“คุณชายหลิน?” ไป๋เจ๋อจวินและคนอื่นๆ เริ่มสงสัยจึงขัดจังหวะการเคลื่อนไหวเล็กน้อยของพวกเขา หลินอวิ๋นอับอายจนอยากแทรกแผ่นดินหนี เขามองไปรอบทิศทาง อัครเสนาบดีหลิวยิ้มเยาะแล้วพูด “ทำไมไม่พูดต่อเล่า? ท่านนักพรต”
เสวียนชิงมองไปรอบๆ ด้วยใบหน้าเ็า เอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้ม “ดูเหมือนว่าเื่ราวจะมีปัญหาเล็กน้อย...”
ใบหน้าของหลินอวิ๋นซีดขาว หลังจากไม่มีทางเลือกเขาจำต้องกัดฟันพูด “เมื่อครู่ได้ค้นหาในบันทึกหลัวเซิง... ผู้ที่มีดวงดาวแห่งเกียรติยศพิทักษ์อยู่...คือ...พี่ชายคนโตของพี่น้องฝาแฝดผู้มีปาจื้อ”
ทันทีที่ถ้อยคำนี้ถูกกล่าวออกมา ที่แห่งนี้เกิดเสียงดังอึกทึกอีกครา อัครเสนาบดีหลิวมองดูหลินอวิ๋นที่อับอายอย่างเย็นเยียบ หลินอวิ๋น้าขุดหลุมหลบหนีไป หลังจากนั้นครู่หนึ่ง อัครเสนาบดีหลิวยกยิ้มอย่างเย้ยหยัน “วิถีปีศาจ...ทำไมไม่ล่อลวงผู้คนต่อเล่า?”
กลุ่มคนพุ่งเข้ามาล้อมรอบหลินอวิ๋น เขาถูกกดดันจนต้องถอยทีละก้าว ทว่ากลับหมดหนทางถอย
“อืม ดูเหมือนว่าเ้าจะเกิดปัญหาใหญ่เสียแล้ว!” เสวียนชิงที่อยู่ข้างกายบอก “ขอโทษ เ้าก็รู้จักข้าดี ข้าศรัทธาในบุ๋นไม่ชำนาญบู๊ คงช่วยอะไรเ้าไม่ได้ เ้าดูแลตัวเองด้วย! ลาก่อน!”
“อย่า! เสวียนชิง เ้า!” หลังจากที่หลินอวิ๋นยื่นมือออกไปคว้า อีกฝ่ายกลับกลายเป็ควันสีฟ้าครามแล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย เรียกได้ว่ามาอย่างสง่าผ่าเผยและกลับไปอย่างหมดจด หลินอวิ๋นจ้องมองไปที่พื้นดินยามที่อีกฝ่ายหายตัวไป เขาะโเสียงแหบเสียงแห้งอย่างเจ็บใจ “เ้าสารเลวไร้ความชอบธรรม!!!”
เขายังคงยื่นมือออกไปเพื่อเรียกมาอย่างบังคับอีกครั้ง แต่รั่วหลีและคนอื่นๆ หยุดการกระทำของเขาไว้ เมื่อดาบิญญาบินมา หลินอวิ๋นจึงต้องพลิกตัวเบาๆ เพื่อหลบหนีการโจมตี
หนีรั่วหลีเรียกดาบิญญาจนเกิดเสียง ‘สวบ’ อิ๋นเสวี่ย สวี่ฮ่วนเจ๋อและคนอื่นๆ ที่ล้อมรอบต่างเผยอาวุธของพวกเขา แม้แต่อี้จื่ออียังมองอย่างว่างเปล่า ไม่ได้เคลื่อนไหวใดเพื่อช่วยเหลือ
“ท่านอาจารย์? ท่านอาจารย์...” ไป้เอ๋อร์ซึ่งถูกเบียดอยู่รอบนอกเป็เวลานานะโขึ้นลงอย่างรีบร้อน ั้แ่ต้นจนจบกลับไม่สามารถเข้าไปได้
เพียงครู่ หนีรั่วหลีมายืนอยู่ตรงข้ามเขาในตำแหน่งที่สามารถคว้าเขาได้หากยื่นมือออกมา
หลินอวิ๋นกำหมัดแน่น
“คุณชายหลิน” หนีรั่วหลีเจรจาพาทีแล้วจึงใช้กำลัง1 จากนั้นถามเสียงดัง “เวลานี้คุณชายหลิน...ยังไม่เต็มใจที่จะเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของตนเองอีกหรือ?”
หลินอวิ๋น “...”
“คุณชายหลินคงไม่คิดว่าพวกเราคือคนโง่จริงๆ หรอกกระมัง?” กล่าวจบก็พุ่งเข้าไปจู่โจมเบื้องหน้าของหลินอวิ๋นทันที หลังจากนั้นหลินอวิ๋นหลบหลีกแล้วโต้กลับ
น่าเสียดายนักที่เคล็ดวิชาเคลื่อนย้ายชั่วพริบตาสองครั้งก่อนหน้านี้เกือบทำให้พลังิญญาในร่างหมดสิ้น ยามนี้ร่างกายของมนุษย์ผู้นี้นับว่าไม่คล่องตัว ทั้งสองคนต่อสู้กันไปมากว่าสิบกระบวนท่า คาดไม่ถึงว่าหลินอวิ๋นจะเสียเปรียบ ประจวบเหมาะถูกหนีรั่วหลีผลักออกไปยังนอกเขตอาคมที่กลุ่มภูตผีเกลือกกลิ้งอยู่ราวกับเมฆดำ
“ท่านอาจารย์!” ไป๋เอ๋อร์กรีดร้องอย่างใ ้าจะพุ่งออกไป ทว่าถูกอี้จื่ออีที่อยู่ข้างคว้าตัวไว้เป็พัลวัน จึงดิ้นรนอยู่ในมือเขาไม่หยุด
อี้จื่ออีร่วมกับชาวสำนักเต๋าทั้งหมด มองหลินอวิ๋นที่ยืนอยู่เพียงลำพังท่ามกลางผีเ่าั้ที่อยู่ภายนอกอย่างเงียบงัน กลับเห็นว่าภูตผีเ่าั้คล้ายกับรับรู้อะไรอย่างอย่าง เริ่มทยอยหนีไปจากเขา บ้างก็มีผู้ที่ไม่ลืมตาจนชนเข้ากับร่างของเขาอย่างไม่ระวัง ทันใดนั้นกลับกรีดร้อง กลายเป็ควันสีฟ้าครามหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ใบหน้าของหลินอวิ๋นซีดขาว หลังจากมองไปยังผู้คนในเขตอาคม เขารู้ว่าตนเองไม่อาจปิดบังได้อีกต่อไปจึงไม่เสแสร้งอีก
หนีรั่วหลีกล่าว “ทันทีที่ท่านเคลื่อนย้ายมาชั่วพริบตา...แล้วดึงดาบเล่มนั้นออกจากเอว ปราณดาบกลายเป็เงาร่างรูปปลา...ซึ่งรวมกับลมปราณของภูตผี ัและปีศาจเข้าไว้ด้วยกัน”
ไป๋เจ๋อจวินกล่าว “มีชื่อเสียงสั่นสะท้านในสามโลกหกเหล่า ดาบปีศาจ ‘โม่หลง’ หลอมรวมกับิญญาของปลาหลีฮื้อสีดำที่ล้มเหลวจากการผ่านด่านเคราะห์...ซึ่งเป็ของาาผีแห่งแดนเหนือจาก ‘สองผู้ยิ่งใหญ่แห่งปรโลก’ ย่อมไม่ยอมให้ผู้อื่นใช้อย่างแน่นอน ฉิงชางจวินล้อข้าเล่นเช่นนี้ ไม่ทราบว่าตั้งใจจะทำอะไรหรือ?”
หลังจากกล่าวจบ ผู้คนต่างตกอยู่ในความวุ่นวาย จากนั้นรอคอยอย่างเคร่งเครียด ชี้อาวุธทั้งหมดในมือไปที่เด็กหนุ่มผู้ที่อยู่ด้านนอกเขตอาคม
หลินอวิ๋นหรือฉิงชางจวิน เจียงเฉิงเยว่ยืนอยู่ท่ามกลางพลังหยินชั่วร้ายของิญญานับร้อยที่ดิ้นพล่านอยู่ เขายิ้มอย่างขมขื่นเงียบๆ เผชิญหน้าความเป็ปรปักษ์ของทุกคนเพียงลำพัง...เป็อย่างที่คาดไว้ นี่เป็โชคชะตาที่เขาหนีไม่พ้นหรอกหรือ?
เขากำลังตกอยู่ในความสิ้นหวัง ทันใดนั้นกลับได้ยินเสียงไป้เอ๋อร์ร้องเรียกอย่างสั่นเครือ “ท่านอาจารย์!!!”
เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึง ก่อนมองไปที่ใบหน้าไร้เดียงสาซึ่งมีทั้งความกังวลและหวาดกลัว
ราวกับแสงแห่งรุ่งอรุณบดขยี้ความทรงจําอันมืดมนภายในใจ เขาจึงตอบสนองโดยพลัน ตัวเขาไม่ได้อยู่เพียงคนเดียว! ยังมีคนที่้า เชื่อใจและอยู่เคียงข้างเขา
เจียงเฉิงเยว่กำลังจะเอ่ย ทว่ากลับเห็นทุกคนในเขตอาคมเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเหนือศีรษะเขา
เขารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย จึงเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเหนือตนเอง เห็นเพียงแสงสว่างจุดเล็กๆ ลอยล่องลงมาอย่างเชื่องช้า เจียงเฉิงเยว่ยื่นมือออกไปโดยสัญชาตญาณ ก่อนที่แสงอันอบอุ่นนั้นจะตกลงบนฝ่ามือ
มันเป็ขนนกสีขาวขนาดเล็ก
รัศมีบนขนนกสีขาวนั้นบริสุทธิ์เป็อย่างยิ่ง
ขณะที่ทุกคนกำลังประหลาดใจ ฉับพลันกลับได้ยินเสียงนกร้องอย่างโกรธเกรี้ยว สั่นสะท้านทุกผู้คนจนต้องปิดหู
เวลาต่อมาแสงเงาสว่างวาบขึ้น นกั์สีขาวลากหางยาวบินวูบวาบในอากาศเป็วงกลม หลังจากนั้นใจกลางวงกลมที่นกบินผ่านพลันมีแสงสีขาวพร่างพรายลอยขึ้นมา ทุกคนล้วนตื่นตาตื่นใจทันที
ผู้คนต่างร้องด้วยความประหลาดใจแล้วหลบไปด้านข้าง หลังจากนั้นนักพรตธรรมดาและประชาชนที่ดูความครึกครื้นอยู่ไกลๆ เพื่อคุ้มครองค่ายกลเซียนบริเวณด้านนอกจวนสกุลหลิวและตามท้องถนนต่างก็ได้เห็นสถานการณ์อันน่ามหัศจรรย์นี้ วงแสงเจิดจ้าแผ่ออกมาจากจวนของอัครเสนาบดี สาดส่องท้องฟ้ายามค่ำคืนจนสว่างไสวราวกับกลางวันพร้อมกับเสียงนกกู่ร้อง กรงแห่งแสงนั้นปกคลุมไปทั่วทั้งเมืองโซ่วหลิง จากนั้นค่อยๆ สลายไป
ครู่ต่อมา เงาดำที่เกลือกกลิ้งราวกับเมฆดำในจวนอัครเสนาบดีเลือนหายไปทั้งหมด ถูกแทนที่ด้วยแสงรัศมีพร่างพราว
นักพรตที่ทรงพลังทั้งหมดในจวนกลับถูกลมปราณที่แข็งแกร่งนี้ผลักออกไปรอบทิศ ก่อนล้มลงทุกพื้นที่ด้วยความเ็ป ใจกลางของแสงนั้นได้ทิ้งพื้นที่ว่างขนาดใหญ่เอาไว้
ทุกคนมีชีวิตอยู่กันมาหลายปีต่างไม่เคยทราบมาก่อน ไม่คิดเลยว่าลมปราณจะสามารถครอบงำให้หนาวสะท้าน เย็นะเืเช่นนี้ได้
ยามแสงรัศมีผ่านพ้น จวนของอัครเสนาบดีดูเหมือนจะได้รับการชําระล้างอย่างสมบูรณ์ ไม่มีร่องรอยของพลังหยินชั่วร้ายอีกต่อไป
สถานที่ที่ขนนกสีขาวนั้นตกลงมาคือใจกลางพอดี ซึ่งเป็บริเวณที่เจียงเฉิงเยว่ยืนอยู่ ดังนั้นเขาจึงอยู่ใกล้ใจกลางมากที่สุด และเป็ผู้ที่ถูกรัศมีนั้นผลักลอยออกไปไกลอย่างรุนแรง เวลานี้เขากำลังกลิ้งอยู่ในสนามหญ้าท่ามกลางกองดอกไม้ใบหญ้าและกระถางที่แตก เขาถูบั้นท้ายอย่างแยกเขี้ยวยิงฟัน อย่างไรก็ตาม เขาทราบเช่นกันว่าผู้ที่มีลมปราณครอบงำเช่นนี้ได้ต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน...และเป็ไปได้มากว่าคือคนที่ได้ยินจากปฐีในจิ่นโจวซึ่งกล่าวถึงก่อนหน้านี้ เป็เซียนจวินที่ ‘ไม่ใช่ผู้น้อย’ อย่างแท้จริงที่เข้ามาควบคุมเื่นี้! ไม่ใช่ ‘เซียน’ ที่ทุกคนเจรจาและคุยโวอย่างสุภาพในวันธรรมดา แต่เป็เซียนจวินที่เอาแต่ใจยิ่งจนสามารถสั่งเสี่ยนอิงซิงจวินแห่งวังจื่อถงได้!
มารวดเร็วจริงเชียว! เหล่าเซียนจวินขยันขันแข็งเช่นนี้ั้แ่เมื่อไร?!
เจียงเฉิงเยว่ปิดปากของตนที่กำลังจะร้องด้วยความเ็ปอย่างมีสติ จากนั้นมองหาไปรอบๆ เห็นอี้จื่ออีอุ้มไป้เอ๋อร์ที่ถูกแสงรัศมีผลักออกไปอย่างพอดิบพอดี ไป้เอ๋อร์ล้มอย่างงุนงง ทว่าอี้จื่ออีเพียงมองไปยังใจกลางของรัศมีที่ซึ่งค่อยๆ เผยให้เห็นเงาสองสามเงาที่มีก็เหมือนไม่มี
นกั์สีขาวตัวนั้นยังคงบินวนในอากาศอย่างเชื่องช้าสองสามครั้ง ราวกับว่ากำลังตรวจตราอาณาเขต ค้นหาสิ่งชั่วร้ายที่เหลือ หลังจากไม่พบสิ่งใดมันค่อยๆ ตกลงสู่ใจกลาง เงาร่างคนที่ปรากฏอย่างคลุมเครือผู้นั้นยกนิ้วชี้ซ้ายขึ้น หลังจากนั้นนกจึงมาเกาะบนนิ้วของเขา ส่งเสียงกู่ร้องขึ้นไปบนฟ้า
ทุกคนต่างเห็นผ่านร่างจางๆ นั้น เห็นได้ชัดว่ามันเป็นกหลวน2 สีขาว แต่เ้าของนกหลวนตัวนั้น หากการบ่มเพาะในปัจจุบันไม่ถึงระดับปราณพิสุทธิ์อาจมองไม่เห็น แม้แต่ปราณพิสุทธิ์เองยังมองเห็นได้เพียงเลือนลางว่าเป็คนร่างสูงโปร่งผู้หนึ่ง อาภรณ์สีขาวมีแสงรัศมีวาววับอยู่เล็กน้อย ผมยาวราวกับหมึกสีดำและพู่ประดับ พร้อมชายเสื้อที่ปลิวไสวแม้ไร้ลม
ไป๋หลวนเกาะอยู่บนปลายนิ้วของเขา หลังจากกู่ร้องอยู่นานจึงกระพือปีก ลดหางยาวลงเล็กน้อย จากนั้นปรับย่างเท้าอยู่สองสามก้าวจนพบท่ายืนที่สบาย เ้าของไป๋หลวนมองไปรอบทิศทาง แม้ว่าใบหน้าของเขาจะไม่ชัดเจนนัก แต่ยังคงเห็นความเฉียบคมและเ็าในดวงตาคู่นั้น ราวกับน้ำแข็งเย็นะเื
เวลานี้ เจียงเฉิงเยว่ััไปถึงบริเวณที่ไป้เอ๋อร์อยู่แล้ว จึงรีบคว้าแขนศิษย์ตัวน้อย ไป้เอ๋อร์มีสติขึ้นมาเพียงครึ่ง จากนั้นมองมาที่เขาแล้วเรียกเสียงแ่ “ท่านอาจารย์?”
เจียงเฉิงเยว่รีบลงมืออย่างเงียบงัน ยามแสงรัศมีสว่างวาบ เขาพยายามใช้พลังิญญาเฮือกสุดท้ายเพื่อร่ายเคล็ดวิชาเคลื่อนย้ายชั่วพริบตา หลบหนีเอาชีวิตรอดอย่างรวดเร็ว
ทันทีที่ค่ายกลส่องแสงขึ้นมา คล้ายกับว่าตนรับรู้ได้ถึงสายตาเ็าที่จ้องมองบนร่าง จึงหันไปมองตามสัญชาตญาณ กลับสบตากับดวงตาเ็าคู่หนึ่ง
เจียงเฉิงเยว่ใ ทันใดนั้นกลับรู้สึกว่าดวงตาคู่นี้ทั้งคุ้นเคยและไม่คุ้นเคยเป็อย่างยิ่ง
ขณะที่ค่ายกลถูกเปิดใช้ ยามที่เขากับไป้เอ๋อร์ถูกส่งตัวออกไป เขาเหลือบไปเห็นไป๋เจ๋อจวินซึ่งลุกขึ้นยืนแล้วทำความเคารพอย่างนอบน้อมต่อเงาร่างที่เลือนรางตรงใจกลาง
คนที่เหลือมองเขาอย่างงงวย ไป๋เจ๋อจวินเอ่ยเรียกคนผู้นั้นเสียงเบา ทว่าเจียงเฉิงเยว่เตรียมให้ค่ายกลส่งตัวออกไปแล้ว ดังนั้นเสียงนั้นจึงไม่ชัดเจนนัก
ราวกับว่าเลือนราง...
ใช่...
“ฝ่าา”
.............................
บริเวณชานเมืองโซ่วหลิง หลังจากเกิดแสงและเงาวาบ ทั้งสองคนกลับนอนอยู่บนพื้นที่โล่งในป่า คนหนึ่งตัวใหญ่กับอีกคนตัวเล็กต่างหอบหายใจอย่างหนัก นั่นคือเจียงเฉิงเยว่กับไป้เอ๋อร์
เจียงเฉิงเยว่ผู้ไม่มีพลังิญญาอีกต่อไปเพียงสักนิดได้แผ่ตัวออกไปบนพื้นตามที่ใจ้า จากนั้นมองดวงดาวบนท้องฟ้าผ่านร่มเงาของต้นไม้ อารมณ์ไม่สามารถสงบได้อยู่นาน
เขาออกศึกยังไม่ทันคว้าชัย3 กลับเรียกเซียนจวินมา! เวลานี้ความน่าสงสัยของตนคงร้ายแรงยิ่งขึ้นแล้ว
ตนเองเชื่อฟังคําสั่งของาาฉินก่วงเพื่อเร้นกายจากโลกมานานกว่าร้อยปี วางแผนที่จะใช้ชีวิตอย่างสงบสุขในมุมที่เงียบสงบก่อนที่จะไปเกิดใหม่ นั่งอยู่ที่จวนเฉยๆ กลับซวยแบบไม่ทันตั้งตัว! เดิมทียามหลิวเฟิงบอกเขา ตนนั้นยังไม่เชื่อถือ จนกระทั่งหลิวเฟิงแสดงให้เขาเห็นเครื่องหมายของตนที่อยู่บนร่างของิญญาชั่วร้ายที่โซ่วหลิง เมื่อเห็นว่าเหมือนกับเครื่องหมายที่เขาทิ้งไว้เมื่อปีนั้นอย่างจริงแท้แน่นอน จึงทำให้เจียงเฉิงเยว่ไม่อาจนิ่งเฉยได้อีกต่อไป ทำได้เพียงละเมิดคําสาบานต่อาาฉินก่วงเพื่อออกจากูเาไปตรวจสอบเื่ที่เกิดขึ้นเป็การส่วนตัว ด้วยการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเอง...
เขาเป็าาผีผู้ยิ่งใหญ่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่เช่นนี้ อายุยืนยาวเกือบสามร้อยปีพร้อมศัตรูนับไม่ถ้วน ยามนี้ยังคิดไม่ออกจริงเชียวว่าท้ายที่สุดแล้ว ใครคือผู้อยู่เื้ัในการใส่ร้ายเขา
เวลาที่์กำลังเข้าแทรกแซงเช่นนี้ สิ่งต่างๆ เพียงแต่จะยิ่งยากลำบากขึ้น! ไม่รู้ว่าเป็เซียนจวินของวังใดที่ถูกส่งลงมาในครั้งนี้? เป็ไปได้หรือไม่ที่จะผูกไมตรี อีกฝ่ายจะยอมเชื่อหรือไม่ว่าาาผีผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยความชั่วร้ายในอดีตนั้นเป็ผู้บริสุทธิ์จริงในครั้งนี้?
เจียงเฉิงเยว่ยังคงครุ่นคิดหนัก ทันใดนั้นกลับมีเสียงเล็กๆ ะโมาจากด้านข้าง “ท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์...”
เจียงเฉิงเยว่กลับมารู้สึกตัวในทันที เขารีบมองดูไป้เอ๋อร์ “เ้าไม่เป็ไรใช่ไหม? รีบให้อาจารย์ดูว่าได้รับาเ็หรือไม่”
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่เขายื่นมือออกไป ไป้เอ๋อร์กลับดูเหมือนจะถูกทำให้ใ รีบหลบไปด้านหลัง
เจียงเฉิงเยว่ตะลึงงัน
ไป้เอ๋อร์ดูเหมือนจะครุ่นคิดอยู่นาน ในที่สุดเขารวบรวมความกล้าถาม “ท่านอาจารย์...ท่านคือ...าาผี...ผู้นั้น...จริงๆ หรือ?”
เจียงเฉิงเยว่รู้สึกเ็ปในหัวใจ ใช้เวลานานถึงค่อยถอนหายใจลึก พยักหน้าอย่างหนักแน่น
ไป้เอ๋อร์มองเขาอย่างเหม่อลอย
ทั้งสองคนต่างไม่พูดอะไร เหลือเพียงเสียงหวีดหวิวของสายลมยามค่ำคืน
เจียงเฉิงเยว่บอกกับศิษย์ “ไป้เอ๋อร์ อาจารย์ไม่ได้ตั้งใจจะหลอกลวงเ้า...แต่ว่า...ข้าขอโทษ” เขากำหมัดแน่นอีกครั้งก่อนรีบพูดเสริม “เ้าวางใจเถิด แม้ว่าอาจารย์จะเป็าาผี แต่...อาจารย์จะไม่ทำร้ายเ้าเด็ดขาด! ส่วนเื่ที่อาจารย์เป็เช่นนี้ได้อย่างไร อืม เื่ราวนี้ต่อให้มีเวลานานกว่านี้อาจเล่าไม่จบ ไว้คราวหลัง...ไว้คราวหลังอาจารย์มีโอกาสแล้วจะบอกเ้า ดีหรือไม่กัน?”
ไป้เอ๋อร์เหม่อลอย ร่างนิ่งค้างเป็เวลานาน เขาไม่อยากจะเชื่อจึงถามอีกครั้ง “ท่านคือฉิงชางจวินผู้นั้นที่พวกเขากล่าวถึงจริงหรือ?”
เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึง เมื่อรู้ว่าตนเองเป็ดาวหายนะของการ ‘เข่นฆ่าเมืองและทำลายประเทศ’ ผู้นั้นในถ้อยคำของผู้อื่น...ด้านที่ทนไม่ได้เช่นนี้ดันถูกศิษย์ตัวน้อยที่เลื่อมใสรู้เข้า ฉับพลันในใจรู้สึกไม่ดี เป็เวลานานกลับทำได้เพียงพยักหน้า
ไหนเลยจะรู้ว่าไป้เอ๋อร์กลับพุ่งเข้ามาหาเขาทันทีแล้วะโเสียงดัง “ว้าว! ดีมากเลย!”
เจียงเฉิงเยว่ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากโอบศิษย์ไว้ในอ้อมแขน เบิกตากว้างอย่างงุนงง “หืม?”
ไป้เอ๋อร์บอกอย่างยินดี “ฉิงชางจวินสง่างามถึงเช่นนั้น! อย่างที่คาดไว้! อาจารย์ของข้าเก่งกาจที่สุดในใต้หล้าจริงเชียว!!!”
“...” เจียงเฉิงเยว่พูดไม่ออกชั่วขณะ นิ่งค้างอยู่เป็เวลานาน จากนั้นถึงยกยิ้มแล้วส่ายศีรษะ
ไป้เอ๋อร์กล่าว “ข้าไม่สนว่าคนอื่นจะพูดอย่างไร ข้ารู้ว่าท่านอาจารย์เป็คนดี!!!”
เจียงเฉิงเยว่รู้สึกอบอุ่นจากก้นบึ้งหัวใจ เขาลูบศีรษะของอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดู กล่าวขอบคุณในใจ
รอให้อีกฝ่ายเอะอะมากพอแล้ว เจียงเฉิงเยว่ค่อยให้ศิษย์ปล่อยตนเอง หลังจากตรวจดูอย่างละเอียดอีกครั้ง เพราะกลัวว่าิญญาจะถูกทำให้าเ็จากภูตผีก่อนหน้านี้ เมื่อเห็นว่าไม่มีเื่อะไรผิดปกติจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก ไป้เอ๋อร์คิดอะไรบางอย่างได้จึงก้มศีรษะลงอย่างรู้สึกผิด “ขออภัยท่านอาจารย์ ต้องโทษที่ศิษย์ไร้ประโยชน์ ปล่อยให้พวกเขาแย่งหยกคู่เพลิงสุวรรณไป”
เจียงเฉิงเยว่ถอนหายใจแ่เบา “ข้าไม่โทษเ้าหรอก ไม่ต้องพูดว่าเป็เพราะเ้า...แม้อาจารย์จะอยู่ที่นั่นในเวลานั้น หากพวกเขาเกิดความสงสัย เกรงว่าอาจารย์ก็อาจรักษาหยกคู่เพลิงสุวรรณไว้ไม่ได้”
ไป้เอ๋อร์ทนไม่ไหวที่เขาพูดอย่างหดหู่เช่นนี้จึงเบี่ยงเบนความโกรธ “ต้องโทษพวกเขาที่ไร้ยางอาย!!! ฮึ่ม!!!”
เจียงเฉิงเยว่จะไม่รู้ความคิดของศิษย์ได้อย่างไร เขาระบายยิ้มและปล่อยไป
ไป้เอ๋อร์บอกอีกครั้ง “ท่านอาจารย์ เช่นนั้นยามนี้ไม่มีหยกคู่เพลิงสุวรรณแล้ว...ข้าควรทำอย่างไร? โรคของข้าจะไม่ดีขึ้นใช่หรือไม่?”
เจียงเฉิงเยว่ปลอบโยน “ไม่เป็ไร ตอนนี้อาจารย์ใช้เคล็ดวิชาเคลื่อนย้ายชั่วพริบตาทำให้พลังิญญาหมด รอให้อาจารย์พักผ่อนสักหน่อย ฟื้นฟูพลังิญญาบางส่วน อาจารย์จะร่ายเคล็ดวิชาให้เ้าเพื่อปกปิดมันชั่วคราว สองวันนี้เ้านำยันต์ปัดเป่าภัยพิบัติติดตัวไปก่อน ตอนนี้ไม่ใช่่คืนเดือนดับ ฉะนั้นไม่เป็ไรหรอก”
ไป้เอ๋อร์พยักหน้า เขาคิดแล้วพูดอย่างหดหู่ใจ “ถ้าเช่นนั้น...เมื่อถึงคืนเดือนดับแล้วข้าควรทำอย่างไร?”
เจียงเฉิงเยว่เงียบไปครู่หนึ่ง “อาจารย์จะไปที่เขาฉีหวนในอีกสองวัน”
ไป้เอ๋อร์พูดด้วยใบหน้าขมขื่น “ท่านอาจารย์ ท่านจะไปอีกแล้วหรือ? เขาฉีหวนเป็สถานที่เช่นไร ไปทำอะไรกัน?”
เจียงเฉิงเยว่นอนลงบนพื้นอีกครั้ง ไม่ตอบคำถามแต่ถามกลับ “ไป้เอ๋อร์ เ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมหยกคู่เพลิงสุวรรณจึงเรียกว่าหยกคู่เพลิงสุวรรณกัน?”
ไป้เอ๋อร์ส่ายศีรษะอย่างซื่อตรง “ข้าไม่รู้”
เจียงเฉิงเยว่กล่าว “เรียกว่า ‘หยกคู่’ แน่นอนว่าเป็เพราะ...มีเป็คู่อย่างไรเล่า”
ดวงตาของไป้เอ๋อร์เป็ประกาย “ท่านอาจารย์ ท่านจะบอกว่าหยกคู่เพลิงสุวรรณมีอีกชิ้นใช่หรือไม่?”
เจียงเฉิงเยว่ลูบศีรษะของศิษย์พลางยิ้ม “อืม เช่นนั้น...อาจารย์จะไปหามัน ดูว่าจะยังหามันเจอหรือไม่”
ไป้เอ๋อร์พยักหน้าแรงด้วยความรวดเร็ว
เมื่อเจียงเฉิงเยว่พูดจบกลับมีความโศกเศร้าเล็กน้อย เขาถอนหายใจอีกครั้ง
แม้ว่ามีอยู่...เกรงว่าของจะยังอยู่ แต่คนผู้นั้นไม่อยู่แล้ว
------------------------
[1] เจรจาพาทีแล้วจึงใช้กำลัง เป็สำนวน หมายถึง เจรจาด้วยเหตุผลก่อน หากล้มเหลวจึงใช้กำลัง
[2] นกหลวน ในบันทึกก๋วงหย่ากล่าวว่านกหลวนคือราชันย์แห่งวิหค
[3] ออกศึกยังไม่ทันคว้าชัย เป็สำนวน หมายถึง ยังไม่ทันทำให้สำเร็จกลับล้มเหลว