คนของจวนชางหรงโหวจะมาอย่างนั้นหรือ? เฟิ่งหลิงมองูเาเขียวชอุ่มและเมฆหมอกตรงหน้า ในหัวพลันปรากฏภาพใบหน้าสุขุมเยือกเย็นขึ้น เขายิ้มเยาะตนเอง เหตุใดจึงคิดถึงคนผู้นั้นได้เล่า
จู่ๆ มีมือคู่หนึ่งตีลงบนไหล่อย่างแรง เฟิ่งหลิงไม่สนใจ ค่อยๆ หันไปมองบุรุษผู้มีสีหน้าท่าทางหมดสนุก อีกฝ่ายสบถออกมาครั้งหนึ่ง “พี่สามไม่เคยเห็นข้าอยู่ในสายตาเลยหรือ? ข้าอุตส่าห์เตรียมรับการโจมตีแล้วแท้ๆ”
เฟิ่งฉีเก็บมือลง ยังคิดไปว่าตนเองลงมือกะทันหัน พี่สามจะหันมาชกเขาสักหมัดเสียอีก
“เพราะเ้าไม่มีจิตสังหารไงเล่า น้องสี่ เ้าว่างมากหรือ?”
“พี่สาม ที่นี่ไม่มีผู้อื่นอยู่ ท่านย่าก็ยังพักผ่อนอยู่ในห้อง ต่อหน้าข้าท่านไม่ต้องทำท่าทางป่วยออดๆ แอดๆ ได้หรือไม่ เห็นแล้วข้าอึดอัดนัก”
น้องสี่ปากก็บอกว่าน้องเจ็ดดื้อรั้น แต่ในสายตาของเขา ทั้งสองช่างเหมือนกันยิ่งนัก “ยังดีที่น้องเจ็ดไม่มา มิฉะนั้น...”
“อย่าเลย หากนางมา วันเวลาดีๆ ของข้าคงพังหมด”
เป็พี่น้องกันแท้ๆ แต่เด็กคนนั้นกลับฟังแต่คำของพี่สาม ช่างเถิด อย่างไรเสียในจวน กระทั่งท่านพ่อท่านแม่ก็ยังจนใจกับนาง
เฟิ่งหลิงมองไปยังห้องพักทางทิศเหนือ ไตร่ตรองครู่หนึ่ง “คืนนี้จะมีคนจากจวนชางหรงโหวมาที่นี่”
จวนชางหรงโหว? “เช่นนั้นคู่หมั้นของท่านก็...” เฟิ่งฉีแย้มยิ้มเ้าเล่ห์
“ยังไม่ได้สู่ขอ จะเป็คู่หมั้นได้อย่างไรเล่า?”
เฟิ่งฉีราวกับคิดอะไรบางอย่างได้ สายตาพลันฉายแววคลุมเครืออยู่หลายส่วน “หากต้องจัดพิธีมงคลเพื่อไล่เคราะห์ร้ายจริง ข้าว่าเป็ลูกอนุภรรยาผู้นั้นยังดีเสียกว่า วันหน้าหากได้รับาเ็ ท่านก็ไม่ต้องกังวลแล้ว”
“หากผู้อื่นมาได้ยิน เ้าจะทำให้ชื่อเสียงของนายเสียหาย”
“หากพี่สามยอมบอกข้ามาว่ายารักษาแผลนั่นได้มาจากไหน...” เสียงพูดคุยหยอกล้อของสองพี่น้องค่อยๆ ไกลออกไป
...
ยามค่ำ คนของจวนโหวได้มาถึงวัดเทียนฝู
“ท่านเ้าอาวาส รบกวนท่านแล้วเ้าค่ะ”
“ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ต้องมากพิธี เชิญด้านในเถิด”
พระลูกวัดนำทุกคนไปยังห้องฝั่งทิศเหนือ ห้องของอวิ๋นซูอยู่ติดกับห้องของฮูหยินผู้เฒ่า ส่วนเรือนของเหลยซื่อและหลิ่วอวิ๋นฮว๋าอยู่ห่างไปค่อนข้างไกล ทำให้การคาดเดาในใจของวิ๋นซูยิ่งลึกล้ำมากขึ้นหลายส่วน
รอจนกระทั่งฮูหยินผู้เฒ่ารับประทานอาหารเย็นเสร็จ อวิ๋นซูจึงช่วยนางฝังเข็ม ใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าเต็มไปด้วยความพึงพอใจ “โชคดีที่พาเ้ามาด้วย อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ บอกไม่ได้เลยว่ากระดูกกระเดี้ยวของหญิงชราอย่างข้าจะรับไหวหรือไม่”
“ร่างกายของท่านย่าดีขึ้นมากแล้วเ้าค่ะ ซูเอ๋อร์เห็นว่าตลอดทางที่ขึ้นเขามานี้มีสมุนไพรอยู่ไม่น้อย พรุ่งนี้เช้าซูเอ๋อร์อยากจะออกไปเก็บกลับมาเสียหน่อย สมุนไพรที่เก็บจากเขาไม่เหมือนกับที่ขายที่ร้านยา ประสิทธิภาพก็ดีกว่าเ้าค่ะ”
ระยะนี้ฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกว่าร่างกายของตนมีพละกำลังมากขึ้น ทำให้เชื่อมั่นในวิชาแพทย์ของอวิ๋นซูมากกว่าเดิมทั้งยังคิดว่ามีประโยชน์ต่อร่างกายของตน นางจึงยิ้มเป็เชิงอนุญาต
เช้าตรู่วันถัดมา อวิ๋นซูสะพายตะกร้าออกจากห้องไปั้แ่เช้า
บนูเาอากาศบริสุทธิ์ แม้จะหนาวเย็น แต่ก็ทำให้นางรู้สึกสบายกายสบายใจ ได้มีชีวิตอยู่อีกชาติหนึ่ง นางรู้สึกหวงแหน่เวลาอันสงบเงียบในใจที่หาได้ยากนี้เป็พิเศษ
สมุนไพรในป่าบนูเามีมากมายดังคาด ซึ่งต่างกับสมุนไพรที่ผู้คนปลูกขึ้นเองโดยสิ้นเชิง ยามนี้อวิ๋นซูสวมชุดผ้าป่าน ผูกผมเป็หางม้าง่ายๆ ทั้งยังมิได้ประทินผิวทว่ากลับมิอาจปกปิดใบหน้าอันงดงามสุกใสของนางได้
เดินเข้าไปในป่าได้ไม่นาน นางก็รู้สึกแปลกๆ ราวกับมีคนจ้องมองอยู่ในเงามืด นางจับมีดที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้ออย่างตื่นตัว เสียงฟุ่บดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงแหลมๆ จากกอหญ้า อวิ๋นซูรีบควักมีดออกมาพลางมองไปยังทิศทางนั้น ไม่นึกว่าจะเป็เพียงกระต่ายป่าสีน้ำตาลตัวหนึ่งะโออกมา
นางถอนหายใจเบาๆ ครั้งหนึ่ง ได้ยินฮูยินผู้เฒ่ากล่าวว่าหลังูเาลูกนี้เป็สนามล่าสัตว์ของราชวงศ์ แต่ถูกปิดล้อมเอาไว้แล้ว ป่าผืนนี้จึงนับได้ว่าปลอดภัยยิ่ง มีเพียงสัตว์ป่าตัวเล็กที่ไม่เป็อันตรายเท่านั้น
บนต้นไม้ บุรุษผู้หนึ่งมองเงาร่างบอบบางที่อยู่ไม่ไกลอย่างประหลาดใจ มุมปากยกเป็วงโค้ง นางเองก็มาด้วย เพียงแต่นางช่างระมัดระวังตัวมากเหลือเกิน
คุณหนูจากจวนโหวถึงกับสามารถแยกแยะสมุนไพรได้ วิชาแพทย์ของนางมาจากที่ใด? ไม่ค่อยได้ยินผู้คนพูดถึงคุณหนูหกของชางหรงโหวมากนัก เฟิ่งหลิงเห็นถึงลักษณะอันแตกต่างจากสตรีอื่นของอวิ๋นซู นางไม่อ่อนโยนเฉกเช่นสตรีในห้องหอ แต่กลับมีสายตาแข็งกร้าวที่ยากจะคาดเดา ประสบการ์เช่นไรกันที่สามารถหล่อหลอมสตรีผู้หนึ่งให้มีความคิดลึกล้ำเช่นนี้ได้ เฟิ่งหลิงรู้ว่าบุตรีของอนุภรรยาอาจจะไม่ได้รับการปฏิบัติที่ดีเฉกเช่นบุตรีของภรรยาเอก แต่จะอย่างไรจวนโหวก็ไม่ควรจะปฏิบัติต่อบุตรีอนุภรรยาอย่างรุนแรงเกินไปนัก
นางช่างกล้ายิ่งนัก สตรีผู้หนึ่งถึงกับเข้ามาในป่าเพียงลำพัง เฟิ่งหลิงคิดว่าตนเองไม่ได้มีงานอดิเรกประหลาดๆ จึงทำเพียงแย้มยิ้ม เก็บน้ำค้างยามเช้าให้เรียบร้อยแล้วจึงะโหายไปบนยอดไม้
“พี่สาม ท่านดูสิว่านี่อะไร?”
ณ ปากทางเข้าป่าเขาได้พบกับเฟิ่งฉีที่หิ้วกระต่ายป่าตัวหนึ่งอยู่ในมือ “กินอาหารเจเสียตั้งนาน ในที่สุดก็มีเนื้อให้กินแล้ว!”
เฟิ่งหลิงยิ้มอย่างอ่อนใจ “อย่าให้ท่านย่าเห็นเชียว ข้าปกป้องเ้าไม่ได้หรอกนะ”
“ฮ่าๆ วางใจเถิดพี่ชาย ข้าจะแบ่งขากระต่ายให้ท่านข้างหนึ่ง!”
มองดูกระต่ายป่าเือาบตัวนั้น เฟิ่งหลิงรู้สึกราวกับมีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง คิ้วกระบี่ขมวดแน่น “รอเดี๋ยว ให้ข้าดูหน่อย”
“เอ๋ พี่สาม กระต่ายป่าตัวเล็กเพียงนี้ อย่างมากก็ให้ท่านเพิ่มได้อีกขาเดียว...”
“เ้าดูรอยแผลสิ!”
เฟิ่งฉีเห็นสีหน้าจริงจังของอีกฝ่าย จึงมองไปอย่างสงสัย าแบนตัวของกระต่ายราวกับเกิดจากฟันอันแหลมคม “กระต่ายตัวนี้ข้าเก็บได้จากป่าด้านหน้า อาจจะถูกสัตว์ป่าตัวไหนทำร้ายเลยหนีมาก็เป็ได้”
ทั้งสองสบตากัน คิดขึ้นมาได้ว่าป่าของวัดเทียนฝูแห่งนี้ไม่มีสัตว์ป่าดุร้ายอะไรอยู่ เช่นนั้นกระต่ายนี่...
ทั้งสองรีบไปสืบหายังทิศทางของสนามล่าสัตว์ของราชวงศ์ และได้เจอเข้ากับตาข่ายเหล็กไม่สะดุดตาอันหนึ่ง มีรูขนาดใหญ่ที่ถูกสัตว์ดุร้ายกัดขาดบริเวณด้านล่าง
“คงต้องกลับไปเตือนพระลูกวัดเสียหน่อยแล้ว ทางที่ดีไม่ควรเข้ามาในป่าตอนกลางคืน” เฟิ่งฉีมองกระต่ายป่าในมือของตน แล้วรีบย้ายหินขนาดมหึมาก้อนหนึ่งมาปิดรูนั้นไว้
ทันใดนั้น สายตาของเฟิ่งหลิงพลันเปลี่ยนไป จากการสังเกตาแและเืบนร่างของกระต่ายตัวนั้น ดูเหมือนว่าแผลเพิ่งจะเกิดได้ไม่นาน “แย่แล้ว!”
“พี่สาม ท่านจะไปไหน?!”
เพียงพริบตาเดียว บุรุษรูปงามก็เลือนหายไปจากสายตา เฟิ่งฉีเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ วิชาตัวเบาของพี่สามยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้เชียว วันนี้นับว่าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว!
...
ดวงตาคมกริบมองข้ามผ่านพงหญ้า จ้องเขม็งไปยังเงาร่างที่เคลื่อนไหวเชื่องช้าตรงหน้า ในปากส่งเสียงครืดคราดออกมา
อวิ๋นซูก้มตัวลง นำสมุนไพรที่เก็บมาใส่เข้าไปในปากแล้วเคี้ยวเบาๆ คิ้วงามดั่งกิ่งหลิวของนางขมวดแน่น บนสมุนไพรนี้มีรสเืติดอยู่
เมื่อก้มลงมองพบว่าหญ้าตรงเท้ามีรอยเือยู่เล็กน้อย เสียงที่ดังขึ้นข้างหลังทำให้นางหันกลับไปมอง พบว่าหมาในสีดำสองตัวกำลังคืบคลานเข้ามาทั้งยังแยกเขี้ยวแหลมคม เดินย่างจากพื้นหญ้าใกล้นางเข้ามาทีละก้าวๆ
สายตาของอวิ๋นซูพลันเย็นเยียบ ที่นี่มีหมาในอยู่ด้วยหรือ?! นางกวาดตามองไปยังศพกระต่ายสองตัวที่ถูกพวกมันทิ้งไว้ด้านหนึ่ง มือค่อยๆ ยื่นไปในแขนเสื้อช้าๆ
“อย่าเคลื่อนไหวสุ่มสี่สุ่มห้า!” เสียงอันตึงเครียดดังมาจากบริเวณห่างไกล อวิ๋นซูเงยหน้ามองอย่างตกตะลึง เห็นร่างที่มีดวงตาเปล่งประกายราวดวงดารากำลังวิ่งมาทางตนด้วยความเร็ว ลมปะทะผมหน้าม้าของคนผู้นั้นปลิวไสว ดวงหน้างดงามค่อยๆ เด่นชัด ปรากฏแววกังวลและความหวาดหวั่นในสายตา
ยังดี ในที่สุดก็ตามทันแล้ว! เฟิ่งหลิงหยุดเท้าลง ค่อยๆ เข้าใกล้นางอย่างระมัดระวัง กลัวว่าหมาในสองตัวนั้นจะถูกตนเองทำให้โมโหจนทำร้ายอวิ๋นซูเข้า ทว่าพวกมันสองตัวกลับมองเขาอย่างระแวดระวัง สุดท้ายก็ยังคงมีเป้าหมายอยู่ที่นาง
สัตว์เองก็มีสัญชาตญาณสัตว์ป่าในการเลือกลงมือกับเหยื่อที่เหมาะสมที่สุด เฟิ่งหลิงรู้สึกจากใจ ว่าคุณหนูหกผู้นี้ช่างโชคร้ายเหนือธรรมดาเสียจริง
เป็เขา?! อวิ๋นซูมองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็บุรุษที่นางเจอที่หน้าร้านยาเมื่อวันนั้น
ไม่มีเวลาคิดอะไรให้มากมายแล้ว บุรุษผู้นั้นทำมือเป็สัญญาณ “อย่าเคลื่อนไหวสุ่มสี่สุ่มห้า ค่อยๆ ถอยออกมา!”
อวิ๋นซูกลั้นใจ นางมีความรู้สึกอย่างรุนแรงว่าหมาในหิวโซสองตัวนั้นกำลังจ้องเขม็งมายังลำคอของตน นางก้าวขาเบาๆ ทว่ากลุ่มหญ้าเขียวชอุ่มตรงเท้ากลับทรยศการกระทำของนางเข้าเสียแล้ว
เมื่อได้ยินเสียงต้นหญ้าแว่วมา หมาในพลันหมอบตัวลงตั้งท่าเตรียมจู่โจม “กรร...”
ตอนนี้ในสมองของเฟิ่งหลิงคิดเพียงว่าจะให้นางาเ็ไม่ได้! เขามองไปยังเขี้ยวในปากของหมาในดุร้ายทั้งสองตัว จะทำอย่างไรพวกมันถึงจะเปลี่ยนเป้าหมายเล่า? สายตาทอดมองไปยังกระต่ายในพงหญ้าที่ย้อมอาบไปด้วยเืสดๆ ทั้งร่าง พลันนั้น เฟิ่งหลิงยื่นนิ้วมือของเขาไปยังข้อมืออีกข้างหนึ่งแล้วออกแรงข่วนจนปรากฏรอยเืขึ้นสามรอยที่มาพร้อมกับความเ็ป เือุ่นๆ ก็พลันไหลออกมา
หน้าตาของหมาในทั้งสองดุดันน่ากลัว พร้อมจะะโเข้าใส่ได้ทุกเมื่อ ทว่าจู่ๆ พวกมันกลับหันมามองทางเฟิ่งหลิงที่อยู่ไม่ไกล อวิ๋นซูมองไปยังเืสีแดงสดที่ไหลออกมาจากข้อมือของเขาอย่างตกตะลึง นี่เขาถึงกับ...
กลิ่นของโลหิตกระตุ้นให้หมาในทั้งสองเปลี่ยนทิศทาง ขณะนี้พวกมันกำลังหิวโซ จึงถูกความกระหายเืตามธรรมชาติดึงดูดให้เข้าไปใกล้บุรุษผู้นั้น
“ท่าน...”
เฟิ่งหลิงส่งสายตาให้นางวางใจ ทั้งยังห้ามนางไม่ให้เข้ามาใกล้ เขาถอยหลังช้าๆ เพื่อให้นางอยู่ในตำแหน่งที่ปลอดภัย
เขาชูมือขึ้นเพื่อให้หมาในสองตัวนั้นเห็นชัดเจนยิ่งขึ้น “อยากกินหรือไม่เล่า? ตามข้ามานี่”
“...” บ้าไปแล้ว! หมาในสองตัวนี้เทียบเคียงได้กับสุนัขป่าเลยเชียว เขาคิดจะใช้หมัดเปล่าๆ รับมือหรือ? นางรีบหยิบมีดสั้นที่ซ่อนเอาไว้ในแขนเสื้อออกมา
มีดสั้นเล่มหนึ่งลอยมาจากฟ้า ตกลงตรงหน้าหมาในทั้งสองอย่างไม่คาดคิด อยู่ห่างจากเฟิ่งหลิงไป่หนึ่ง
“...” บนใบหน้าของอวิ๋นซูปรากฏริ้วสีแดงอย่างกระดากอาย เฟิ่งหลิงหัวเราะออกมาอย่างไม่คิดปิดบัง มุมปากแย้มยิ้มเป็วงโค้ง “ขอบคุณ คุณหนูหกพยายามเดินไปห่างๆ หน่อยเถิด”
เขาทราบฐานะของตนได้อย่างไรกัน? อวิ๋นซูไม่อยากใช้พิษต่อหน้าผู้อื่น ตนทราบดีว่าช่วยอะไรเขาไม่ได้ ั์ตาจึงฉายแววขอโทษเล็กน้อยแล้วปลีกตัวไปยังที่ที่ปลอดภัย ณ เวลานี้ตัวเลือกที่ดีที่สุดก็คือไปยังวัดเทียนฝูเพื่อหาคนมาช่วย
เฟิ่งหลิงไม่โทษที่สตรีนางนั้นทิ้งไปอย่างไม่สนใจ แต่กลับจะชื่นชมในความเด็ดขาดของนางเสียอีก เพราะทางเลือกที่ฉลาดที่สุดก็คือรีบไปตามคนมาช่วย อย่างไรก็ตาม สำหรับตนแล้วหมาในสองตัวนี้ไม่นับเป็อะไรได้
นางวิ่งอย่างรวดเร็วอยู่ในป่า เฟิ่งฉีเห็นเงาร่างหนึ่งวิ่งเข้ามาตรงหน้า พลันปรากฏความประหลาดใจในดวงตา และนึกถึงท่าทางตึงเครียดขของพี่สามของตนขึ้นมาได้ ที่แท้ก็กังวลว่าคนงามจะมีปัญหานี่เอง เขาถึงได้รีบไปทันที “คุณหนูหก พี่่สามของข้าเล่า?”
คนผู้นี้...คือคุณชายสี่ของจวนชางติ้งโหว! อวิ๋นซูตกตะลึงเล็กน้อย พี่สามอย่างนั้นหรือ? หรือแท้จริงแล้วคุณชายเมื่อครู่ก็คือคุณชายสามแห่งจวนชางติ้งโหว แต่ไม่ใช่ว่าคุณชายสามป่วยออดๆ แอดๆ หรอกหรือ?
ณ วินาทีนี้ อวิ๋นซูตระหนักได้ว่าตนเองได้ไปล่วงรู้ความลับที่ไม่ควรรู้เข้าเสียแล้ว