“ประตูมิติปรากฏแล้ว! แดนลับยอดเขาเทพโอสถสิ้นสุดลงแล้วหรือ?” มีผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งกล่าว ขณะสายตาของทุกคนต่างจับจ้องไปยังรอยแยกมิติตรงใจกลางพวกเขา
“การทดสอบของแดนลับสิ้นสุดแล้ว เพียงแค่ผ่านประตูนี้ก็ถือว่าออกจากแดนลับ” พลันมีเสียงเกรงขามดังขึ้นอีกครั้ง ทำให้ดวงตาของผู้คนเผยประกายแหลมคม
ในที่สุดแดนลับยอดเขาเทพโอสถก็สิ้นสุดลงแล้ว!
เมื่อนึกถึงประสบการณ์ที่ได้จากแดนลับในระยะเวลา 15 วัน ในใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกต่าง ๆ นานา แต่เื่ราวที่เกิดขึ้นใน 15 วันนี้จะตราตรึงอยู่ในความทรงจำของพวกเขา ใน่เวลานี้มีทั้งคนประสบความสำเร็จ มีคนล้มเหลว กระทั่งมีคนตกตายอยู่ในแดนลับ ทุกคนต่างมีชะตากรรมที่แตกต่างกัน
โลกแห่งการบ่มเพาะ โอกาสและวิกฤตมักจะอยู่ร่วมกัน มีเพียงความอดกลั้นอดทนในยามวิกฤตเท่านั้น จึงจะไต่เต้าขึ้นสู่ยอดพีระมิดได้สำเร็จ
“ไป!” มีคนผู้หนึ่งกล่าว คนอื่น ๆ ก็พยักหน้า จากนั้นเดินไปยังประตูมิติ ก่อนจะถูกเคลื่อนย้ายผ่านประตูมิติกลับไปยังยอดเขาเทพโอสถ
นี่จ้านเทียนปรายตามองเย่เฟิงแวบหนึ่งก่อนจะเดินออกไป จงเทาก็ตามหลังนี่จ้านเทียนไปติด ๆ พร้อมชำเลืองมองเย่เฟิงด้วยสายตาเย็นเยือกเช่นกัน
ตอนที่อี้ชิงและเหล่าศิษย์สำนักศึกษาเสินเจียงจะเดินออกไป อี้ชิงหันมามองเย่เฟิงและกล่าวว่า “หวังว่าเ้าจะอยู่รอดถึงงานชุมนุมหวงปั่ง ถึงยามนั้นข้าอี้ชิงจะฆ่าเ้าด้วยมือของตัวเอง!”
เมื่อกล่าวจบ อี้ชิงเดินออกไปพร้อมกับเหล่าศิษย์สำนักศึกษาเสินเจียง
“งานชุมนุมหวงปั่ง?” เย่เฟิงพึมพำขณะมองแผ่นหลังของอี้ชิง แน่นอนว่าเขาเคยได้ยินเื่งานชุมนุมหวงปั่ง งานนี้เป็งานที่บรรดาสำนักยุทธ์ศึกษาในอาณาจักรจ้าวร่วมกันจัดขึ้น ถึงยามนั้นจะมีผู้ฝึกยุทธ์ที่มีฝีมือโดดเด่นมารวมตัวกันเพื่อทำการประลอง เป็่เวลาแห่งความเจริญรุ่งเรืองของอาณาจักรจ้าวที่ได้รับความสนใจในทุก ๆ ปี ในเมื่ออี้ชิงบอกว่าจะฆ่าเขาในงานชุมนุมหวงปั่ง เขาเย่เฟิงก็จะรอ เมื่อยามนั้นมาถึงเขาก็อยากดูเหมือนกันว่าอี้ชิงจะฆ่าเขาอย่างไร
แต่ก่อนงานชุมนุมหวงปั่งจะมาถึง งานประลองปลายปีของสำนักยุทธ์เทียนเสวียนก็ใกล้เข้ามาแล้วเช่นกัน ก่อนหน้านั้นเย่เฟิงต้องเตรียมพร้อมให้ดี ๆ
“พี่เย่ พวกเราก็ออกไปกันเถอะ!” ก่อนกล่าวเช่นนี้ เซี่ยจวิ้นหลงกับนักดาบแขนเดียวเดินมาหาเย่เฟิง และมองเขาด้วยดวงตาเป็ประกาย ซึ่งเซี่ยจวิ้นหลงไม่คาดคิดเลยว่า ผู้ที่ได้รับนวมรดกของวังเทพโอสถเขาจะเป็คนนอกอย่างเย่เฟิง เมื่อนึกย้อนกลับไปก็ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก ว่ามันจะเกิดขึ้นจริง ๆ
“อืม” เย่เฟิงผงกศีรษะขึ้นลง จากนั้นทั้งสามก้าวข้ามประตูมิติเพื่อออกจากที่แห่งนี้
หลายเงาร่างกลับสู่ยอดเขาเทพโอสถผ่านประตูมิติ ณ ยอดเขาเทพโอสถมีผู้ฝึกยุทธ์อยู่เป็จำนวนมาก ผู้คนได้กลิ่นทะแม่ง ๆ เนื่องจากััได้ถึงบรรยากาศที่แสนตึงเครียด
ฟู่หยาง จี๋เหยียน และเซี่ยชิงซานก็อยู่ด้วยเช่นกัน
“ดูสิ นั่นสองพี่น้องฟู่เจินฟู่หยิงนี่นา พวกเขาออกมาแล้ว!” ขณะนั้นมีผู้ฝึกยุทธ์วังเทพโอสถคนหนึ่งกล่าวพร้อมชี้นิ้วไปยังประตูมิติที่เปิดอยู่บนยอดเขาเทพโอสถ นี่ทำให้ผู้คนหันไปมองตามกันไม่น้อย
“ฟู่เจินช่างน่าเวทนานัก ดูไม่เป็ผู้เป็คนเลย!” เมื่อเห็นสภาพของฟู่เจิน อัจฉริยะผู้โดดเด่นที่สุดในระดับขั้นรวมชี่แห่งวังเทพโอสถถูกไฟคลอก เพียงเพราะไปล่วงเกินเย่เฟิงจึงถูกเอาคืนจนมีสภาพเช่นนี้ ผู้คนก็อดเห็นใจไม่ได้ ทั้งยังคิดในใจว่าเย่เฟิงโหดร้ายมาก
“เ้าสวะ เ้าทำร้ายลูกข้า ข้าฟู่หยางจะเอาคืนเ้าให้สาสม!” ฟู่หยางคิดในใจเช่นนั้นพร้อมกับส่งลูกน้องไปประคองฟู่เจิน แต่สายตากลับเต็มเปี่ยมด้วยความอาฆาต
ขณะนั้นมีสามเงาร่างเดินออกจากประตูมิติเพื่อกลับสู่ยอดเขาเทพโอสถ นั่นก็คือเย่เฟิง นักดาบแขนเดียว และเซี่ยจวิ้นหลง
สายตาหลายคู่หันไปมองเย่เฟิงด้วยความเย็นะเื และส่วนใหญ่เ้าของสายตาเหล่านี้มาจากทางกองกำลังของฟู่หยาง
“เ้าสวะ ในที่สุดเ้าก็ออกมา!” ฟู่หยางกล่าวเสียงเย็นขณะมองเย่เฟิงด้วยสายตาคมกริบ
“ทำร้ายศิษย์วังเทพโอสถข้า เ้ารู้ผิดบ้างหรือไม่!” ฟู่หยางเดินออกมาที่ด้านหน้าพวกเย่เฟิงก่อนจะเอ่ยถามเช่นนั้น ดวงตาของเขาฉายแววเยือกเย็นเป็พิเศษราวกับจะใช้สายตาฆ่าเย่เฟิงอย่างไรอย่างนั้น
“ไม่ทราบว่าข้าทำอะไรผิดหรือ?” เย่เฟิงเอ่ยถามเสียงเย็นพร้อมหรี่ตาลงเล็กน้อย
“ข้ากำลังถามเ้าว่า เ้าเป็คนทำร้ายฟู่เจินใช่หรือไม่?” ฟู่หยางเห็นเย่เฟิงไม่สำนึกผิดก็หน้านิ่วคิ้วขมวดเล็กน้อย
“เป็ข้าแล้วจะอย่างไรเล่า?” เย่เฟิงกล่าวโดยไร้ความเกรงกลัวใด ๆ
“วังเทพโอสถข้าเปิดแดนลับยอดเขาเทพโอสถ แล้วให้คนนอกเข้าไปถือเป็พระคุณใหญ่หลวง แต่เ้าไม่เพียงแต่ไม่สำนึกบุญคุณ แต่ยังมีเจตนาร้ายและทำร้ายศิษย์วังเทพโอสถข้า ดูก็รู้ว่าเ้าเห็นวังเทพโอสถเป็ตัวอะไร เช่นนั้นบัญชีนี้ควรคิดกับเ้าอย่างไรดี?” ฟู่หยางกล่าว
“ข้ามีเจตนาร้ายอย่างนั้นหรือ?” เย่เฟิงได้ยินเช่นนั้นก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวต่อ
“ในแดนลับ ฟู่เจินดูถูกข้าครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งยังลอบโจมตีในตอนที่ข้าสู้กับอี้ชิงจนข้าาเ็สาหัสเกือบเอาชีวิตไม่รอด ท่านคิดว่าข้าไม่ควรเอาคืนเขาหรือ?”
“เ้านับเป็สิ่งใด แล้วจะมาเทียบเคียงกับฟู่เจินได้เยี่ยงไร?” ฟู่หยางได้ยินคำพูดของเย่เฟิงก็เหยียดยิ้มดูถูก แม้เย่เฟิงจะคว้านวมรดกไปได้ เขาก็อดกลั้นอดทน แต่มาทำร้ายบุตรชายเขา เขาจะทำให้เย่เฟิงต้องชดใช้คืนหลายพันเท่า
“ทำไม? ผู้คนจากทั่วสารทิศของเมืองหลวงเข้าสู่แดนลับยอดเขาเทพโอสถ นี่ถือเป็การแข่งขันที่ยุติธรรม ไยต้องพูดจาเช่นนี้เล่า? เมื่ออยู่ในถิ่นท่าน แล้วคนอื่นก็ต้องหลีกทางอย่างนั้นหรือ? ตอนที่ข้าสู้กับฟู่เจิน ณ เวลานั้นข้าอยู่เพียงขั้นบ่มเพาะกายา แต่ฟู่เจินก็ไม่ใช่คู่ปรับข้า แม้เขาจะถูกข้ากำจัดจริง ๆ แต่พลังของเขาก็ยังไม่เพียงพอ ด้วยเหตุนี้ท่านจึงโกรธข้าใช่หรือไม่? หากเป็เช่นนั้นจริง ๆ ก็พูดได้เพียงว่าวังเทพโอสถไม่ยอมรับความจริง!”
เย่เฟิงเหยียดยิ้มอย่างเย็นเยียบ แม้เสียงของเขาจะไม่ดังมาก แต่ผู้คนในที่แห่งนั้นกลับได้ยินชัดเจน ทำให้ผู้คนไม่น้อยลอบพยักหน้าในใจ จำต้องยอมรับว่าเย่เฟิงพูดจามีเหตุผล
ไม่ว่าอย่างไรวังเทพโอสถก็เป็กองกำลังชั้นยอดแห่งเมืองหลวง ลูกศิษย์ในสำนักมักจะชอบแข่งขันกับผู้อื่น ดังนั้นจึงคิดว่าตนเองแข็งแกร่งและไม่มีทางพ่ายแพ้ แต่เมื่อถูกฝ่ายตรงข้ามทำร้ายก็จะให้ผู้าุโในสำนักออกหน้า นี่เป็ความจริงที่ทำให้วังเทพโอสถต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง
“เื่ไร้สาระ!” ฟู่หยางเผยสีหน้าไม่สู้ดี ก่อนจะเห็นเขาตะคอกใส่เย่เฟิง แล้วพูดต่อไปว่า “ข้าไม่อยากพล่ามไร้สาระกับคนอย่างเ้า จับคนคนนี้มาให้ข้าซะ!”
เมื่อกล่าวจบ ฟู่หยางโบกสะบัดมือ ทันใดนั้นผู้ฝึกยุทธ์นับสิบคนเข้าปิดล้อมเย่เฟิง บรรยากาศต้องเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งการฆ่าฟัน
เย่เฟิงเผยสีหน้าเย็นเยียบ สิ่งที่ฟู่เจินทำกับเขาก่อนหน้านี้ ต่อให้เขาฆ่าฟู่เจิน มันก็ยังไม่สาสม แต่เพราะเห็นแก่เซี่ยจวิ้นหลง เขาจึงปล่อยอีกฝ่าย ถึงอย่างนั้นวังเทพโอสถก็ยังคงเอาผิดเื่นี้และ้าชีวิตของเขา
เย่เฟิงในเวลานี้ยังถือว่าอ่อนแอเกินไป เขาไร้กำลังต่อต้านใด ๆ เมื่อเผชิญหน้ากับแรงกดดันของกองกำลังใหญ่อย่างวังเทพโอสถ แต่เห็นชัดว่าอีกฝ่ายบิดเบือนความจริง แล้วเขาจะทำอะไรได้?
โลกแห่งการบ่มเพาะก็โหดร้ายเช่นนี้แล ต่อหน้าความแข็งแกร่งไม่มีถูกหรือผิด ช่างไม่สมเหตุสมผลเลย เพราะความแข็งแกร่งจะอยู่เหนือกฎเกณฑ์
ผู้ฝึกยุทธ์วังเทพโอสถกดดันเข้ามาเรื่อย ๆ เย่เฟิงและนักดาบแขนเดียวเตรียมตัวสู้โดยโคจรลมปราณในกาย แม้รู้ว่าตนจะต่อต้านไม่ได้ แต่ก็ไม่คิดจะหนี
“ช้าก่อน!”
ขณะที่ผู้ฝึกยุทธ์เ่าั้เตรียมตัวจะโจมตีพวกเย่เฟิง พลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้น จากนั้นเห็นเซี่ยชิงซานเดินมา ก่อนจะมองฟู่หยางด้วยสายตาเยือกเย็น
“เ้าคิดจะทำอะไร? เซี่ยชิงซาน ข้าขอเตือนเ้า เื่นี้ไม่เกี่ยวกับเ้า ทางที่ดีอย่าเข้ามายุ่ง!”
ฟู่หยางเห็นเซี่ยชิงซานเข้ามาก้าวก่ายเื่นี้ สีหน้าก็เยือกเย็นขึ้นกว่าเดิม เขากำลังจะได้รับตำแหน่งประมุขวังเทพโอสถ แต่มีคนกล้าทำร้ายบุตรชายของเขาเช่นนี้ เขาก็ย่อมต้องจัดการให้เข็ดหลาบ เพื่อเป็ตัวอย่างที่ดี!
“แต่ข้าคิดว่าน้องชายคนนี้พูดจามีเหตุผล การแข่งขันในแดนลับยอดเขาเทพโอสถเป็ไปอย่างยุติธรรม การปะทะจึงเป็สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ในฐานะเ้าภาพวังเทพโอสถควรปฏิบัติอย่างเท่าเทียม ฟู่เจินไร้ความสามารถ จึงแพ้น้องชายคนนี้ อันที่จริงทำวังเทพโอสถขายหน้าเสียด้วยซ้ำ แต่เ้าในฐานะบิดาไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกละอายใจ ยังกล้าใช้อำนาจตัวเองเพื่อปกป้องลูกชาย หากเื่นี้แพร่งพรายออกไป ชื่อเสียงของวังเทพโอสถคงถูกทำลายเพราะเ้าสองพ่อลูก!”
เซี่ยชิงซานกล่าวช้า ๆ อย่างฉะฉาน เพียงไม่กี่ประโยคก็ทำให้ฟู่หยางและฟู่เจินกลายเป็คนผิด
“ผู้าุโสองพูดจามีเหตุผล วังเทพโอสถเป็กองกำลังชั้นยอดแห่งเมืองหลวง ก็ควรมีความยุติธรรม เพียงเพราะการแข่งขันของคนรุ่นเยาว์ แต่จะไปลงโทษผู้อื่นงั้นหรือ?” ผู้าุโคนหนึ่งฝ่ายเซี่ยชิงซานกล่าวเสริม
“พูดให้มันน้อย ๆ หน่อย เ้าเซี่ยชิงซานไม่มีสิทธิ์นั้น ยังไงวันนี้ข้าก็ต้องฆ่าเขาให้จงได้!”
ฟู่หยางกล่าวเสียงเย็น เขาไม่เห็นเซี่ยชิงซานและคนอื่นอยู่ในสายตาแม้แต่นิดเดียว หากไม่เอ่ยถึงเื่ที่เย่เฟิงเผาฟู่เจินในแดนลับ เพียงแค่เื่ที่เย่เฟิงได้นวมรดกไป ฟู่หยางก็มีเหตุผลเพียงพอที่จะฆ่าเย่เฟิงแล้ว
ในฐานะผู้าุโใหญ่ของวังเทพโอสถ นวมรดกหมายถึงอะไร มีหรือเขาจะไม่ทราบ? เขากำลังจะได้สืบทอดตำแหน่งประมุขวังเทพโอสถ จึงไม่อยากเก็บภัยไว้ข้างกาย