“ไม่ไป ตีให้ตายก็ไม่ไป ฉันไม่สนิทกับคนคนนั้น”
เมิงหวงเฉารีบพูดตอบกลับเป็คนแรก
ล้อเล่นน่า เมื่อวานเพิ่งจะขัดแย้งกันกับหลี่เอ่อร์ วันนี้จะไปพบหลี่ชิงตี้ ไม่ใช่ว่าไปรนหาที่ตายหรือ?
เห็นได้ชัดว่าความกลัวที่เขามีต่อหลี่ชิงตี้ก็อยู่เหนือกว่าจ้าวอู๋จี๋ พอพูดถึงหลี่ชิงตี้ นอกจากอาการสั่นแล้วก็คือปฏิเสธ เขาที่มักจะมั่วสุมอยู่ในตี้ตู ก็รู้ดีกว่าใครๆ ว่าหลี่ชิงตี้คนนี้น่ากลัวมากแค่ไหน
“พี่เจียง พี่ก็อย่าแกล้งพวกเราเลย พูดไปพูดมาพวกเราห้าหกคนยังไม่ถึงขั้นที่จะทานข้าวร่วมโต๊ะกับหลี่ชิงตี้ได้ หากไป ก็จะถูกคนไล่ตะเพิดพวกเราได้ นั่นก็แย่มาก พวกเราไม่ไป … จะให้เขาบ่นพวกเรา ก็ไม่ดีแน่นอน”
มี่เฟ่ยก็ปริปากพูดด้วยใบหน้าที่ขมขื่นแล้ว
ลูกผู้ดีที่ไม่กลัวฟ้ากลัวดินอย่างพวกเขาสามคน พอได้ยินชื่อของหลี่ชิงตี้ ก็ราวกับหนูเจอแมวแล้ว
“พอเถอะ แบบนั้นฉันก็ไปเองแล้ว”
เจียงไป๋ยักไหล่ และพูดอย่างรู้สึกอย่างไรก็ได้ พูดๆ อยู่ก็พาเหออีอีเพื่อจะเดินออกไปด้านนอก
“อีอีก็จะไปด้วยหรือ?”
เมิงหวงเฉามองเจียงไป๋อย่างแปลกใจ หลังจากนั้นก็เล็งไปที่เหออีอีพลางถาม
เจียงไป๋ส่งสายตาให้เมิงหวงเฉาอย่างที่รู้ๆ กัน และพูดอย่างยิ้มแย้มว่า “ใช่ อย่างไรเธอก็ไม่เป็ไร บอกว่าจะไปกับฉัน ฉันก็เลยตกลง”
“ฟังฉัน อีอีเธอไม่ควรไปจะดีกว่า งานอย่างนั้นพวกเราสองสามคนล้วนไม่มีคุณสมบัติที่จะร่วมโต๊ะด้วยได้หรอก ถ้าเธอไป ถึงแม้ไม่เป็ไร แต่ก็ไม่ค่อยเหมาะสมอยู่บ้าง พวกพี่เจียงสามคนจะต้องไปปรึกษาเื่ใหญ่กันแน่นอน อาหารเที่ยงนี้ก็ไม่ได้ง่ายดายแน่นอน หลี่ชิงตี้กับจ้าวอู๋จี๋ทั้งสองคนประจันหน้ากัน หากไม่ตีกันก็ต้องขอบคุณฟ้าดินแล้ว พี่เจียงพี่ไปแล้ว ก็พาคนไปด้วย ไม่สะดวกแน่นอน พอเกิดเื่ขึ้นมา พี่อาจจะไม่กลัว แต่สำหรับอีอีแล้วก็เหมือนประสบอุทกภัย”
เมิงหวงเฉาพูดหยุดเหออีอีไม่ให้ตามไป และพูดไปอย่างนี้
นี่ก็ทำให้สีหน้าที่มีรอยยิ้มสดใสของเหออีอีเปลี่ยนไปแล้ว คิดไปคิดมาจึงพูดว่า “หากเป็อย่างนี้ ฉันก็ไม่ไปแล้ว”
เมิงหวงเฉาเป็ใคร เธอก็รู้แล้ว คนอย่างนี้ก็ล้วนพูดว่าไม่มีคุณสมบัติร่วมโต๊ะ เหออีอีรู้สึกว่าตนเองก็ไม่มีคุณสมบัติเหมือนกัน ถึงแม้เจียงไป๋จะบอกว่าพาตนเองไป แต่เมิงหวงเฉาก็ไม่ใช่ว่าพูดแล้วหรือว่า หากไม่เกิดเื่ก็ดี แต่ถ้าเกิดเื่ สำหรับเด็กนักเรียนตัวเล็กๆ อย่างตนเองแล้ว ก็เหมือนประสบอุทกภัย ดังนั้นคิดดูแล้ว เหออีอีก็เลือกที่จะอยู่ที่นี่
สำหรับเื่นี้ เจียงไป๋แค่ยิ้มแต่ไม่พูดอะไร เขาพยักหน้า ภายใต้คำขอของเหออีอี เขาก็ได้ทิ้งเบอร์โทรศัพท์ไว้ หลังจากนั้นก็หันหลังจากไป
พอออกจากประตูมา รถก็มารออยู่นานแล้ว เจียงไป๋ตรงขึ้นรถ และรีบมุ่งไปยังจุดหมาย
แล่นผ่านถนนที่เจริญรุ่งเรืองสายนั้น และผ่านกลุ่มคนที่ส่งเสียงดังอึกทึกครึกโครม หลังจากหนึ่งชั่วโมงกว่า เจียงไป๋มาถึงคฤหาสน์บนูเา เพิ่งจะเข้าประตูมาก็เห็นหวางเป้าแล้ว
หวางเป้ากับเจียงไป๋โบกมือให้กันอยู่ไกลๆ
เจียงไป๋เดินเข้าไปอย่างยิ้มแย้ม พอเจอหน้ากันก็ถามว่า “มีอะไร เที่ยงวันนี้มีอะไรกัน? หลี่ชิงตี้เลี้ยงข้าว เขาไม่ถูกกับจ้าวอู๋จี๋ไม่ใช่หรือ?”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน พวกเราก็คอยดูกัน ฉันว่าเ้านี่ก็ไม่ได้มีจุดประสงค์ดีอะไร อีกสักครู่ระวังหน่อย เผื่อว่าหลี่ชิงตี้จะมีแผนการไม่ดีอะไร”
สำหรับหลี่ชิงตี้ หวางเป้าก็ไม่มีความรู้สึกดีอะไร พอมองไปรอบๆ ไม่มีคน เขาก็เดินเข้ามาพูดเตือนเจียงไป๋
“ผมรู้แล้ว เขาล่ะ?” เจียงไป๋พยักหน้าอย่างยิ้มแย้ม หลังจากนั้นก็เอ่ยถาม
“ด้านใน ไปกันเถอะ พวกเราเข้าไปกัน”
หวางเป้าชี้ไปที่อาคารหลักที่อยู่ในคฤหาสน์บนเขานี้ หลังจากนั้นก็พาเจียงไป๋เดินเข้าไปด้านใน
พูดตรงๆ ทัศนียภาพของที่นี่สวยงาม มีความโดดเด่นไม่เหมือนใคร โดยรอบกว้างขวาง ลานจอดรถก็สามารถจอดรถได้อย่างน้อยหนึ่งร้อยคัน แต่ตอนนี้มีรถจอดอยู่แค่สองสามคัน คิดดูแล้วนี่ก็ล้วนเป็หลี่ชิงตี้ที่ตั้งใจจัดไว้
ถึงแม้จะเห็นว่าโดยรอบมีรถอยู่ไม่มาก คนก็มีน้อย แต่ก็มีการควบคุมอย่างแ่า ชายชุดดำที่อกผายไหล่ผึ่งที่ยืนอยู่ตรงนั้น ก็ไม่ใช่คนของหลี่ชิงตี้หรือ?
เดินผ่านอาคารสมัยใหม่อันหรูหราที่อยู่ตรงกลาง พวกเจียงไป๋มาถึงที่ตรงหน้าอาคารเล็กๆ สไตล์โบราณหลังหนึ่งที่อยู่ด้านหลัง
ที่นี่มีสะพานเล็กมีน้ำไหลผ่าน และมีโขดหินูเาปลอม ทั้งยังมีต้นหลิวดอกหลิว และมีความโดดเด่น
ก็แค่ทัศนียภาพที่สวยงามอย่างนี้ เจียงไป๋กลับไม่มีโอกาสได้ชมเชย ไม่นานก็เดินตามหวางเป้าเข้าไปในอาคารแล้ว
ในห้องโถงหลักที่อยู่ในอาคารมีโต๊ะน้ำชาอยู่หนึ่งตัว บนโต๊ะน้ำชามีชาหอมที่กำลังเดือดจนมีควันสีขาวลอยออกมาอยู่หนึ่งกา รอบๆ โต๊ะน้ำชามีคนนั่งอยู่สี่คนกำลังจิบชากันอยู่
จ้าวอู๋จี๋ เจียงไป๋รู้จัก นอกจากนี้ยังมีคนรู้จักอีกหนึ่งคน ก็คือพยัคฆ์แห่งหนานเจียงเฉิงเทียนกังที่ก่อนหน้านี้ประจันหน้ากับตนเองอย่างฉับพลัน หลังจากนั้นก็ทิ้งคำพูดไว้อย่างดุดันและก็จากไป
คนที่นั่งข้างๆ เฉิงเทียนกังคือคนแก่ที่ผอมจนเห็นกระดูกคนหนึ่ง ดูจากการแต่งกายก็คงเป็นักพรต และก็ไม่รู้ว่ามาจากที่ไหน เขานั่งหรี่ตาอยู่ตรงนั้น ด้วยท่าทางที่ไม่ธรรมดา พอเห็นเจียงไป๋ ก็เพิ่งจะลืมตา สายตาที่เฉียบคมพุ่งมาที่เจียงไป๋
คนที่นั่งอยู่ตรงกลางคือคนวัยกลางคนที่สง่าคนหนึ่ง ไว้ผมแสกข้าง ถึงแม้จะเข้าสู่วัยกลางคนแล้วแต่ก็ยังคงสง่างามและหล่อเหลา หน้าตาขาวใส มือไม้เรียวยาว ผิวพรรณเต่งตึง รูปหน้าที่เหมือนดังแกะสลัก มีดวงตาที่สดใสราวกับดวงดาว คู่กับอำนาจที่เหมือนจะมีและไม่มี ให้ความรู้สึกที่ว่าอยู่เหนือทุกสิ่งและสูงส่ง
พูดจริงๆ จ้าวอู๋จี๋ก็ถือว่าสง่างามและหล่อเหลาแล้ว ถึงแม้จะดูพอๆ กับคนวัยกลางคน แต่พูดถึงรูปโฉม ก็ต่างกันอยู่ขั้นหนึ่ง
ถ้าหนุ่มกว่านี้สักยี่สิบปี คนวัยกลางคนที่อยู่ตรงหน้านี้ หากบอกว่ารูปโฉมเทียบได้กับพานอันก็ไม่เกินไป
ถึงตอนนี้จะพิจารณาจากความงามของเจียงไป๋ เ้านี่ก็ยังคงเป็หนุ่มใหญ่หน้าขาวที่เป็มาตรฐานคนหนึ่ง ถึงเขาจะไม่มีเงินสักแดงเดียว แต่รูปโฉมอย่างนี้ หากเดินออกไป ก็ไม่รู้ว่าจะมีสาวๆ กรี๊ดใส่มากเท่าไร หากจะเกาะผู้หญิงกินก็ไม่เป็ปัญหาแม้แต่น้อย
แต่ลองคิดๆ ดูแล้วก็รู้ว่าคนตรงหน้าคนนี้เป็ใครและเป็ไปไม่ได้ที่จะไปเกาะผู้หญิงกิน
หากเจียงไป๋เดาไม่ผิดแล้วล่ะก็ คนตรงหน้านี้ ก็คือัแห่งตี้ตูหลี่ชิงตี้ที่เล่าลือกัน
“มา มา มา เจียงไป๋ มาจะแนะนำให้นายสักหน่อย ท่านนี้ก็คือหลี่ชิงตี้ัแห่งตี้ตู คิดดูแล้วนายก็น่าจะได้ยินชื่อมานานแล้ว อ้อ แต่ัแห่งตี้ตูอะไรนี่ก็เป็แค่ชื่อเรียกขานชื่อหนึ่ง ัที่แท้จริงคนนี้ของพวกเรา ยังคงชอบให้คนเรียกเขาว่าเลขานุการหลี่”
พอเห็นเจียงไป๋เดินเข้ามา จ้าวอู๋จี๋ก็เผยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม และชี้หลี่ชิงตี้ที่อยู่ข้างๆ พลางพูดอย่างยิ้มแย้ม
“เลขานุการหลี่?”
เจียงไป๋งงงัน และก็ไม่เข้าใจอยู่บ้าง นี่มันชื่อเรียกอะไรกัน
“เลขานุการหลี่ท่านนี้ของพวกเราก็สุดยอดมาก เป็เลขานุการสมาคมการกุศลหัวเซี่ย จุ๊ๆ เป็นักการกุศลที่มีชื่อเสียงเลย และสามารถผันตัวเข้าสู่วงการการเมืองได้ทุกเวลา อย่างน้อยก็เริ่มเป็ข้าราชการใหญ่ขึ้นไปเลย ฮ่าๆ โดยเฉพาะดูว่าเลขานุการหลี่จะยินยอมเมื่อไร เมื่อไรก็ล้วนได้ กับพวกเราที่ท่องอยู่ในวงการนี้ก็ไม่เหมือนกัน นายก็ต้องจำไว้ อนาคตหากเกิดขัดแย้งกับเลขานุการหลี่ นั่นก็ต้องยอมให้หน่อย ไม่อย่างนั้นเขาแค่ชี้นิ้วสั่ง ก็สามารถจัดการนักธุรกิจตัวน้อยๆ อย่างพวกเราได้ … ”
จ้าวอู๋จี๋ตอบกลับอย่างยิ้มแย้ม การพูดจาก็ยั่วเย้าหลี่ชิงตี้อย่างเห็นได้ชัด
“อย่าฟังเขาพูดมั่ว แต่ไหนแต่ไรฉันก็ไม่เคยคิดที่จะเป็ข้าราชการ ตำแหน่งนี้ก็เพื่อสร้างความผาสุก นักการกุศลหรือก็ไม่กล้าพูดหรอก ก็แค่ทำเื่ที่พอจะทำได้ ว่าไปที่นั่งอยู่ตรงนี้ก็ล้วนเป็เพื่อนกันทั้งนั้น มีอะไรขัดแย้งไม่ขัดแย้งกันเล่า”
สำหรับคำพูดของจ้าวอู๋จี๋ หลี่ชิงตี้ก็เฉยเมยใส่อย่างเห็นได้ชัด และพูดอย่างไม่ใส่ใจอย่างนี้
เื่นี้จ้าวอู๋จี๋ไม่ได้โจมตีกลับ หลังจากนั้นก็ชี้ไปที่เฉิงเทียนกังแล้ว “ท่านนี้คือพยัคฆ์แห่งหนานเจียงเฉิงเทียนกัง พวกนายเคยรู้จักกันแล้ว ฉันก็จะไม่พูดถึงแล้ว”
“ที่อยู่ข้างๆ ท่านนี้คือนักพรตของสำนักชิงหยุน นายก็ต้องรู้จักไว้ เป็ผู้าุโของวงการวูซูจีน เื่มวยภายในก็ฝึกถึงขั้นสุดยอดแล้ว กังฟูไท้เก๊กก็ฝึกสำเร็จแล้ว เมื่อยี่สิบปีก่อนก็บรรลุถึงขั้นปรมาจารย์ใหญ่ และก็เป็หนึ่งในสามปรมาจารย์ใหญ่ที่ยังมีชีวิตอยู่ของประเทศเรา ทั้งยังเป็เพื่อนสนิทของเลขานุการหลี่”
เฉิงเทียนกัง จ้าวอู๋จี๋ก็แนะนำอย่างง่ายๆ ไม่รู้ว่าตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ อย่างไรก็มองข้ามเฉิงเทียนกังไปแล้ว และหันไปแนะนำนักพรตาุโที่ผอมจนเห็นกระดูกท่านนั้น โดยเฉพาะยังตั้งใจเน้นคำว่า “เพื่อนสนิท” สามคำนี้