หลัวจ้งซีนั่งแท็กซี่ไปยังบ้านของอี้สี่ แม้ว่าจะถือกุญแจอยู่ในมือ แต่ก็ยังยืนสูบบุหรี่อยู่ด้านนอกตึกไปแล้วถึงสองมวน ในหัวพลางคิดวางแผนไปด้วยว่าเขา้าอะไรในความสัมพันธ์นี้? จริงๆ แล้วเขาไม่ได้แยแสกับชื่อเสียงใดๆ เลย เขารู้ใจตัวเองดี พูดตรงๆ เขาแค่ไม่อยากปล่อยเนื้อที่ได้มา และตอนนี้เมื่อมีผู้ชายคนหนึ่งมาแย่งผู้หญิงกับเขาอย่างเปิดเผย และนั่นมันก็ทำให้เขาเริ่มสนใจขึ้นมาทันที ซึ่งความสัมพันธ์ของจินอิ๋นกับอี้สี่ยิ่งแปลก เขาไม่เข้าใจมาก หวังให้อี้สี่มีความสุข จากนั้นก็มอบกุญแจให้กับคู่แข่งอีก? นี่มันเื่อะไรกัน?
เขาเริ่มสงบสติอารมณ์และทำการวิเคราะห์อี้สี่ เธอดูเป็คนสบายๆ อ่อนโยน ไม่ก้าวร้าว และแสดงออกอย่างตรงไปตรงมามาก บางครั้งก็คิดว่าเธอมีนิสัยเหมือนสาวน้อยที่แค่ขึ้นเตียงกับใครก็จะพัวพันคนๆ นั้นไม่ห่าง ทว่าเธอกลับยังกินผู้ชายคนอื่นด้วย หลัวจ้งซีดื่มด่ำกับความรักมานานหลายปี โดยใช้วิธีการจะว่าใกล้ชิดก็ไม่ใช่ จะว่าห่างเหินก็ไม่เชิง อยากกินตอนไหนก็กิน ใน่เวลาปกติก็จะแสดงความห่วงใย และถ้าไม่อยากกินก็แยกย้าย “ควรรักษาระยะห่างตอนอยู่ที่ทำงานดีกว่า” ด้วยเหตุผลแย่ๆ แบบนี้ เขาสามารถใช้ชีวิตแบบคนขี้โกงได้โดยไม่มีผลกระทบใดๆ แต่ตอนนี้มีหญิงสาวคนหนึ่งที่ดูเหมือนไม่น่าจะอันตรายที่ใช้วิธีการจะว่าใกล้ชิดก็ไม่ใช่ จะว่าห่างเหินก็ไม่เชิงกับเขา ทันใดนั้นเขาก็กังวลมาก แค่นึกภาพเธอที่อยู่กับจินอิ๋นก็ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดใจแล้ว ทั้งๆ ที่ในความเป็จริงเขาเอาแต่หันหลังจากเธอไปตลอดแท้ๆ ซึ่งก็ตามที่จินอิ๋นพูดว่าอย่างไรก็ตามมันก็เป็เพียงความสัมพันธ์ชั่วคราวเท่านั้น ไม่มีใครที่พ่ายแพ้ แต่เขาทนไม่ได้ที่ต้องจากไปแบบนี้
ในตอนที่เขากำลังลังเล หลัวโม่โม่ก็ได้โทรมาแล้วพูดว่า “ทำไมเมื่อวานพ่อไม่กลับบ้าน?” หลัวโม่โม่เป็ลูกสาววัยสิบแปดปีของเขา
“เมาน่ะ เลยไปนอนบ้านเพื่อน”
“ไปนอนบ้านป้าพวกนั้นมาอีกแล้วแน่เลย” หลัวโม่โม่เยาะ
“ทำไมถึงโทรมาแต่เช้าเลย ไม่มีเรียนหรอ หรือว่าเงินไม่พอใช้?” การที่ลูกสาววัยสิบแปดปีโทรหาพ่อของเธอในเช้าวันจันทร์แบบนี้แน่นอนว่าคงไม่คิดถึงพ่อแน่
“เช้าวันจันทร์หนูไม่มีเรียน หนูแค่อยากถามพ่อว่าพ่อมีบัตรกำนัลร้านเยอะใช่ไหม? เอาให้หนูหน่อยสิ”
“ลูกจะไปทานอาหารเย็นกับเพื่อนร่วมชั้นเหรอ? ไปตอนไหน พ่อจะได้จองให้”
“พวกเราไม่ได้จะไปฉือเซ่อ พวกเราจะไปที่โฮบาร์”
“อายุยังน้อยทำไมถึงดื่มเหล้าแล้วล่ะ!” หลัวจ้งซีขมวดคิ้วเล็กน้อย พ่อทุกคนต่างก็มักจะใช้มาตรฐานสูงสุดของตัวเองเพื่อปกป้องลูกสาวของเขาเสมอ
“ยังไงก็ตาม พ่อก็อย่าลืมวางไว้บนโต๊ะของหนูล่ะ หนูกับเพื่อนร่วมชั้นนัดกันวันศุกร์ พวกเราชอบจินอิ๋นคนที่ผมบลอนด์คนนั้นมาก พ่อช่วยหนูตรวจสอบตารางงานของเขาได้ไหม หนูอยากจะแน่ใจว่าเขาอยู่ที่ทำงาน” การที่หลัวโม่โม่พูดเช่นนี้เพราะพ่อและลูกสาวไม่ได้เจอกันเป็เวลาหนึ่งหรือสองสัปดาห์แล้ว หลัวจ้งซีมักจะไปนอนนอกบ้าน และบางครั้งหลัวโม่โม่เองก็นอนข้างนอกด้วยเช่นกัน
“ลูกควรอยู่ห่างจากเขา เขาไม่ใช่คนดี” เมื่อหลัวจ้งซีได้ยินสิ่งที่หลัวโม่โม่พูด เขาก็ใมาก ขณะเดียวกันก็โกรธมากเช่นกัน ความโกรธนี้มากกว่าตอนที่รู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของอี้สี่กับจินอิ๋นเสียอีก น้ำเสียงของเขาจริงจังมาก
“พ่อไปตัดสินเขาได้ยังไง ไม่มีใครแย่เหมือนพ่อหรอก” หลัวโม่โม่เถียงกลับตามปกติ
“พ่อกับเขาไม่มีตรงไหนเหมือนกันเลย เื่ของผู้ใหญ่ลูกไม่เข้าใจหรอก ลูกอย่ามาวิพากษ์วิจารณ์ตามอำเภอใจไปทั่ว” หลัวจ้งซีสูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามพูดกับหลัวโม่โม่ด้วยน้ำเสียงที่นิ่งสงบ
“ไม่ใช่ว่าหนูไม่เข้าใจ หนูโตแล้ว” แม้ว่าจะยังโต้เถียงอยู่ แต่ความเย่อหยิ่งของหลัวโม่โม่ก็ถูกกดข่มไว้มาก ซึ่งเธอเองก็รู้ว่าสิ่งที่เธอเพิ่งพูดไปทำให้หลัวจ้งซีกังวลมาก “หนูชอบเขา แล้วก็เป็พ่อที่เริ่มพูดจาไม่ดีเกี่ยวกับเขานี่”
“นั่นเพราะว่าพ่อรู้จักเขาดีกว่าลูกไง และลูกก็อายุแค่สิบแปดเท่านั้นเอง”
“อายุสิบแปดปีแล้วทำไมเหรอ? ตอนที่แม่อายุสิบแปดปีก็คลอดหนูออกมาแล้ว” หลัวโม่โม่พูด ตราบใดที่เธอพูดประโยคนี้ออกมา หลัวจ้งซีก็ไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว ซึ่งจริงๆ แล้วเขาไม่ชอบพูดถึงอดีตภรรยานัก
“พ่อรู้จักคนนี้ดีมากจริงๆ ซึ่งเหตุผลเดียวที่ห้ามเพราะกลัวว่าลูกจะต้องเ็ป แต่ลูกก็ได้นัดเพื่อนร่วมชั้นไปแล้ว พ่อจะเอาบัตรวางไว้ให้บนโต๊ะนะ ถ้าไม่พอใช้ก็รูดบัตรเอา มีเพียงตัวลูกเองเท่านั้นที่สามารถควบคุมตัวเองและป้องกันตัวเองได้” หลัวจ้งซีค่อนข้างมีเหตุผล และไม่ใช่พ่อที่เข้มงวดนัก
หลังจากวางสายไป เขาก็รู้สึกลำบากใจจริงๆ โดยความรู้สึกที่รบกวนนั้นมากเกินกว่าความยุ่งเหยิงทางด้านอารมณ์ของพวกเขาทั้งสามคนมาก ในฐานะพ่อแล้วไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าลูกสาว ตอนที่กำลังจะโทรหาจินอิ๋นก็พบว่าอี้สี่กำลังยืนอยู่ข้างหลังเขา ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามาั้แ่ตอนไหน
“เมื่อวานไม่ใช่ว่านอนดึกมากหรอกเหรอ ทำไมถึงตื่นก่อนเที่ยงล่ะ?” หลัวจ้งซีถาม
“จินอิ๋นบอกที่อยู่ของฉันให้คุณรู้เหรอว่าอยู่ที่นี่?” เธอถาม และเขาก็พยักหน้า อี้สี่ดูสีหน้าไม่สู้ดีนัก อาจเป็เพราะเข้านอนดึกแล้วยังดื่มเหล้าด้วย ใบหน้าดูเหนื่อยล้ามาก “ทำไมไม่ขึ้นไปข้างบนล่ะ?”
“เพิ่งคุยโทรศัพท์เสร็จน่ะ คูณดูเหนื่อยมากเลยนะ นี่กำลังจะไปไหนงั้นเหรอ?” หลัวจ้งซีรู้สึกว่าเขาลังเลมานานโดยเปล่าประโยชน์ จู่ๆ การที่ได้เจอเธอแถมเธอยังได้ยินที่เขาคุยโทรศัพท์ด้วยแบบนี้บางทีนี่อาจเป็ประสงค์ของพระเ้า!
“ฉันหิวน่ะ หิวจนเวียนหัว ก็เลยจะไปหาร้านอาหารเช้าที่เนื้อเยอะๆ กิน” อี้สี่พูด นี่อาจเป็เพราะจินอิ๋น
“ผมรู้มาว่าตลาดใกล้ๆ นี้มีร้านหนึ่งที่ขึ้นชื่อเื่หมี่ผัดมาก ร้านชื่อว่าเฮยไป๋เชีย ผมจะพาคุณไปกิน” หลัวจ้งซีแนะนำ แน่นอนว่าเขาคิดว่าอาการวิงเวียนศีรษะของอี้สี่มาจากอาการเมาค้าง
บะหมี่ในตลาดผักดูเหมือนแผงลอยธรรมดาแต่เต็มแน่นไปด้วยผู้คน ในหม้อมีเส้นหมี่หนาสีขาวๆ ร้อนๆ อยู่ มีเต้าหู้ทอดที่อ่อนนุ่มและเครื่องในเล็กน้อย นอกจากนี้ยังมีเครื่องในหลากหลายชนิดอยู่ในตู้เก็บผักและยังมีเนื้อหมูส่วนต่างๆ อีกด้วย ไอน้ำร้อนระเหยออกมาส่งกลิ่นหอมกระจายไปทั่ว
หลัวจ้งซีให้อี้สี่ไปหาที่นั่งก่อน ส่วนตัวเองก็รีบร้อนเดินไปสั่งอาหาร ที่แผงขายไม่มีเมนูหรือราคาติดอยู่ แต่นักกินจากทุกสาขาอาชีพก็สั่งเมนูที่พวกเขาชื่นชอบได้อย่างคล่องแคล่ว หลัวจ้งซีสั่งบะหมี่น้ำมาสองชาม มีตับสไลด์ ไส้หมู เส้นหมี่ เต้าหู้ทอด และยังมีส่วนที่ไม่รู้จักอีก รสชาติที่กินเข้าไปนั้นพิเศษมาก โดยรสชาติเหมือนตับหมูกึ่งสุกกึ่งดิบแต่มันไม่ใช่ตับหมู “นั่นคือปอดหมู” หลัวจ้งซีพูด “นี่เคยเป็สิ่งที่คนจนกิน การจะทำมันนั้นยุ่งยากมาก ด้วยจะมีแบคทีเรียจำนวนมากหากไม่จัดการอย่างเหมาะสม ดังนั้นไม่ใช่ทุกแผงจะขาย แต่ร้านนี้รสชาติดีมาก พอได้กินแล้วคุณจะอยากกินอีก”
“คุณเข้าใจวิธีกินอาหารให้อร่อยจริงๆ ด้วย” อี้สี่ซดน้ำซุปบะหมี่ กระแสน้ำอุ่นที่ไหลผ่านอวัยวะภายในได้ทำให้ร่างกายรู้สึกกระปรี้กระเปร่า พริกที่อยู่ในนี้มีกลิ่นหอมมากเป็พิเศษ เครื่องในก็นุ่มมาก จัดการได้โดยไม่มีกลิ่นใดๆ เพียงใส่ขิงฝอยกับเต้าหู้ยี้เล็กน้อยก็อร่อยมากจริงๆ
“ก็ไม่ได้เข้าใจอะไรหรอก ผมแค่สนใจอาหารพวกนี้เล็กๆ น้อยๆ น่ะ” เมื่อเห็นอี้สี่กำลังเพลิดเพลินกับอาหาร หลัวจ้งซีก็รู้สึกมีความสุข ไม่รู้ว่ามันเป็ภาพลวงตาหรือเปล่า แต่เธอดูดีขึ้นมาก
“จินอิ๋นทำอะไรคุณรึเปล่า?” อี้สี่ระมัดระวัง เอ่ยถามอย่างไม่มั่นใจนัก พูดตามตรงเธอใส่ใจทั้งคู่และไม่เคยคิดให้เกิดเื่อะไรขึ้นเลย เธอรู้อยู่ในใจว่าเธอผิด แต่หากเธอต้องเลือกเพียงคนเดียวั้แ่แรก เธอก็เลือกไม่ได้จริงๆ การที่พบกับหลัวจ้งซีนั้นยอดเยี่ยมมาก และการที่ได้พบกับจินอิ๋นเธอก็ไม่เคยคิดเสียใจย้อนหลังเลยเหมือนกัน
“ไม่เป็ไร เรามาคุยกันเถอะ”
“คุณ...รู้ทุกอย่างแล้วเหรอ?” อี้สี่หมายถึงความสัมพันธ์ของเธอกับจินอิ๋น
“ใช่!” หลัวจ้งซีซดซุป ในขณะที่เขาเงียบไปจากการซดซุปไม่กี่วินาที อี้สี่ก็รู้สึกเป็กังวลเล็กน้อย ด้วยไม่ว่าอะไรก็ตามเธอมักจะรู้สึกผิดอยู่เสมอ แต่หลังจากนั้นไม่นาน เธอก็รู้สึกโล่งใจอีกครั้ง อย่างน้อยเธอกับหลัวจ้งซีก็ไม่ต้องสงสัยกันอีกต่อไป และช่องว่างระหว่างทั้งคู่ก็อันตรธานหายไปครึ่งหนึ่ง เดิมทีเธอก็ไม่ชอบความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายให้ชัดเจนได้และการคาดเดาไปมา ทว่าตอนแรกไม่รู้ว่าต้องพูดอย่างไร แต่ตอนนี้หลัวจ้งซีรู้เื่ทุกอย่างแล้ว ซึ่งนั่นก็ดีเหมือนกัน
หลัวจ้งซีพูดเพียงว่า “อืม” เพราะเขารู้สึกว่าอี้สี่น่าจะรู้สึกเสียใจ ละอายใจ หรือร้องไห้เพื่อขอการให้อภัย เมื่อถึงเวลานั้นเขาจะไหลตามสถานการณ์ไปแล้วพูดว่า “ผมเป็ห่วงคุณมากจริงๆ ดังนั้นยกโทษให้คุณแล้ว คุณอย่าไปหาจินอิ๋นอีกนะ” หรืออะไรทำนองนั้น จากนั้นเขาก็รับสิ่งที่้าจากเธอด้วยทัศนคติที่เป็ผู้ใหญ่และใจกว้าง แต่หลังจากรอมาเป็เวลานาน เขาก็พบว่าอี้สี่กินเนื้อพลางซดซุปอย่างสบายใจมาก
“คุณไม่อธิบายอะไรสักหน่อยเลยเหรอ?” หลัวจ้งซีไม่ยอมแพ้จึงเอ่ยย้ำกับอี้สี่
อี้สี่คีบเต้าหู้มาชิ้นหนึ่ง “คุณ้าให้ฉันอธิบายอะไรเหรอ?” เธอถามกลับ หลัวจ้งซีเองก็ไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไม “ฉันไม่เชื่อว่าคุณมาหาฉันเพียงเพื่อมาฟังคำอธิบายของฉัน แต่คุณน่าจะไม่ยอมให้จินอิ๋นทำลาย่เวลาแห่งความสุขอันมีค่าของคุณมากกว่า คุณก็เลยมาหาฉันเพื่อนอนกับฉันไม่ใช่เหรอ” อี้สี่พูดอย่างนิ่งสงบมาก และด้วยระดับเสียงก็ไม่ได้ต่ำมากนัก ลุงๆ ป้าๆ ที่อยู่ข้างๆ ต่างหันกลับมามองอย่างอดไม่ได้ รู้สึกเหมือนพวกเขากำลังยืดหูมาฟัง
แม้ว่าหลัวจ้งซีจะมีประสบการณ์มากมาย แต่ใบหน้าก็ยังคงแดงก่ำลามไปจนถึงใบหู “ผมเปล่านะ เมื่อคืนนี้ผมไม่ได้ไปส่งคุณกลับบ้าน ผมเลยไม่ค่อยวางใจนัก” อันที่จริงจินอิ๋นได้พูดถึงอดีตของเขาเป็พิเศษ เดิมทีก็คิดอยากจะพูดกับอี้สี่เกี่ยวกับสิ่งที่ควรจะสารภาพ แต่หลังจากคิดอย่างรอบคอบแล้ว จริงๆ แล้วมันเป็เื่กะทันหันมากที่ต้องพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาในอดีต โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทั้งสองยังไม่ได้สานความสัมพันธ์กัน
“เมื่อกี้คุณกำลังคุยโทรศัพท์กับลูกสาวของคุณอยู่เหรอ?” อี้สี่พูดเื่นี้ขึ้นมาด้วยตัวเอง
“ใช่ ผมมีลูกสาวอายุสิบแปด” เมื่อได้กล่าวถึงแล้ว งั้นก็ยอมรับไปเถอะ! แต่อี้สี่ไม่ได้ดูแปลกใจมากนัก แค่รู้สึกว่าค่อนข้างน่าตลกเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดด้วยรอยยิ้มที่ชั่วร้าย “อายุยี่สิบปีก็มีลูกแล้ว คุณค่อนข้างกล้าหาญนะ”
“ตอนนั้นยังเด็กและโง่เขลา” หลัวจ้งซีรู้สึกเขินอายเล็กน้อย
“แต่ฉันฟังเสียงจากโทรศัพท์ของคุณ แม้ว่าจะไม่ได้ยินสิ่งที่เธอพูดนัก แต่ฉันคิดว่าคุณเป็พ่อที่ดีนะ” เมื่อเทียบกับการสนทนาครั้งก่อน คำพูดของอี้สี่มีความจริงใจมากกว่า หลัวจ้งซีรู้สึกว่าการตอบรับของเธอสร้างกระแสอบอุ่นภายในใจเขา
“โอ้ เธอเองทำให้ผมกังวลมากด้วย” เมื่อเขาแค่คิดถึงเื่ของจินอิ๋นและหลัวโม่โม่ก็รู้สึกมวนท้องแล้ว “จริงสิ วันนี้คุณมีแผนอะไรไหม?” หลัวจ้งซีเห็นว่าอี้สี่กินใกล้จะเสร็จแล้ว
อี้สี่กัดตะเกียบพลางขยับส่ายหน้า
“ตอนเที่ยงผมต้องออกไปสำรวจสถานที่สำหรับจัดงานเลี้ยงกับซ่งจื่อฉี ไปด้วยกันได้ไหม?” หลัวจ้งซีถาม วันนี้เขาอยากอยู่กับเธอตลอดทั้งวัน และการที่ทำแบบนี้ก็เหมือนกับพวกเขามาเดทกัน่เวลาอาหารเช้า ซึ่งนับว่าดีมาก เขาจึงไม่อยากเลิกกันไปทั้งแบบนี้
“กี่โมงแล้ว?”
“สิบเอ็ดโมงครึ่งแล้ว เดินไกลหน่อย พวกเราสามารถค่อยๆ เดินไปด้วยกัน” เขาเสนอ
การสำรวจสถานที่เป็ส่วนสำคัญของการจัดเลี้ยง อี้สี่พบว่ามันน่าสนใจมากจึงตกลงอย่างรวดเร็ว
“ยังมีอีกเื่หนึ่ง!” หลัวจ้งซีพูด
“เื่อะไรเหรอคะ?” เธอคิดว่ามันต้องมีอะไรน่าสนใจจึงเงี่ยหูไปฟัง หลัวจ้งซีกระซิบข้างหูเธอ “ก่อนที่วันหยุดจะสิ้นสุดลงให้ผมกินคุณสักครั้งสิ”
อี้สี่หัวเราะ “เมื่อกี้คุณไม่ได้ปฏิเสธความคิดของคุณหรอกเหรอ?”
“วิธีการที่คุณพูด ผมทำได้แต่ต้องปฏิเสธเท่านั้น ใครให้คุณพูดเสียงดังขนาดนั้นกันเล่า?” ทั้งสองคนหัวเราะ ในความเป็จริงอี้สี่รู้สึกว่าหลังจากเื่บางเื่ได้ถูกเปิดเผยไปแล้วทั้งสองก็ยิ่งสนิทกันมากขึ้น โดยเฉพาะเธอ เธอรู้สึกผ่อนคลายและมีความสุขมาก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้