“เวินเยียน หากขายไม่ออกจะทำเช่นไร? คนพวกนั้นยังรอที่จวนอยู่เลย” เวินอวิ๋นโปหันหน้าไปหาเวินเยียนที่อยู่ข้างๆ พลางถอนหายใจด้วยเสียงที่หนักอึ้ง
เมื่อกำแพงล้ม คนก็รุมผลัก ผู้คนที่เคยประจบประแจงตระกูลเวิน เมื่อได้รู้ว่าเกิดเื่ใดขึ้นกับตระกูลนี้ก็มาทวงหนี้กันั้แ่ตอนกลางคืน หากมิได้เงิน พวกเขาก็จะอาศัยอยู่ในจวน และไล่คนของตระกูลเวินออกมา
ยามนี้เวินอวิ๋นโปััได้ถึงจิตใจมนุษย์ที่สุดแสนจะเยือกเย็นว่าเป็เช่นไร
“ท่านพ่อ ไม่ต้องรีบร้อนเ้าค่ะ น่าจะต้องมีคนซื้อแน่ หากไม่มี ลูกจะคิดหาทางเองเ้าค่ะ” เวินเยียนพูดปลอบใจ แต่ภายในแววตากลับเต็มไปด้วยความโศกเศร้า
หากหมดหนทางจริงๆ นางคงทำได้เพียงนำสูตรเครื่องหอมของเวินอี๋เหนียงออกมาขาย ในอดีตมันเป็ของล้ำค่า แต่ในเวลานี้เกรงว่าจะต้องขายในราคาถูกเสียแล้ว
“เ้าดีจริงๆ ไม่เหมือนอี๋เหนียงสาม พอรู้ว่าตระกูลเวินตกต่ำ นางก็รีบพาสตรีรับใช้หนีไปตอนกลางคืน”
ระหว่างที่พูด เวินอวิ๋นโปก็ถอนหายใจอีกหลายครา
ความสง่าผ่าเผยและความร่าเริงที่เคยมีในอดีตนั้นไม่หลงเหลืออยู่แล้ว เขาดูแก่ลงกว่าสิบปีในชั่วข้ามคืน ทั้งยังมีรอยย่นอยู่เต็มใบหน้า ผมที่ดกดำกลายเป็หงอกขาวขึ้นมาหลายเส้น
“ข้าเป็บุตรสาวของตระกูลเวิน ก็ต้องทำเพื่อตระ...แหวะ...”
ยังไม่ทันจะพูดจบ เวินเยียนก็มีอาการคลื่นไส้จึงเอามือปิดปาก นางหันหลังให้เวินอวิ๋นโปแล้วอาเจียน แต่กลับไม่มีสิ่งใดออกมา
“เวินเยียน หรือว่าเ้า...” เวินอวิ๋นโปมองดูนางและลังเลที่จะพูด
“ท่านพ่อคิดมากไปแล้วเ้าค่ะ ข้าเพียงแค่ทานอาหารมันเยอะไปหน่อย่นี้ จึงไม่ค่อยสบาย อีกไม่กี่วันก็น่าจะหายดีเ้าค่ะ”
หลังจากที่อาการคลื่นไส้ลดลง เวินเยียนก็พูดอย่างอ่อนโยนด้วยรอยยิ้ม
เวินอวิ๋นโปพยักหน้าเล็กน้อยแล้วไม่ถามอันใดอีก จากนั้นหันกลับไปมองผู้คน
เวินเยียนวางมือลงบนหน้าท้องแบนราบของตนในตอนที่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น
ภายในท้องนั้นราวกับของล้ำค่าเพียงอย่างเดียวที่พอจะพลิกโชคชะตาของนางได้ ขอเพียงตามหาคุณชายซูให้เจอ...
แววตาของนางค่อยๆ มืดมน
“นายท่านเวิน ร้านเครื่องหอมของท่านแพงไปแล้ว จะลดราคาลงอีกได้หรือไม่”
“ใช่เลย ในเมื่อจะโละขาย ก็ต้องขายให้ต่ำกว่านี้หน่อยสิ ต้องขายดีแน่”
“หากท่านลดราคาลงข้าจะซื้อสักร้าน นี่เป็เงินที่เราเก็บออมมาทั้งชีวิตเชียวนะ”
......
ภายในฝูงชน จู่ๆ ก็มีคนะโขึ้นมา ทำให้คนอื่นๆ พากันเห็นด้วย แต่คนส่วนมากก็แค่มาดูความครึกครื้น
“ทุกท่าน ข้าก็หวังจะขายให้ออกเช่นกัน มิเช่นนั้นคงไม่ลดราคาลงกว่าครึ่งหนึ่ง ใช่ว่าข้าจะไม่ยอมลดให้ แต่นี่เป็ราคาที่เราให้ได้ต่ำที่สุดแล้วขอรับ”
เวินอวิ๋นโปเปล่งเสียงออกมาอย่างไร้หนทาง ผู้คนจึงมิได้พูดอันใดอีกเมื่อเห็นว่าเขาไม่ยอมถอยให้
เวินซีที่ยืนดูอยู่นานแล้วพาจ่างกุ้ยเบียดกลุ่มคนไปยังหน้าร้าน
“ข้าจะซื้อร้านค้า” นางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
เวินอวิ๋นโปที่มีสีหน้าเบิกบานในตอนแรก เมื่อเห็นว่าคนที่จะซื้อคือเวินซี อารมณ์สดใสเมื่อครู่นี้ก็หยุดชะงัก
“เ้าหรือ?”
“ใช่ ข้าเอง” เมื่อเห็นสีหน้าของเขาเปลี่ยนไป รอยยิ้มของนางก็กว้างขึ้นกว่าเดิม นางเดินเข้าไปในร้านเครื่องหอมแล้วมองดูโดยรอบช้าๆ
เวินเยียนมีสีหน้าน่าเกลียดอย่างถึงที่สุดเมื่อได้เห็นเวินซี นางกำมือแน่นภายในแขนเสื้อ จำเป็ต้องอดกลั้นความไม่พอใจไว้เพื่อตระกูลเวินแล้วเดินตามเข้าไป
“ร้านนี้ตั้งอยู่บนถนนสี่แยก เป็ทางผ่านของทุกที่ มี...”
“ไม่ต้องแนะนำ ข้อมูลพวกนี้ข้ารู้ดี” เวินซีเอ่ยปากขัดจังหวะ
เวินเยียนพยักหน้า แล้วเดินตามไปเงียบๆ
เวินซีเดินไปรอบๆ ร้านทั้งด้านในและด้านนอก เมื่อเห็นว่าสีหน้าของเวินเยียนไร้ความอดทนเต็มที นางก็เดินช้าๆ ไปที่ประตู แล้วเอ่ยถามขึ้นด้วยเสียงเนิบ “ร้านนี้ราคาเท่าไร?”
“สองพันสองร้อยตำลึง” เวินอวิ๋นโปเอ่ยขึ้นอย่างเ็า
ราคานี้มิได้มีราคาถูก แม้จะได้ยินมาว่าธุรกิจของเวินซีทั้งสามร้านนั้นไม่เลว แต่เขาก็ไม่เชื่อว่านางจะมีเงินมากขนาดนี้
หลังจากที่เขาบอกราคาไป นางก็เงียบไปจริงๆ
“หากไม่ซื้อก็ออกไป อย่าได้ขวางทางผู้อื่น” เวินอวิ๋นโปพูดด้วยน้ำเสียงที่ได้ยินกันเพียงแค่สองคน
ในเมื่อแตกหักกันนานแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็ต้องแสร้งทำตัวสุภาพต่อกัน การที่เวินซีมาปรากฏตัวที่นี่ สำหรับเขาแล้วมันเป็การเย้ยหยันอย่างหนึ่ง
“ผู้ใดบอกว่าข้าไม่ซื้อกัน? ข้าก็แค่รู้สึกว่าร้านนี้ไม่สมควรจะมีราคาถึงสองพันสองร้อยตำลึง” เวินซียิ้ม พลางมองไปที่เวินอวิ๋นโปอย่างใจเย็น
“ไม่สมควรหรือ? เ้าพูดมาสิว่าไม่สมควรเช่นไรกัน? ตอนที่ข้าซื้อร้านนี้มามันแพงกว่านี้มากโข! ไม่มีเงินก็ยอมรับเสียว่าไม่มีเงิน จะมีข้ออ้างมากมายอันใด?”
“ข้าก็นึกว่าเ้าออกจากตระกูลเวินแล้วจะสุขสบาย ที่แท้ก็ดีได้เท่านี้”
เวินอวิ๋นโปเอ่ยอย่างดูแคลน
แต่เวินซีมิได้สนใจ ริมฝีปากของนางยังคงมีรอยยิ้มบางๆ เช่นเดิม
ยามนี้ในสายตาของนาง ตระกูลเวินมิใช่คู่ต่อสู้อีกต่อไป นางไม่มีความจำเป็จะต้องต่อล้อต่อเถียงกับพวกเขา
หลังจากที่เวินอวิ๋นโปพูดจบ เวินซีก็ค่อยๆ เอ่ยขึ้นมาว่า “หากนายท่านเวินไม่ลดราคา เกรงว่าร้านนี้คงขายไม่ออกหรอกเ้าค่ะ”
“ที่เมืองเล็กๆ แห่งนี้ คนที่สามารถควักเงินสองพันสองร้อยตำลึงได้ มีไม่เกินสี่ตระกูล ตระกูลซ่งคือหนึ่งในนั้น แต่น่าเสียดายที่ฮูหยินซ่งไม่ฝักใฝ่จะทำธุรกิจ เพราะฉะนั้นนางย่อมไม่ซื้อเป็ธรรมดา”
“ฮูหยินซูที่เปิดชุ่ยเฟิงโหลวก็เป็อีกคน แต่หากจะนำเงินสองพันสองร้อยตำลึงมาซื้อ นับว่าเป็เงินสะสมทั้งชีวิตของนาง ที่ชุ่ยเฟิงโหลวยังต้องซื้อคนรับใช้ และยังต้องซื้อของเข้าร้าน นางไม่ซื้อร้านของท่านแน่ ไม่เชื่อท่านก็ดูเองสิ เวลานี้ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของนาง”
“นอกจากนี้ก็มีอีกสองสามตระกูล เงินสองพันสองร้อยตำลึงถือเป็เงินที่พวกเขากว่าจะหาได้ก็ใช้เวลาหลายปี แต่พวกเขาก็มีร้านค้าที่มั่นคงอยู่แล้ว กิจการก็ไม่เลว ไม่มีความจำเป็ต้องซื้อร้านแห่งนี้เพิ่ม”
“ท่านคิดว่าจะขายได้หรือ? ข้าดูอยู่นานแล้ว ข้าเป็คนเดียวที่เข้ามาดูเพราะสนใจร้านนี้ นายท่านเวิน ท่านคิดเช่นไรล่ะ?”
เวินซียิ้ม หลังจากที่นางพูดจบ เวินอวิ๋นโปก็ขมวดคิ้วแน่น
เขามองเวินเยียนเพื่อขอความช่วยเหลือ เมื่อนางเห็นสายตาของเขาก็เดินเข้ามา “ที่พูดมาทั้งหมดก็เพราะจะให้ลดราคาสินะ ว่ามาสิ เท่าไหร่”
“คุณหนูเวินเยียนตรงไปตรงมาดีจริงๆ เช่นนั้นข้าจะพูดเลยแล้วกัน หนึ่งพันห้าร้อยตำลึง ราคาเดียว สูงกว่านี้มิได้แล้ว หากพวกท่านตกลง ข้าจะเอาเงินให้เลย”
“หนึ่งพันห้าร้อยตำลึง? ช่างกล้าพูดไม่อายปากเลยนะ?” เวินเยียนหัวเราะเยาะ
หนึ่งพันห้าร้อยตำลึง หายไปเจ็ดร้อยตำลึงเต็มๆ เงินเจ็ดร้อยตำลึงนี้สามารถไปหาร้านค้าดีๆ ได้ร้านหนึ่งแล้ว
นางสงสัยจริงๆ ว่าเวินซีจงใจแกล้งพวกนางหรือไม่
“จะไม่กล้าพูดได้เช่นไร ข้าเพียงทำธุรกิจปกติ คุณหนูเวินเยียน นายท่านเวิน พวกท่านจะขายหรือไม่ก็พูดมาเลยเถิด” เวินซีถามกลับไป
นางได้ยินสถานการณ์ของตระกูลเวินมาแล้ว
พวกคนที่ทวงหนี้ให้เวลาตระกูลเวินเพียงหนึ่งวัน หากไม่จ่ายเงินให้ พวกเขาจะไม่เพียงแต่ยึดจวนตระกูลเวิน แต่ร้านค้าพวกนี้ก็ไม่เว้น
ขายให้นางย่อมดีกว่าถูกยึดไปเปล่าๆ อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่ต้องเร่ร่อนอยู่ข้างถนน
คำพูดของเวินซีทำให้เวินเยียนเงียบลง เมื่อนางมองไปก็เห็นแววตาของสองพ่อลูกมืดมน สีหน้าดูลังเลทั้งคู่
ที่เวินซีพูดไปเมื่อครู่ล้วนมีเหตุผล หากไม่ขาย พวกเขาก็คงจะขายไม่ออกไปอีกนาน ภายในเวลาเพียงหนึ่งวันนั้นไม่มีทางทำได้ แต่หากขายไป ก็ยากที่จะอดกลั้นความคับแค้นใจนี้
“ไม่ขายก็ช่าง เช่นไรข้าก็ไม่อยากได้เท่าไร”
ในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด ผู้ที่มีทักษะการต่อราคาเป็เลิศคงต้องยกให้เวินซีเป็ที่หนึ่ง ในขณะที่พูดอยู่นั้นนางก็ก้าวเท้าออกไปด้วย จ่างกุ้ยที่เฝ้าดูเหตุการณ์อยู่ตลอดก็เดินตามออกไป