เฉียวอวี่ร้องโหยหวน
ทว่ามือที่ปิดตาเยี่ยนเจาเจายังไม่ยอมปล่อย นางได้ยินเพียงเสียงแซ่กๆ ของเนื้อผ้า ครู่ต่อมาค่อยมีแสงส่องเข้าตา
คนข้างกายคือหนานิเหอตามคาด
นับเวลาดูแล้ว เกรงว่าเขาคงไม่ได้ไปเรียนที่ห้องหนังสือของเรือนนภาครามั้แ่ต้น และน่าจะย้อนกลับมาหานางหลังจากเดินไปแค่ครึ่งทาง
เยี่ยนเจาเจารู้ว่าหนานิเหอฉลาดเป็กรดแค่ไหน เขาคงจะคาดเดาทุกอย่างไว้ั้แ่ตอนเดินสวนกับเฉียวอวี่แล้ว พอไปได้ครึ่งทางก็วางใจไม่ลงสักที สุดท้ายเลยเดินกลับมาอยู่ข้างกายเยี่ยนเจาเจาแทน
บนร่างเฉียวอวี่มีชุดมัจฉาบินที่เพิ่งโดนถอดออกไปกำลังคลุมอยู่ จึงเห็นเพียงเืที่ไหลซึมออกมาเล็กน้อย
เยี่ยนเจาเจาขอบคุณการปลอบประโลมของหนานิเหอ นางสูดลมหายใจลึกเพื่อกดกลิ่นอายโเี้ที่ไหลพล่านอยู่รอบกายลงไป ก่อนจะมองดูเหล่าองครักษ์ลับที่มีสีหน้าแตกต่างกันไป
สิบเก้าคนมากันเรียบร้อย ดูท่าจะไม่ได้ไร้หนทางเยียวยากันเสียหมด
“คำพูดที่ข้าเพิ่งเอ่ยไป พวกเ้าน่าจะได้ยินกันแล้ว”
สายตาของเยี่ยนเจาเจากวาดมองทุกคนรอบหนึ่ง ก่อนยิ้มเยียบเย็น
คนเหล่านี้ล้วนมีประสบการณ์ ต่างเคยเห็นอีกด้านหนึ่งของฮองเฮาและองค์หญิงมาไม่มากก็น้อย เมื่อเห็นท่าทีเช่นนี้ของเยี่ยนเจาเจา ทุกคนก็ตกตะลึงและไม่กล้าอวดดีในท้ายที่สุด
“ในเมื่อข้าคือเ้านายของพวกเ้า ย่อมเป็เ้านายของพวกเ้าตลอดไป ข้าหวังว่าพวกเ้าจะทำตามหน้าที่ที่ขุนนางควรกระทำอย่างสุดความสามารถ
ทุกสิ่งที่เฉียวอวี่ทำลงไป ข้ารู้ว่าพวกเ้าบางคนเข้าใจ และมีบางคนพยายามคัดค้าน ทว่าไร้ประโยชน์
ซึ่งข้าไม่สนใจเื่นี้ เพียงแต่วันนี้เฉียวอวี่เป็หัวหน้าที่ทำงานได้ไม่ดี เขาจึงรับโทษแทนทุกคน แต่หากมีครั้งต่อไป จะไม่ใช่เขาคนเดียวแล้ว
พวกเ้าคิดเพียงตำแหน่งหน้าที่ของตนเองก็พอ และหากไม่เต็มใจทำแล้ว ข้าจะเอ่ย ‘คำพูดสวยหรู’ ต่อหน้าท่านป้าให้พวกเ้าเอง”
คำพูดประโยคสุดท้ายแทบจะลอดไรฟันของเยี่ยนเจาเจาออกมาทีละคำๆ สายตานางคมกริบราวกับมีด เมื่อกวาดสายตาไปที่ใคร คนนั้นก็อดสั่นสะท้านไม่ได้
พูดเป็เล่น คำพูดสวยหรูของเยี่ยนเจาเจาคงมิใช่คำพูดน่าฟังแน่
ก่อนมาที่นี่ทุกคนรู้ว่าเฉียวอวี่ทำงานล้มเหลวเลยอาจโดนคาดโทษได้ แต่ก็มีคนไม่น้อยที่คิดว่าเยี่ยนเจาเจาเป็แค่เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม คงไม่สามารถทำอะไรได้
จึงไม่มีใครคาดคิดว่าตอนที่พวกเขามาถึง เฉียวอวี่จะถูกกดลงกับพื้นและจัดการเรียบร้อยแล้ว
แม้ทุกคนต่างรู้ดีว่านี่คือคือการเชือดไก่ให้ลิงดู ทว่าความโเี้ยามที่มีดเล่มนั้นตัดเส้นเอ็นบนมือจนขาดมันช่างน่ากลัวจริงๆ...สำหรับองครักษ์ลับ หากเอ็นข้อมือขาด ชีวิตก็แทบจะไร้ค่าแล้ว
เหล่าองครักษ์ลับที่อวดอ้างว่าเคยพบอุปสรรคขวากหนามมามากมาย เกรงว่าตอนนี้คงไม่มีสิ่งใดน่ากลัวไปกว่าคำว่า ‘เยี่ยนเจาเจา’ สามคำนี้ที่ราวกับฝังลึกลงไปในจิตใจและจิติญญา จนทำให้เกิดความเคารพและหวาดหวั่นโดยไม่รู้ตัว
“ไปได้แล้ว”
เมื่อเจาเจาเอ่ยเสียงแ่เบา ทุกคนก็ทยอยกันออกไปราวกับได้หลุดพ้นสักที
“อาเหวินอาอู่ จัดการบนพื้นเสีย”
สายตาที่เยี่ยนเจาเจามองเฉียวอวี่ราวกับมองคนตาย น้ำเสียงนางเฉยชาอย่างยิ่ง
ั์ตาเฉียวอวี่มีแต่ความโกรธบิดเบี้ยว อาเหวินรู้ว่าปากเขาคงไม่มีทางพูดอะไรดีๆ เลยหยิบอาภรณ์เปรอะเปื้อนของเขาขึ้นมายัดใส่ปากแล้วลากตัวออกไป
อาอู่สังเกตเห็นว่าสีหน้าหนานิเหอซึ่งยืนอยู่ข้างหลังเยี่ยนเจาเจาเงียบๆ มาตลอด กลับเ็ายิ่งกว่าเยี่ยนเจาเจาเสียอีก แต่เขาเป็เพียงองครักษ์ลับคนหนึ่ง แค่ทำตามคำสั่งของเ้านายเท่านั้น เขาไม่จำเป็ต้องกังวลเื่อื่นนอกเหนือจากนี้
“เ้าบอกว่าเจาเจาเป็คนสั่งให้ตัดเอ็นข้อมือของเฉียวอวี่เองเลยหรือ?”
ฮองเฮาตรัสถามขณะเสวยแตงโมอยู่ริมสระมหานที โดยมีขันทีหนุ่มรูปงามกำลังทุบพระอุรุให้เบาๆ อยู่ข้างพระวรกาย
ซวงฝูปาดเหงื่อบนหน้าผาก “ใช่พ่ะย่ะค่ะ บางทีเ้าคนเลวนั่นคงรังแกคุณหนูห้าของพวกเราเข้า สมควรโดนแล้วใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ”
ฮองเฮาผงกพระเศียร “นั่นคือสิ่งที่เขาสมควรโดน ได้ไปรับใช้เจาเจาคือความโชคดีของเขา กล้าดีอย่างไรถึงกำเริบเสิบสานต่อหน้าเจาเจากัน?”
แม้พระสุรเสียงของฮองเฮาจะอ่อนโยน แต่คำตรัสกลับเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน
“ใช่ ใช่แน่นอน ถือเป็โชคดีของเขาที่ทำให้คุณหนูห้าออกปากตัดเส้นเอ็นของเขาพ่ะย่ะค่ะ”
เื่ประจบสอพลอ แน่นอนว่าซวงฝูทำได้ดียิ่งกว่าใครๆ ทว่าเขาก็ยังขมวดคิ้วจนเนื้ออวบอูมบนใบหน้าเบียดเสียดเข้าหากัน “แต่ฝ่าา เฉียวอวี่เป็...”
ฮองเฮาทรงพระสรวลเยาะหยัน ก่อนลุกขึ้นยืนแล้วโยนองุ่นในมือตนลงในทะเลสาบเบื้องหน้า “ไม่ว่าเขาจะเป็ใคร ก็มีค่าไม่เท่าเจาเจา”
“ใช่ๆๆ ฝ่าาย่อมตรัสถูกต้องพ่ะย่ะค่ะ”
สายตาของฮองเฮาเหลียงฮุ่ยทอดพระเนตรไปยังทะเลสาบเห็นปลาหลีฮื้อตัวอ้วนแข็งแรงหลายตัวกำลังแย่งลูกองุ่นที่ตนเพิ่งทิ้งลงไป จนในที่สุดก็มีผู้ชนะ ทว่าน่าเสียดายที่โลภมากมักลาภหาย ทั้งที่ปากกัดองุ่นได้แล้วแต่กลับกลืนไม่ลงเสียที
“เ้าว่าหากเนื้อถึงปากเหยี่ยวแล้ว มันจะยอมคายออกมาหรือไม่?” ความสนพระทัยในสายพระเนตรของฮองเฮาค่อยๆ เลือนหาย
“ในเมื่อเป็เหยี่ยว ย่อมไม่ยอมคายออกมาเป็ธรรมดาพ่ะย่ะค่ะ” ซวงฝูตอบ
“ทั้งที่รู้ว่าตนจะติดคอตายก็ยังดื้อดึงไม่ยอมปล่อยหรือ?” ฮองเฮาหรี่ดวงเนตรพิศมองปลาหลี่ฮื้ออวบใหญ่ตัวนั้น
ปลาหลีฮื้อกลืนลูกองุ่นไม่ลงแต่กลับไม่ยอมคาย สุดท้ายจึงติดอยู่ในคอของมันดังที่คาด เพียงชั่วแวบเดียวมันก็หงายท้องขาว ชัดว่าติดคอตายไปแล้ว
“ใต้หล้าขวักไขว่แสวงผลประโยชน์ ผู้คนคับคั่งแสวงหาผลกำไร” ซวงฝูส่ายหัวรำพึงรำพัน
ทว่าเมื่อเห็นสีพระพักตร์คาดไม่ถึงของฮองเฮา ซวงฝูจึงรีบเอ่ยต่อทันที “นู๋ไฉไม่รู้อะไรสักอย่าง เพียงฟังฝ่าาตรัสเท่านั้น แม้จะเก็บเอาคำคมของผู้อื่นมาเป็คำของตน ก็คือคำคมของฝ่าา นู๋ไฉยกมาเพิ่มน้ำหนักให้วาจาตนเองพ่ะย่ะค่ะ”
ฮองเฮาทรงพระสรวลเล็กน้อย อดดุเขาไม่ได้ “เ้าโง่ ไม่เข้าใจยังพยายามพูดเหลวไหลอีก”
ความคาดไม่ถึงบนพระพักตร์ของฮองเฮาหายไปจนเกลี้ยงแล้ว พระองค์ไม่ใส่พระทัยปลาหลีฮื้อที่จุกจนตายด้วยความโลภของตนเองอีก เพียงโบกพระหัตถ์แล้วตรัสว่า “คนผู้นี้ข้าเป็คนส่งออกไป ในเมื่อคนมีปัญหาก็ส่งคนถูกใจไปใหม่แล้วกัน”
ซวงฝูรับคำเสียงดังกังวาน
“จริงสิ หาพระราชโองการเปล่าที่ห้องทรงพระอักษรฉบับหนึ่งมาให้ข้าด้วย”
ตอนเหรินเหยาฟื้นขึ้นมา นางรู้สึกเพียงความปวดร้าวทั่วสรรพางค์กาย โดยเฉพาะส่วนลำคอที่เจ็บหนักยิ่งกว่า เปล่งเสียงแต่ละครั้งราวกับมีลมหวีดหวิวออกมา
“ฟื้นแล้วหรือ?”
เสียงอ่อนเยาว์ดังขึ้นไม่ไกล เหรินเหยาฝืนหันไปมองก็เห็นเงาร่างเล็กๆ นั่งอยู่ข้างเตียงของตน
ใบหน้าของร่างเล็กมีแต่ความสงบนิ่งไม่สมวัย แม้จะเห็นว่านางฟื้นแล้วก็เหมือนไม่ได้ยินดีสักเท่าไหร่นัก
นางยังไม่ตาย
ในเมื่อตนยังไม่ตาย จึงเท่ากับว่าตนเดิมพันถูกแล้ว
นึกย้อนกลับไปท่ามกลางความยุ่งเหยิงวุ่นวาย เหรินเหยาประทับใจตนเองที่เลือกคำตอบถูกต้องที่สุดนั้นไป
ดังนั้นนางจึงพลิกตัวลงจากเตียงด้วยแขนขาปวกเปียกไร้เรี่ยวแรงของตน ก่อนคุกเข่าตรงปลายเท้าเยี่ยนเจาเจาแล้วโค้งคำนับสามครั้ง “ขอบคุณคุณหนูที่ช่วยชีวิตข้าไว้เ้าค่ะ”
การขยับตัวทำให้แผลที่พันเรียบร้อยทั่วร่างเริ่มปริอีกครั้ง เพียงเอ่ยปากพูดก็รู้สึกแสบคันลำคอราวกับมีกระดาษทรายหยาบกำลังขัดถูอยู่ในนั้น
ความเ็ปนี้เป็การยืนยันว่านางยังมีชีวิตอยู่
หากยังมีชีวิตอยู่ ก็หมายความว่าทุกสิ่งยังมีความหวัง
เยี่ยนเจาเจาพยักหน้าเชิงว่าไม่จำเป็ ก่อนจะหรี่ตาจับจ้องบนร่างนางพลางเอ่ยขึ้น “พวกเขามาหาเ้าทำไม?”
แม้เหรินเหยายังคุกเข่าอยู่บนพื้น แต่นางกลับไม่สนใจสภาพลำบากเละเทะบนร่างตนเองเลยสักนิด
นางเป็คนฉลาด เมื่อได้ยินเยี่ยนเจาเจากล่าวว่า “มาหาเ้า” ไม่ใช่ “มาฆ่าเ้า” ก็พอจะรู้ว่าเจาเจาคงคาดเดากุญแจนั้นได้ั้แ่ตอนอยู่หอถงเชวี่ยแล้ว
เหรินเหยาผ่ายผอมจนน่ากลัว ทว่าดวงตากลับเจิดจ้าอย่างน่าประหลาด
บนร่างของเหรินเหยามีกลิ่นอายความหยาบคายและความอันธพาลอย่างที่เยี่ยนเจาเจาไม่เคยเห็นจากคนรอบข้าง และเป็กลิ่นอายซึ่งคนในราชวงศ์ต้าซีไม่มี ราวกับดอกอีหมี่[1] ที่นางเคยเห็นในหนังสือแต่ก่อน
แม้รอบๆ ทะเลทรายกว้างใหญ่จะหาแหล่งน้ำได้ยาก ทว่าดอกอีหมี่ก็ยังพยายามดูดซึมน้ำ ต่อสู้และดิ้นรนเพื่อผลิดอกอย่างงดงามที่สุด
แต่เทียบกับดอกไม้แล้ว นางเหมือนหมาป่าเกรี้ยวกราดที่ดุร้ายและไม่ยอมแพ้มากกว่า
ซึ่งคำตอบของเหรินเหยาก็กระตุ้นความสนใจของเยี่ยนเจาเจาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“คุณหนู หากท่าน้าให้ข้าตอบคำถามนี้ เกรงว่าท่านจะโดนบังคับให้ยอมรับหลายสิ่งหลายอย่างทีเดียว เื้ัของข้ามีหนี้แค้นบัญชีเือยู่ แต่ถ้าท่านยืนกรานจะทราบ ท่านคงต้องช่วยข้าล้างแค้นด้วยเ้าค่ะ”
เหรินเหยาไม่มีความอ่อนน้อมถ่อมตนเลยแม้แต่น้อย เหมือนกับท่าทีของนางยามอยู่ในหอถงเชวี่ยก่อนหน้าไม่มีผิด
ความหลักแหลมและเฉียบคมแผ่ออกมาจากนางราวกับมีดปลายแหลมที่ตัดผ่านหมอกควันรอบข้าง และส่องสว่างเข้าตาของทุกคนโดยไม่ลังเล
เยี่ยนเจาเจากระตุกยิ้มมุมปาก “เ้าไม่กลัวว่าหลังจากฟังแล้วข้าจะเบื่อจนไม่อยากช่วยเ้าแก้แค้น แถมยังฆ่าเ้าเหมือนกับคนพวกนั้นหรือ?”
“เพราะท่านไม่ใช่คนเช่นนั้น”
แม้ว่าน้ำเสียงของเหรินเหยาจะไม่กระปรี้กระเปร่าเหมือนตอนแรกที่เจอกัน ทั้งยังฟังดูแปลกแปร่งและแหบแห้ง แต่กลับยังซ่อนความน่าค้นหาไว้หลายอย่าง
ซึ่งความลับก็มักจะทำให้คนตื่นเต้นได้เสมอ
สายตาของเหรินเหยายามมองเยี่ยนเจาเจามีแต่ความเปิดเผย เชื่อสุดหัวใจ และเปล่งประกายโดยไม่สงวนท่าทีเลยสักนิด
“ถ้าอย่างนั้นเ้าก็ควรมองออกว่าข้าเป็คนอยากรู้อยากเห็น ดังที่ข้ามองออกว่าเ้าเป็คนซื่อตรงและเข้มแข็ง”
เยี่ยนเจาเจายิ้มบางเบา
เหรินเหยาวางเยี่ยนเจาเจาไว้ลำดับเดียวกับตนเอง ความหยิ่งในศักดิ์ศรีของนางทำเยี่ยนเจาเจาใ แต่ก็เกิดความรู้สึกชื่นชมด้วย
เยี่ยนเจาเจาประคองเหรินเหยาขึ้นมา แล้วก็ต้องประหลาดใจที่เหรินเหยาซูบผอมจนแทบจะเหลือเพียงกระดูก ร่างของนางเบาหวิวราวกับหนักกว่าเด็กอย่างเจาเจาไม่มากนัก
คุยกับคนฉลาดสบายที่สุด ไม่จำเป็ต้องพูดจามากความ เพียงส่งสายตาก็เข้าใจความหมายของอีกฝ่ายได้
มุมปากของเหรินเหยายังมีรอยถลอกเล็กๆ แต่ตอนนี้เริ่มมีเนื้อขึ้นใหม่เลยคันยุบยิบเล็กน้อย นางเลียแผลของตนเอง ก่อนจะหรี่ตาและกระตุกมุมปากมองเยี่ยนเจาเจาราวกับหมาป่าหัวแข็ง
ทว่าแม่นางน้อยเบื้องหน้ากลับมองตอบอย่างสงบโดยไม่ประหม่าสักนิด
ในที่สุดเหรินเหยาก็หลุดหัวเราะออกมา “เขาจะแพ้”
เยี่ยนเจาเจาเลิกคิ้วขึ้น “ผู้ใด?”
“วันหลังท่านจะรู้เอง ศัตรูร่วมกันของท่านกับข้า” เหรินเหยาอยากจะลองดู นางจึงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“นับแต่นี้เป็ต้นไปท่านไม่ใช่คุณหนูอีกต่อไปแล้ว แต่เป็เ้านายของข้า เหรินเหยา”
เหรินเหยาเลียฟันเขี้ยวของตนเอง เยี่ยนเจาเจาจึงสังเกตเห็นว่าฟันเขี้ยวของทั่นฮวาหญิงในอนาคตผู้นี้คมพอๆ กับหมาป่า
เหรินเหยากัดปลายนิ้วของตนเองจนเืทะลักออกมา แล้วปาดเืนั้นลงบนฝ่ามือของเยี่ยนเจาเจา จากนั้นนางก็คุกเข่าลงข้างหนึ่ง ก่อนจะกุมมือเยี่ยนเจาเจาและเลียเืจากฝ่ามือของเยี่ยนเจาเจาทีละนิดๆ
เชิงอรรถ
[1] ดอกอีหมี่ หมายถึง ดอกไม้ชนิดหนึ่งที่ว่ากันว่าเติบโตในทะเลทรายโกบีทวีปแอฟริกา มีลักษณะแปลกไม่เหมือนใคร โดยตัวดอกมีทั้งหมดสี่ถึงห้ากลีบ แต่ละกลีบมีสีแดง เหลือง น้ำเงินและขาว ซึ่งดอกอีหมี่จะมีรากแก้วเพียงสายเดียว ไม่สามารถแตกกิ่งก้านหาสารอาหารและน้ำได้รอบทิศทาง ดังนั้นมันเลยต้องหยั่งรากให้ลึกที่สุดเท่าที่จะลึกได้เพื่อออกดอก และเพราะการออกดอก้าสารอาหารและน้ำอย่างเพียงพอมันจึงต้องเตรียมการเพื่อออกดอกนานถึงห้าปี ก่อนจะเบ่งบานในปีที่หก แต่น่าเสียดายที่ความงามของดอกไม้จะอยู่เพียงสองวัน จากนั้นทั้งต้นอีหมี่ก็จะตายตามดอกไม้ซึ่งโรยราลง