มู่เฟิงรีบนำยาอายุวัฒนะสีขาวออกมาจากแหวนเฉียนคุนหนึ่งเม็ด ซึ่งบนเม็ดยาเม็ดนี้ก็มีลายเส้นถูกสลักเอาไว้สองขีด นี่คือยาผสานกระดูกขั้นสอง สามารถใช้รักษาอาการาเ็ของกระดูกได้
โดยปกติมู่เฟิงมักจะออกไปฝึกฝนวรยุทธ์อยู่ข้างนอก ดังนั้นเขาจึงพกยารักษาอาการาเ็เหล่านี้ติดตัวไว้เสมอ
หลังจากมู่เฟิงป้อนยาให้กับมู่ฝาน กระดูกซี่โครงที่แตกหักไปแล้วของเด็กหนุ่มก็เริ่มกลับมาเชื่อมประสานกันอีกครั้ง
“คนพวกนั้นอยู่ที่ใด?”
มู่เฟิงถามด้วยน้ำเสียงเ็า
“ตอนนี้พวกเขาน่าจะอยู่ที่โถงเรียนของบัณฑิตใหม่ขอรับ นอกจากนี้พวกเขายังทิ้งคำพูดเอาไว้ด้วยว่า หากคนตระกูลมู่ของพวกเราไปที่นั่นพวกเขาก็จะจัดการให้หมดขอรับ”
ศิษย์ตระกูลมู่ผู้หนึ่งกล่าวขึ้น
“ช่างน่าชังนัก ข้าจะหักซี่โครงเ้าเด็กจากอาณาจักรเทียนเฟิงกลุ่มนี้สักสิบซี่ ล้างแค้นให้กับมู่ฝาน”
มู่ขวงกัดฟันกรอดพร้อมกับกำหมัดแน่น บนร่างของเขามีรังสีอำมหิตแผ่ออกมา
แม้ว่าสำนักศึกษาจะมีกฎเหล็กว่าห้ามสังหารคน แต่การต่อสู้กันเองภายในสำนักศึกษานั้นไม่นับว่าผิดกฎ เพราะหากไม่มีการต่อสู้แล้วจะเกิดความก้าวหน้าได้อย่างไร กองกำลังของบัณฑิตภายในสำนักศึกษานั้นมักจะเกิดการกระทบกระทั่งกันอยู่บ่อยครั้ง และเหตุการณ์เหล่านี้ก็เป็แรงผลักดันให้แต่ละกองกำลังพยายามพัฒนาศักยภาพเพื่อให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น
“ดี เหลือคนดูแลมู่ฝานเอาไว้ที่นี่หนึ่งคน ส่วนคนที่เหลือหากกล้าพอก็ตามข้ามา”
มู่เฟิงกันหลังกลับก่อนจะเดินนำออกไปโดยมีไป๋จื่อเยว่และมู่ขวงติดตามไปด้วย บรรดาศิษย์ตระกูลมู่ที่เหลือต่างก็หันมองหน้ากันอย่างลนลาน จากนั้นพวกเขาก็ตามมู่เฟิงออกไปทันที ดังนั้นที่นี่จึงเหลือเพียงเด็กสาวคนหนึ่งซึ่งรับหน้าที่คอยดูแลมู่ฝาน
ภายในอาณาเขตของบัณฑิตใหม่นั้นมีโถงเรียนหลายแห่ง เนื่องจากบัณฑิตใหม่ส่วนใหญ่ยังไม่บรรลุวรยุทธ์ระดับจื่อฝู่ ดังนั้นจึงมีผู้เชี่ยวชาญเปิดชั้นเรียนเพื่อบรรยายเกี่ยวกับวิธีการเปิดเส้นลมปราณสู่การทะลวงขึ้นไปยังระดับจื่อฝู่ และเนื่องจากวิธีการฝึกฝนในระดับจื่อฝู่นั้นมีทั้งข้อดีข้อเสีย ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพของพลังปราณโดยตรง ดังนั้นในชั้นเรียนนี้จึงมีบัณฑิตหน้าใหม่เข้าเรียนเป็จำนวนมาก
การเข้าร่วมการฟังบรรยายนั้นใช้คะแนนเรียนแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ภายในโถงเรียนแห่งหนึ่งซึ่งมีบัณฑิตใหม่จำนวนเกือบร้อยคน ขณะนี้มีสตรีในชุดคลุมสีน้ำเงินกำลังทำหน้าที่เป็ผู้บรรยายถึงวิธีการทะลวงเส้นลมปราณสู่ระดับจื่อฝู่
รูปลักษณ์ของผู้บรรยายหญิงผู้นี้ดูมีอายุราวๆ ยี่สิบกว่าปีเท่านั้น ส่วนวรยุทธ์ของนางอยู่ในระดับหนิงกัง ขณะนี้นางกำลังบรรยายเนื้อหาบนกระดานซึ่งเป็เกี่ยวกับการทำงานของเส้นลมปราณในระดับจื่อฝู่ ด้วยรูปร่างที่สะโอดสะอง ทำให้มีบัณฑิตใหม่หลายคนจ้องมองไปยังสะโพกอันกลมกลึงของนางพลางลอบกลืนน้ำลาย
“พี่เฉียง ท่านว่าเ้าเด็กที่เราทุบตีไปเมื่อครู่จะกลับมาแก้แค้นหรือไม่?”
ภายในชั้นเรียน เด็กหนุ่มในชุดคลุมสีเหลืองหันไปถามเด็กหนุ่มในชุดคลุมสีเทาอีกคนที่อยู่ด้านข้าง
“กลับมาแก้แค้นแล้วอย่างไร ข้ากลัวว่าพวกเขาจะไม่กล้าโผล่หัวมามากกว่า เด็กที่ข้าทุบตีนั้นเป็คนของตระกูลมู่จากหนานหลิง ในาไม่รู้ว่าคนตระกูลมู่สังหารคนตระกูลเฉียงของข้าไปตั้งเท่าไร หากว่ากล้าก็เข้ามาเลย ข้าจะทุบตีให้พวกเขาคลานกลับไปเอง”
เฉินเฉียงกล่าวอย่างเย้ยหยันอย่างไม่ใส่ใจนัก
“ถูกต้อง แต่ข้าได้ยินมาว่ากองกำลังทหารของตระกูลมู่จำนวนกว่าสองแสนคนถูกล้างสังหารในาที่จิ่วเฉวียนเมื่อครั้งก่อนแล้ว ศึกครั้งนั้นทำให้กองกำลังของตระกูลมู่ในอาณาจักรหนานหลิงถูกกวาดล้างจนแทบสิ้น”
เด็กหนุ่มที่อยู่ด้านข้างอีกคนกล่าวขึ้น
“ค่อยดูเถอะ อีกไม่นานอาณาจักรหนานหลิงจะต้องตกเป็ของอาณาจักรเทียนเฟิงของพวกเรา”
ขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยกัน ทันใดนั้นก็มีกลุ่มเด็กหนุ่มอีกกลุ่มหนึ่งผลักประตูเข้ามา โดยผู้นำกลุ่มที่เดินเข้ามาเป็คนแรกก็คือมู่เฟิง
การปรากฏตัวของพวกมู่เฟิงสามารถดึงดูดความสนใจจากทุกคนในชั้นเรียนได้ในทันที โดยเฉพาะเส้นผมสีขาวของมู่เฟิงที่เปล่งประกายเงางาม
“พี่เฟิง เป็เ้าหมอนั่น”
ศิษย์ผู้หนึ่งของตระกูลมู่ชี้ไปยังเฉินเฉียงที่นั่งอยู่ด้านหลังห้อง
ใบหน้าของมู่เฟิงยังคงราบเรียบ ทางฝั่งเฉินเฉียงจดจำได้ในทันทีว่าอีกฝ่ายคือคนของตระกูลมู่ที่พวกเขาเพิ่งจะทุบตีไปใน่พักการเรียนเมื่อครู่
“พี่เฉียง เ้าพวกนี้กล้ากลับมาจริงด้วย”
“น่าสนใจ”
เฉินเฉียงแสยะยิ้มออกมา
ทันใดนั้นผู้บรรยายสาวสวยก็เหลือบมองมาทางกลุ่มของมู่เฟิงก่อนจะขมวดคิ้วและกล่าวขึ้นว่า “บัณฑิตใหม่ ครั้งหน้าให้พวกเ้ามาเร็วกว่านี้”
มู่เฟิงประสานมือกำหมัดทำความเคารพอีกฝ่ายก่อนจะกล่าวว่า “ขออภัยขอรับ คราวหน้าพวกเราจะใส่ใจให้มากกว่านี้”
หลังจากมู่เฟิงกล่าวจบ เขาก็นำบัตรผลึกสีน้ำเงินออกมาเพื่อให้ผู้บรรยายสาวหักลบคะแนนเข้าเรียนจำนวนสิบคะแนน จากนั้นเขาก็เดินไปหาที่นั่งด้านล่างก่อนจะนั่งลง ส่วนศิษย์ตระกูลมู่คนอื่นๆ ก็เดินมานั่งด้วยเช่นกัน
“ชายผู้นั้นเป็ใครกันน่ะ เขายังเด็กมากแต่เหตุใดจึงมีเส้นผมสีขาวแบบนั้นได้ แต่ก็ดูหล่อเหลามากทีเดียว”
เหล่าบัณฑิตหญิงที่อยู่ด้านล่างต่างก็ลอบมองมู่เฟิงก่อนจะหันกลับมากระซิบกระซาบกัน
แน่นอนว่าเหล่าบัณฑิตหน้าใหม่ที่มาจากอาณาจักรหนานหลิงล้วนรู้จักมู่เฟิงเป็อย่างดี และพวกเขาต่างก็มองออกถึงเจตนาที่แท้จริงของอีกฝ่าย
หลังจากเวลาผ่านไปเกือบสองเค่อ ในที่สุดการบรรยายก็สิ้นสุดลง ขณะที่ผู้บรรยายสาวกำลังเก็บของเตรียมจะจากไป เหล่าบัณฑิตภายในห้องต่างก็เก็บข้าวของเตรียมจะออกจากห้องบรรยายเช่นกัน
ทันใดนั้น เฉินเฉียงก็นำกลุ่มบัณฑิตหน้าใหม่จำนวนกว่าสิบคนเดินไปยังตำแหน่งที่นั่งของมู่เฟิงและศิษย์คนอื่นๆ ของตระกูลมู่
“เ้าหนู นึกไม่ถึงเลยว่าพวกเ้าจะกล้ากลับมา เมื่อครู่ยังถูกทุบตีไม่พอหรืออย่างไร”
เฉินเฉียงกวาดตามองบรรดาศิษย์ตระกูลมู่ก่อนจะกล่าวออกมาอย่างเย้ยหยัน
บรรดาศิษย์ตระกูลมู่ต่างก็ลุกขึ้นยืนในทันที สายตาของพวกเขาจ้องเขม็งไปยังอีกฝ่ายอย่างไม่ยอมแพ้ ส่วนมู่เฟิงยังคงนั่งนิ่งอยู่ด้านข้างโดยไม่ได้ขยับตัวลุกขึ้น “คนที่ลงมือเป็พวกเ้าสินะ”
“มารดามันเถอะ เ้าคิดว่าตัวเองเป็ใคร? คิดว่ากำลังคุยกับใครอยู่กัน?”
บัณฑิตผู้หนึ่งของเทียนเฟิงถามอย่างเ็า
ปัง!
มู่ขวงตบโต๊ะก่อนจะลุกพรวดขึ้น เขาเดินเข้าไปหาบัณฑิตของเทียนเฟิงคนที่สบถด่าเมื่อครู่ก่อนจะยกฝ่ามือตบไปทางอีกฝ่าย
บัณฑิตของเทียนเฟิงผู้นั้นยกมือของตัวเองขึ้นเพื่อสกัดกั้นมัน แต่แรงตบของมู่ขวงนั้นทรงพลังเกินกว่าที่อีกฝ่ายจะรับมือได้ ฝ่ามือของเด็กหนุ่มกระแทกลงบนมือของอีกฝ่ายก่อนจะฟาดลงไปบนใบหน้าของบัณฑิตผู้นั้นอย่างแรง
“โอ๊ย…!”
บัณฑิตของเทียนเฟิงผู้นั้นกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บ ร่างของเขาลอยกระเด็นไปไกลหลายเมตร ก่อนจะกระแทกลงบนโต๊ะเรียนจนล้มระเนระนาดและกระอักเืออกมา กระทั่งฟันก็ยังร่วงออกมาหลายซี่
“ถ้าจะพูดกับพี่เฟิง ก็ใช้คำพูดให้มันสุภาพหน่อย”
มู่ขวงกล่าวอย่างเ็า
“พี่น้องทั้งหลาย ลุยเลย!”
เมื่อเห็นฉากนี้ เฉินเฉียงก็แผดเสียงคำรามออกมาด้วยความโมโห จากนั้นบัณฑิตจากเทียนเฟิงจำนวนสิบคนต่างก็พุ่งตัวเข้าไปหามู่ขวงในทันที
ขณะที่คนตระกูลมู่กำลังจะเคลื่อนไหว มู่เฟิงก็พลันกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ปล่อยให้เสี่ยวขวงได้อุ่นร่างกายเถอะ”
ไป๋จื่อเยว่ที่ยืนกอดอกอยู่ข้างมู่เฟิงก็กล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มเช่นกันว่า “ไม่ต้องห่วงไป ต่อให้เ้าพวกนี้มีมากกว่านี้อีกสิบคน พวกเขาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเ้าทึ่มนั่นหรอก”
เมื่อได้เห็นคนจำนานมากกำลังกรูกันเข้ามา มู่ขวงก็เผยรอยยิ้อันน่าสะพรึงกลัวออกมา บัณฑิตผู้หนึ่งของเทียนเฟิงแผดเสียงร้องคำรามและต่อยหมัดที่อัดแน่นไว้ด้วยพลังปราณสีขาวไปที่ทรวงอกของมู่ขวง
แต่มู่ขวงกลับไม่แม้แต่จะหลบ!
เปรี้ยง...!
เมื่อหมัดนี้ต่อยเข้าที่ทรวงอกของเขา มู่ขวงเพียงถอยหลังออกไปแค่สองก้าวเท่านั้น จากนั้นมือข้างหนึ่งของเขาก็คว้าจับข้อมือของอีกฝ่ายเอาไว้แน่น ก่อนจะบิดข้อมือนั้นอย่างแรง
“กร๊อบ!”
“อ๊าก…!”
กระดูกข้อมือของบัณฑิตจากเทียนเฟิงผู้นั้นถูกบิดจนหัก
ฉับพลันนั้นบัณฑิตจากเทียนเฟิงอีกสองคนก็ะโเข้ามา พวกเขาตั้งใจจะใช้ฝ่าเท้าเตะลงบนศีรษะของมู่ขวงพร้อมกัน
มู่ขวงแผดเสียงคำราม ก่อนจะยื่นมือออกไปจับขาของคนทั้งสองเอาไว้ จากนั้นเขาก็เหวี่ยงอีกฝ่ายกระแทกลงกับพื้น ทำให้ร่างของพวกเขาสองคนฟาดเข้ากับโต๊ะและเก้าอี้หลายตัวจนเกิดเสียงดังโครม เมื่อร่างกายกระแทกลงบนพื้นพวกเขาก็กระอักเืออกมาทันที กระทั่งกระดูกซี่โครงยังแตกหัก
มู่ขวงต่อสู้แบบหนึ่งต่อสิบ ซึ่งบัณฑิตใหม่เหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนมีวรยุทธ์อยู่ในระดับทงม่ายขั้นเก้าทั้งนั้น แต่มู่ขวงกลับสามารถจัดการพวกเขาเ่าั้ได้โดยไม่ต้องใช้แม้แต่พลังปราณด้วยซ้ำ
“คนผู้นี้ช่างร้ายกาจนัก!”
“พละกำลังของเขาแข็งแกร่งมาก บัณฑิตจากเทียนเฟิงเหล่านี้ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาเลย”
เหล่าบัณฑิตที่อยู่โดยรอบซึ่งกำลังเฝ้าดูการต่อสู้ของพวกเขาต่างก็อุทานออกมา เวลานี้มู่ขวงดูเหมือนกับสัตว์ร้าย เขากำลังทรมานบัณฑิตจากเทียนเฟิงด้วยการหักกระดูกพวกเขาทีละคน
ผู้บรรยายสาวที่ยังไม่ได้ออกไปจากห้องบรรยายกำลังจ้องมองมู่ขวงด้วยความประหลาดใจ นางสามารถบอกได้ว่าั้แ่ต้นจนถึงตอนนี้มู่ขวงยังไม่ได้ใช้พลังปราณของเขาออกมาเลยแม้แต่น้อย!
“พละกำลังแข็งแกร่งมาก!”
หญิงสาวพึมพำกับตัวเอง เมื่อพลังปราณแข็งแกร่งขึ้น ร่างกายของผู้ฝึกยุทธ์ก็จะแข็งแกร่งขึ้นด้วยเช่นกัน แต่เมื่อพิจารณาดูแล้ว วรยุทธ์ของเด็กหนุ่มผู้นี้ไม่น่าจะเกินระดับจื่อฝู่ แต่เหตุใดความแข็งแกร่งด้านพละกำลังและร่างกายของของเขาถึงเทียบเท่ากับผู้ฝึกยุทธ์ระดับหนิงกังกันนะ
“เ้าโง่เอ๊ย ไปตายเสีย!”
เฉินเฉียงแผดเสียงออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว เขาปล่อยหมัดไปที่ศีรษะของมู่ขวง หมัดนี้ของเขาทอประกายแสงสีเขียวออกมาและมันก็มีความแข็งแกร่งราวกับท่อนไม้ เด็กหนุ่มผู้นี้เองก็เป็ผู้ฝึกยุทธ์ระดับจื่อฝู่เช่นกัน ดังนั้นอานุภาพพลังของหมัดนี้จึงแข็งแกร่งเป็อย่างมาก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้