อร์หนีไปก่อนดีหรือไม่?" เฟยหลงเอ่ยกับหนิงอ้ายด้วยความเป็ห่วง เขาย่อมรู้ดีแก่ใจว่าร่างบางนั้นมากความสามารถมากเพียงใด ทว่าฝั่งศัตรูนั้นไม่อาจประมาทได้เลยทีเดียว
"ข้ารู้ว่าท่านกังวลสิ่งใด ไม่ใช่ว่า่หลังมานี้เป็ท่านที่เฝ้าฝึกฝนข้าให้แข็งแกร่งขึ้นอย่างนั้นรึ? ที่สำคัญท่านคงไม่ยอมปล่อยให้ข้าตกอยู่ในอันตรายใช่หรือไม่??" คำกล่าวของหนิงอ้ายถือได้ว่าไม่เกินจริงไปนัก
เฟยหลงเฝ้าฝึกฝนการต่อสู้รวมไปถึงทักษะอื่นให้แก่ร่างบางอย่างเต็มที่ ด้วยรู้ว่ารอบตัวของเด็กหนุ่มนั้นย่อมเต็มไปด้วยอันตราย ยิ่งกับฐานะเ้าแห่งยุทธภพรุ่นเยาว์ที่ถูกมือที่มองไม่เห็นไล่ล่าอยู่ในตอนนี้แล้ว แม้ว่าหนิงอ้ายจะอยู่ในรูปลักษณ์ปลอมแปลงอยู่ก็จริงแต่นั่นไม่อาจการันตรีได้ว่าจะไม่มีผู้ใดล่วงรู้สิ่งนี้ได้
"แต่ว่า...เช่นนั้นระวังตัวให้ดี สิ่งใดไม่อาจสำคัญเท่ากับความปลอดภัยของเ้า" เฟยหลงที่กำลังจะพูดขึ้น ทว่าเมื่อเห็นสายตาอันมั่นคงแน่วแน่ของร่างบางนั้นจึงเอ่ยย้ำกับหนิงอ้ายไปในที่สุด…
