“ข้าคงต้องจัดการเ้าก่อนเสียแล้ว เ้ารนหาที่ตายเองนะเวินติ่งเทียน!”
เฉินเย่เซิงะเิจิตสังหารออกมาอย่างรุนแรง แสดงเจตนาจะฆ่าคนออกมาอย่างชัดเจน
เขาไม่กล้าและไม่คิดจะเผชิญหน้ากับหลินหยางแน่นอนจึงต้องรีบจัดการเวินติ่งเทียนทิ้งให้เร็วที่สุดจากนั้นก็รีบเผ่นหนีออกไปให้ไวที่สุด
เขาเร่งพลังฟ้าดินในร่างกายออกมาบนมือของเขาชักเอาดาบสั้นสองเล่มออกมา ถึงตัวเขาจะไม่ได้ออกตัวต่อสู้เองมาเป็เวลานานแล้วก็ตามแต่พลังต่อสู้ระดับเซียนเทียนของเขาก็ไม่ใช่แค่ของประดับแน่ๆพอสองดาบเริ่มร่ายรำขึ้นมาก็เกิดเป็คมดาบที่ยาวถึงครึ่งเมตร
ตายย!
เขาร่วมมือกับที่ปรึกษาภายนอกอีกสองคนบุกเข้าหาเวินติ่งเทียนพร้อมกันหมายจะปลิดชีพอีกฝ่ายในครั้งเดียว
แต่ผลลัพธ์คือ มีแสงสีแดงสายหนึ่งพุ่งผ่านเขาไปอย่างรวดเร็ว
จากนั้นเขาก็รู้สึกว่าแขนทั้งสองข้างของเขา อยู่ๆ ก็ถูกพลังอันหนักหน่วงกระแทกเข้าใส่จนดาบสั้นหลุดปลิวออกจากมือไป
เพียะ!
บริเวณใบหน้าของเฉินเย่เซิงพลันรู้สึกเหมือนมีหมัดขนาดเล็กแต่หนักหน่วงชกเข้าใส่เต็มหน้าไปทีหนึ่งฟันกรามสองซี่หลุดออกมาจากปากทันทีหลังจากนั้นก็ถูกพลังอันมหาศาลจับเหวี่ยงจนหัวคะมำ
จากนั้นแสงไฟดวงนี้ก็บินว่อนไปทั่วพร้อมกับเข้าโจมตีพวกตระกูลเฉินทุกคนอย่างรวดเร็วในชั่วพริบตาที่เ้าแสงไฟดวงเล็กๆ นี่บินผ่าน คนของตระกูลเฉินพลันปลิวกระเด็นหมุนว่อนราวลูกข่าง
เ้าตัวบ้านี่... แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!!
ขนาดคนของตระกูลเวินเองก็อึ้งไปแล้วเหมือนกัน
ไม่รู้ว่ายอดฝีมือผู้นี้มาจากไหนแต่มันแข็งแกร่งจนเกินเหตุไปแล้ว สนามรบระหว่างทั้งสองตระกูลเองก็ไม่ใช่เล็กๆแต่นี่แค่ไม่ถึงครึ่งนาทีกลับสามารถวนครบหนึ่งรอบแล้วศัตรูบางคนถึงกับมีรอยฟกช้ำบนใบหน้านับสิบจุดก่อนจะล้มลงไป
ผู้คนเริ่มมองตามแสงไฟศักดิ์สิทธิ์นี่ไม่ทันแล้ว
ผ่านไปไม่นาน หลังจากที่จัดการเก็บกวาดเรียบร้อยแล้วแสงไฟดวงนั้นก็กลายเป็เ้านกสีแดงตัวน้อยหั่วเอ๋อร์ที่มีขนาดเล็กจิ๋วเท่ากับกำหมัดสองข้างเท่านั้น
“นั่นมันสัตว์เลี้ยงของคุณหนูชิงชิงนี่!”
คนของตระกูลเวินหลายคนเห็นเวินชิงชิงพาเ้านกกระจอกขนแดงตัวนี้มาด้วยแต่ใครจะรู้ว่าเ้านกกระกระจอกตัวน้อยที่ดูไร้พิษสงตัวนี้จะแข็งแกร่งจนน่าสะพรึงได้ขนาดนี้
“สัตว์เลี้ยงบ้าอะไร เรียกข้าว่าท่านหั่วเอ๋อร์สิวะ!!”
หั่วเอ๋อร์กวาดตามองพวกมนุษย์รอบตัวด้วยสายตาไม่พอใจข่มขู่พวกมันว่าจะจับมาเสียบไม้ย่างกินซะ จากนั้นก็กระพือปีกไปบนหัวของซ่างกวันเฟยและเฉินเย่เซิงอย่างหงุดหงิด
ขาที่มีอยู่ข้างเดียวของมันพลันเปล่งแสงอันศักดิ์สิทธิ์สีแดงออกมาจากนั้นก็แปรเปลี่ยนไปเป็ขานกขนาดใหญ่กว่าตัวมันหลายเท่า จากนั้นก็จับเอาซ่างกวันเฟยและเฉินเย่ซิงสองคนกลับมาอย่างกับแบกถุงทรายไปหากลุ่มของเวินติ่งทียน
คนทั้งหมดต่างก็ยืนดูหั่วเอ๋อร์ที่ขนาดตัวเล็กจิ๋วนั่นจับตัวคนสำคัญที่สุดสองคนไปแบบเงียบๆ จากนั้นก็โยนไว้ใต้เท้าของเวินติ่งเทียนอย่างกับทิ้งขยะ
“เ้าจัดการต่อแล้วกันนะ...”
มันเหลือบมองเวินติ่งเทียนไปทีหนึ่งจากนั้นก็บินกลับเข้าไปบนไหล่ที่ประดับด้วยขนนกของเสื้อของเวินชิงชิงโดยไม่ได้พูดอะไรไร้สาระ
“เ้าเก่งจังเลย หั่วเอ๋อร์”
เวินชิงชิงไม่คิดเลยว่า เ้าไก่น้อยตัวสีแดงที่หลินอี้พากลับมาจะแข็งแกร่งขนาดนี้นางจึงจับเ้าหั่วเอ๋อร์ขึ้นมาหอมเข้าไปฟอดใหญ่ด้วยความดีใจ
“อา...อู...อย่า อย่า... ชิงชิง...เ้าอย่าทำแบบนี้...ข้าเป็ตัวผู้นะ...”
ถึงปากจะพูดปฏิเสธ แต่ท่าทางมันดูไม่ได้กำลังปฏิเสธเลยสักนิดบนใบหน้าเล็กของมันดูเต็มไปด้วยความสุข
โอ...
ที่แท้ มนุษย์นอกจากจะใช้กินได้แล้วยังมีข้อดีแบบนี้อยู่ด้วยหรือนี่...
ข้าตัดสินใจแล้ว ถ้าข้าได้พลังกลับคืนมาเมื่อไหร่ละก็ข้าจะเลี้ยงสาวสวยเอาไว้สักหลายคน ให้หอมแก้มข้าทั้งวันเลย
ฝั่งนี้ สนามรบแห่งที่สองก็ถูกหั่วเอ๋อร์จัดการจนสงบในพริบตาเดียวตระกูลเวินตกอยู่ในห้วงแห่งความยินดีอย่างสุดซึ้ง
ส่วนอีกฝั่งนั้นเฉินเย่เซิงนั้นทำหน้าเ็ปราวกับกำลังตกลงสู่นรกไร้ก้นบึ้ง
ตระกูลเวินมันยังมีนกที่แข็งแกร่งแบบนี้อยู่ด้วยหรือนี่!!
ในจังหวะที่เขากำลังล้มลงกับพื้นนั้น เวินติ่งเทียนก็รีบมาจับตัวเขาไว้ส่วนซ่างกวันเฟยก็ถูกยี่สิงอวิ๋นใช้อาวุธิญญาชิ้นหนึ่งกดหัวเขาเอาไว้
สถานการณ์เปลี่ยนแปลงเร็วเกินไป เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนเขายังคิดอยู่เลยว่าจะกำจัดตระกูลเวินออกไปจากเมืองอวิ๋นเฉิงแห่งนี้อย่างไรแต่ผลลัพธ์กลับกลายมาเป็ว่าเขาทั้งสองคนถูกจับจนเหมือนกับวัวในโรงเชือดไปแล้ว
ไอ้เวรเอ๊ย สถานการณ์แบบนี้มันบ้าบอเกินไปแล้ว!!
“ท่านหวัง!!”
พอเป็แบบนี้แล้ว เฉินเย่เซิงต่อให้มีแผนการนับร้อยก็ไม่สามารถใช้ได้แล้วจึงต้องหันไปขอร้องอ้อนวอนกับหวังิชงที่เป็ทางรอดสุดท้ายของตน
ส่วนหวังิชงนั้นเพราะสาเหตุอะไรบางอย่างทำให้มันเป็ห่วงชีวิตของเฉินเย่เซิงมาก
“หยุดเดี๋ยวนี้นะเวินติ่งเทียน!!” เขาะโอย่างเดือดดาล จากนั้นประกาศข่มขู่อย่างแข็งกร้าวทันทีว่า “ถ้าเ้ากล้าทำอะไรเฉินเย่เซิงละก็ เท่ากับเ้าตั้งตัวเป็ศัตรูกับฝ่ายผู้ดูแลภายในของข้าข้าจะไม่เก็บคนของตระกูลเวินไว้สักคนแน่!”
หวังิชงที่จริงอยากจะสั่งให้เหล่าองครักษ์บุกเข้าไปชิงตัวของเฉินเย่เซิงมาแทบขาดใจแต่เ้านกสีแดงตัวน้อยนั่นมันก็ร้ายกาจจนน่ากลัวเกินไปจึงต้องกลืนคำสั่งนั่นลงไปอย่างช่วยไม่ได้
“ทหาร ส่งคนไปเรียกหัวหน้าองครักษ์อีกสามท่านมาช่วยเหลือโดยด่วน...”
เขามอบคำสั่งให้กับสมุนข้างกายไป ขณะเดียวกันก็สั่งให้ทหารองครักษ์ทั้งสองพันคนโอบล้อมตระกูลเวินเอาไว้
ขอแค่เฉินเย่เซิงไม่ตาย พอกองหนุนมาถึงเมื่อไหร่หวังิชงก็จะสั่งบุกทะลวงซึ่งๆ หน้าทันที
แต่น่าเสียดาย...หลินหยางไม่ปล่อยให้พวกเขามีโอกาสได้ทำตามแผนที่วางไว้
ในที่สุดการต่อสู้อย่างดุเดือดระหว่างหลินหยางและซูิชุนก็ได้ข้อสรุปแล้ว
ทวนดุจัเล่มนั้นถูกฝ่ามืออัคคี์ของหลินหยางซัดกระเด็นกลางอากาศสองมือของซูิชุนนั้นถูกฝ่ามือเพลิงของหลินหยางเผาลวกจนเป็แผลพุพองเต็มไปหมดซูิชุนกระอักเือย่างรุนแรงจนพ่ายแพ้ไปในที่สุด
“คุกเข่าลงไปซะ!”
หลินหยางประกาศกร้าวใส่ศัตรูอันแข็งแกร่งที่หาได้ยากยิ่งของเขาฝ่ามือคู่ของหลินหยางพลันประทับเข้ากลางอกของศัตรูจากนั้นก็กดลงไปอย่างหนักหน่วงรุนแรงเป็การโจมตีครั้งสุดท้าย
หนึ่งในเทพาแห่งอาณาจักรชูอวิ๋นตอนนี้ถูกซัดปลิวจากบนฟ้าจนตกลงมากระแทกพื้นดินอย่างรุนแรงดุจดาวตกสายหนึ่งจากนั้นก็มีควันลอยฟุ้งเต็มไปหมดเมื่อควันหายไปก็พบแต่หลุมลึกที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์อยู่บนพื้นซูิชุนถูกฝังลึกลงไปในดินแล้ว เป็ตายอย่างไรก็ไม่อาจทราบได้
“สู้ได้ดี!”
คนที่ะโยินดีขึ้นมาก่อนใครท่ามกลางฝูงชนคือตู้ิ
ท่าทางของแม่ทัพของกองกำลังพิทักษ์เมืองท่านนี้ใน่ที่ผ่านมานั้นดูหม่นหมองอย่างมากเหมือนกับว่าจะถูกสั่งไม่ให้ลงมือช่วยเหลือแต่ก็รู้สึกโกรธแค้นแทนตระกูลเวินอยู่ด้วยเช่นกัน
จนมาถึงตอนที่หลินหยางปรากฏตัว ปราบศัตรูได้อย่างต่อเนื่องมันช่างรู้สึกสะใจเสียเหลือเกิน ท่านแม่ทัพตู้ิผู้นี้รู้สึกยินดีจนแทบคลั่งคราวนี้เขาถึงกับเป็คนแรกที่แสดงความยินดีให้กับหลินหยาง
พอเขาะโออกมา
เหล่าทหารพิทักษ์เมืองอีกกว่าหมื่นชีวิตก็ะโแสดงความยินดีด้วยเสียงอันดังตามนายของพวกเขา
การต่อสู้ของหลินหยางในวันนี้นับว่าดุเดือดเืพล่านถึงที่สุดหมัดเหล็กคู่ที่สามารถสยบทวนเทพดุจัของซูิชุนได้การต่อสู้ครั้งนี้ตื่นเต้นมากพอที่จะทำให้เหล่าชายชาตรีต้องกู่ร้องออกมาด้วยความสะใจ
แต่บรรยากาศในตอนนี้กลับยังคงตึงเครียดอยู่
คนของตระกูลเวินกำลังถูกทหารองครักษ์ล้อมกรอบเอาไว้ เวินติ่งเทียนจับตัวเฉินเย่เซิงและซ่างกวันเฟยเอาไว้กำลังรอให้หลินหยางที่คว้าชัยมาได้ตามมาสมทบเพื่อตัดสินชะตาชีวิตของมันทั้งสอง
ตึง
หลินหยางกลับลงสู่พื้นดิน
คลื่นลมรูปวงกลมกระจายออกไปรอบตัวเขาอย่างน่าเกรงขามทำให้เหล่าทหารองครักษ์ถึงกับต้องปิดตาลง
เขาเดินเข้าไปทางวงล้อมด้วยสีหน้าเ็าพร้อมกับคราบเืที่เปื้อนเต็มตัวโดยไม่ได้พูดอะไรออกมา
หวังิชงที่อยู่ข้างๆ ยังคงทำใจกล้า ะโออกมาว่า
“หลินอี้ ข้าให้โอกาสเ้าครั้งสุดท้ายถ้ายอมรามือตอนนี้ยังทันอยู่ แต่ถ้าเ้ากล้าขยับไปข้างหน้าอีกแม้แต่ก้าวเดียวเท่ากับว่าเ้าประกาศเป็ศัตรูกับทั้งอาณาจักรชูอวิ๋นแห่งนี้! เ้ากับทั้งตระกูลเวินได้ล่มสลายหายไปตลอดกาลแน่!”
หลินหยางทำหูทวนลม
ตรงหน้าเขามีทวนยาวส่องแสงเยือกเย็นกำลังจ่อมาทางนี้หลายเล่ม
แกรก แกรก แกรก
ทุกก้าวเท้าที่หลินหยางเดินเข้าใกล้ก็จะได้ยินเสียงสั่นะเืของชุดเกราะที่เกิดจากการสั่นกลัวของเหล่าทหาร
หลินหยางเดินเข้าไปในฝูงทวนยาวมันทั้งๆ แบบนั้น
ทวนแต่ละเล่มจ่ออยู่ห่างจากตัวเขาไม่ถึงนิ้วแต่กลับไม่มีใครกล้าลองแทงเข้าไปเลยแม้แต่คนเดียว
บรรยากาศของหลินหยางน่ากลัวเกินไป อย่างกับอสุราที่ปีนขึ้นมาจากทะเลเืถึงทหารองครักษ์เหล่านี้จะเคยผ่านศึกมาเป็ร้อยๆ ครั้งจนไม่กลัวความตายแล้วก็ตามแต่ถ้าจะให้แลกชีวิตมันก็ต้องมีเหตุผลสมควรหน่อย
จะให้แลกชีวิตตัวเองเพื่อไอ้คนที่ไม่ว่าจะดูท่าไหนก็เห็นแต่ความชั่วอย่างเฉินเย่เซิงน่ะหรือ?
พวกเขาไม่ได้โง่หรอกนะ
ขนาดหวังิชงเอง ตอนนี้ยังไม่กล้าออกคำสั่งปะาเลยเขาเองก็กลัวว่าจะไปยั่วเทพแห่งการสังหารผู้นี้เข้าจนทำให้ตัวเองตกอยู่ในอันตรายไปด้วย
หลินหยางเลยเดินผ่านวงล้อมเข้าไปได้ง่ายๆ เสียอย่างนั้นจากนั้นก็หันมาหาเวินติ่งเทียนด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ที่คุกเข่าอยู่แทบเท้าพวกเขาตอนนี้คือเฉินเย่เซิงและซ่างกวันเฟย ไอ้ชาติหมาสมควรตายสองตัวนี้
“หรือว่าเ้าจะฟังภาษาคนไม่รู้เื่กัน หลินอี้!”หวังิชงะโขึ้นอีกครั้ง เขาพยายามถ่วงเวลาให้ได้มากที่สุด “เ้าคิดดูให้ดีนะเวินติ่งเทียน ถ้าเ้าเลือกเดินผิดทางละก็ทั้งเ้าทั้งตระกูลของเ้าได้หายไปจากเมืองนี้ชั่วนิรันดร์แน่! ข้าจะรายงานองค์จักรพรรดิ ให้บดขยี้พวกเ้าทิ้งทั้งตระกูล!!”
หวังิชงถึงกับเอาจักพรรดิมาเป็ข้ออ้างแล้ว
แต่เขาไม่มีทางเลือก ได้แต่ใช้วิธีข่มขู่อีกฝ่ายไปแบบนี้ขณะเดียวกันก็หวังให้กำลังเสริมรีบตามมาสมทบเร็วๆ
แต่หลินหยางแค่ยิ้มมุมปากทีหนึ่ง หันไปถามเวินติ่งเทียนว่า “ท่านประมุข ท่านคิดว่าอย่างไร ?”
เขากำลังทดสอบเวินติ่งเทียนอยู่
ฝ่ายผู้ดูแลภายในถือเป็ตัวแทนความคิดของราชสำนักแห่งอาณาจักรชูอวิ๋นแห่งนี้
ซึ่งหวังิชงก็ประกาศแล้วว่า ถ้าจะฆ่าก็จะต้องกลายเป็ศัตรูกับทั้งอาณาจักร!!
หลินหยางกำลังทดสอบว่าเขาใจกล้าพอที่จะตัดสินใจเสี่ยงชีวิตครั้งใหญ่แบบนี้หรือไม่และนี่จะเป็ตัวตัดสินว่าเขาจะพาตระกูลเวินก้าวไปบนเส้นทางอันรุ่งโรจน์ที่คนทั่วไปไม่มีทางจินตนาการถึงรึเปล่า
เวินติ่งเทียนหัวเราะออกมาแล้ว
รอยยิ้มนั่นทั้งเยือกเย็นสุดแสนและเด็ดเดี่ยวถึงที่สุด
เขาหันกลับมามองหลินหยาง ยกแขนข้างหนึ่งขึ้นไปชี้ที่ชั้นวางป้ายชื่อขนาดใหญ่ของหกสิบแปดชีวิตที่ตายจากไป
“หลินอี้... หลิ่วชิง ถังหงและเหล่าลูกศิษย์ของตระกูลเวินทั้งหกสิบกว่าชีวิตกำลังมองดูพวกเราอยู่จากตรงนั้นในเวลาแบบนี้ เ้าคิดว่าข้าจะทำเช่นไรเล่า?”
ดี!
หลินหยางในใจคิดว่าเขาไม่ได้ดูคนผิดจริงๆ
เขาหันกลับไปมองหวังิชงที่มีแววตาโกรธเกรี้ยวจากนั้นก็หัวเราะออกมาเบาๆ แล้วพูดออกมาประโยคหนึ่งที่ทำเอาหวังิชงโมโหจนแทบเป็ลมไปว่า
“ท่านหวัง สิ่งที่หลินอี้กำลังจะทำต่อไปนี้ทั้งหมดคือความ้าส่วนตัวของข้าแต่เพียงผู้เดียวไม่ได้เกี่ยวข้องกับตระกูลเวินเลยแม้แต่เสี้ยวเดียว ท่านจำเอาไว้ให้ดีนะความ้าส่วนตัว”
ความ้าส่วนตัว
คำๆ นี้มันช่างเสียดแทงได้เจ็บแสบจริงๆ
หวังิชงเองนั่นแหละที่ใช้วิธีพูดแบบนี้มาตัดสินว่าตระกูลเฉินไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเหตุการณ์ในเทือกเขาเมฆมรกตแต่ตอนนี้กลับถูกหลินหยางเอามาใช้ตอกกลับใส่หน้าของหวังิชงเต็มๆ
ข้า หลินหยาง คิดจะฆ่าคน ไม่เกี่ยวอะไรกับตระกูลเวินทั้งนั้น!!
“หลินอี้!!!”
หวังิชงบันดาลโทสะจนควันออกหูแต่ก็ไม่มีวิธีอะไรโต้กลับได้เลย จึงทำได้แค่ยืนตาปริบๆ มองหลินหยางค่อยๆ เดินเข้าหาสองคนที่กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้นไปอย่างนั้น
เฉินเย่เซิง ซ่างกวันเฟย
ในที่สุดพวกเ้าก็จนตรอก หมดทางหนีเสียที