ภายในศาลาพักผ่อนของสวนอวี้ฮวา ไม่มีข้ารับใช้ในวังค่อยติดตามอย่างใกล้ชิด อิ้งหลีที่มีอาการวิงเวียนศีรษะเล็กน้อยกำลังดื่มเหล้าและสนทนาอยู่กับเฟิงจิ้งอี้ที่ยืนพิงเสาอยู่ เฟิงจิ้งอี้เริ่มพูดคุยเกี่ยวกับหลายสิ่งหลายอย่างในราชวัง อิ้งหลีก็ฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ หลังจากนี้เขาจะต้องอาศัยอยู่ในวัง จึงเป็การดีที่จะได้ทราบข้อมูลให้มากขึ้น
เมื่อเฟิงจิ้งอี้แนะนำเขาว่าในฐานะที่เขาเป็ราชครูขององค์ชาย ในยามที่เหล่าองค์ชายก่อกวนเขาไม่ควรตามใจให้มากนัก อิ้งหลีจึงอดไม่ได้ที่จะถามคำถามที่วนเวียนอยู่ภายในหัวใจมาั้แ่ต้น
“ไม่นึกเลยว่าองค์ชายสามจะอายุแปดปีแล้ว...”
จากการวิเคราะห์นี้ องค์ชายใหญ่และองค์ชายรองน่าจะมีอายุสิบปีแล้ว เขาจำได้ว่าตี้จวินอายุเพียงยี่สิบห้าปีเท่านั้น
“แปลกใจมากหรือ?” เฟิงจิ้งอี้เอ่ยถามด้วยรอยยิ้มที่ดูจงใจ แล้วก็พูดต่อในทันทีว่า “องค์ชายใหญ่อายุสิบห้าปีแล้ว หลังจากนี้อีกหนึ่งหรือสองปีก็สามารถเลือกนางสนมได้แล้ว”
หน้าตาของอิ้งหลีดูตื่นใ “เอ่อ…”
“หึ...” เมื่อเฟิงจิ้งอี้เห็นท่าทางใของเขา จู่ๆ ก็หัวเราะออกมาดังลั่น “เ้ากำลังคิดว่าเจิ้นเก่งกาจมากใช่หรือไม่?”
“...กระหม่อมขอคารวะ”
อิ้งหลีก้มศีรษะลงอย่างหวาดหวั่น นี่มันไม่ว่าจะตอบเช่นไรก็ล้วนไม่เหมาะสม เด็กสิบปีจะรู้เื่อะไรได้บ้าง ยังไม่ต้องพูดถึงเื่การมีลูก
เฟิงจิ้งอี้เทเหล้าลงในจอกของเขา “ผลการปฏิบัติเหล่านี้เ้าทำมันได้ไม่ดี ลงโทษให้ดื่มหนึ่งจอก”
คาดไม่ถึงว่าจริงๆ ว่ามันจะปลอดภัย เปลี่ยนไปเป็คนอื่นคงจะถามว่าตั้งใจฟังอยู่ใช่หรือไม่
“พ่ะย่ะค่ะ”
อิ้งหลีดื่มเหล้าลงไป อาการวิงเวียนศีรษะก็ยิ่งเพิ่มขึ้น รู้สึกว่าดวงตาร้อนไปหมดแล้ว
“เอาล่ะ นอกเหนือจากเื่นี้มันก็เป็เื่ราวภายในของราชวงศ์ จึงไม่สามารถตำหนิเ้าได้”
เมื่อเฟิงจิ้งอี้เห็นเขาเมามากขึ้นเล็กน้อย จึงเริ่มที่จะชี้แจงให้เขาฟัง
“เซียนตี้มีโอรสทั้งหมดเจ็ดพระองค์ และเจิ้นที่เป็คนสุดท้องสืบเชื้อสายมาจากฮองเฮา ส่วนอ๋อง และองค์หญิงที่เหลือนั้นล้วนสืบเชื้อสายมาจากเหล่านางสนม โดยตำแหน่งเรียงจากคนอายุมากก็คือ พี่ใหญ่อ๋องเต๋อเซวียน พี่รองอ๋องซั่งอู่ พี่สามอ๋องเซียวเหยา พี่สี่องค์หญิงจิ่นหนิง พี่ห้าอ๋องฉางอัน และพี่หกอ๋องติ้งหย่วน”
“ในหมู่พวกเขาอ๋องเต๋อเซวียนทรงสิ้นพระชนม์ั้แ่อายุยังน้อย อ๋องซั่งอู่ทรงสิ้นพระชนม์ในสนามรบ ครั้งหนึ่งอ๋องเซียวเหยาเคยร่วมเดินทางกับอ๋องซั่งอู่ หลังจากพี่ชายจากไปก็ไม่สนทางโลกอีกเลย องค์หญิงจิ่นหนิงแต่งออกไปอยู่ต่างบ้านต่างเมือง จนถึงทุกวันนี้ยังคงมีชีวิตที่สงบสุข ส่วนอ๋องฉางอันและอ๋องติ้งหย่วนได้รับที่ดินศักดินาอยู่ไกลออกไปทางใต้และตะวันตก ไม่ได้กลับเมืองหลวงมานานหลายปีแล้ว”
ราชวงศ์ก็เป็เช่นนี้ เมื่อโตขึ้นแม้ว่าจะไม่ได้หันดาบเข้าหากันในการต่อสู้เพื่อแสดงสิทธิ์ของตนมันก็จะเฉยเมยราวกับเป็แอ่งน้ำ
หลังจากที่อิ้งหลีได้ฟังแล้ว ก็เดาได้ทันทีว่า “เช่นนั้นเหล่าองค์ชาย...”
เฟิงจิ้งอี้พยักหน้า แล้วอธิบายต่อไป
ในราชวังตอนนี้มีองค์ชายองค์หญิงทั้งหมดห้าพระองค์ องค์ชายใหญ่ฉางหลินเป็บุตรกำพร้าของอ๋องซั่งอู่มีอายุสิบห้าปี องค์ชายรองหลิงอวี่เป็โอรสองค์โตของอ๋องฉางอันมีอายุสิบปี องค์ชายสามเฟิงอี้เป็โอรสของอ๋องติ้งหย่วนมีอายุแปดปี องค์หญิงสี่อวิ๋นซีและองค์ชายห้าอวิ๋นเยี่ยนเป็ฝาแฝดที่สืบเชื้อสายมาจากสนมเอกของเจิ้นปีนี้อายุห้าปีแล้ว มารดาของซีเอ๋อร์และเยี่ยนเอ๋อร์ล่วงลับไปหลายปีแล้ว ตอนนี้จึงสะดวกที่จะนำพวกเขามาดูแลด้วยกันอยู่ที่ข้างตำหนักเหวินหัว
เมื่อกล่าวประโยคสุดท้าย มีบางอย่างแวบเข้ามาในดวงตาของเฟิงจิ้งอี้ น้ำเสียงก็ยังแตกต่างกันเล็กน้อย
“ที่แท้ก็เป็เช่นนี้...”
ในทันใดนั้นอิ้งหลีก็ตระหนักได้ว่า แต่ไหนแต่ไรมาท่านอ๋องที่มีทายาทล้วนให้บุตรคนหนึ่งมาอาศัยอยู่ในพระราชวังในฐานะองค์ชาย (เชลย) นี่อาจเป็หนึ่งในคู่ต่อสู้แย่งชิงตำแหน่งฮ่องเต้ อีกทั้งบรรดาท่านอ๋องยังสามารถเก็บศักดินาของตนเอาไว้ให้ได้ แต่เมื่อมองดูท่าทีของตี้จวินที่มีต่อเ้าลูกหมีและท่าทีของเ้าลูกหมีที่ประพฤติตัวเสียมารยาทต่อเขาแล้ว ก็ดูเหมือนจะเข้ากันได้ดี หากไม่ใช่คนในคงไม่มีทางมองออกว่าพวกเขาไม่ใช่บิดาและบุตรทางสายเื
ตี้จวินในตอนนี้ยังไม่แต่งตั้งฮองเฮา ทว่าองค์ชายและองค์หญิงไม่มีมารดาผู้ให้กำเนิด เช่นนี้ความสัมพันธ์ในราชวงศ์จึงละเอียดอ่อนมาก
เฟิงจิ้งอี้เอามือแตะคางแล้วเหลือบไปมองเขา “เข้าใจหรือยัง?”
อิ้งหลีพยักหน้า “เข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ ขอบพระทัยตี้จวิน”
เฟิงจิ้งอี้จิบเหล้าไปอีก “คำขอของเจิ้นต่อเ้าก็คือจงปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเท่าเทียมกัน”
อิ้งหลี “กระหม่อมน้อมรับบัญชา”
“ยังมีสิ่งใดอยากจะถามอีกไหม?”
“ไม่มีแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เฟิงจิ้งอี้ไม่พูดสิ่งใดออกมาอีก มือถือจอกเหล้า ใช้นิ้วหัวแม่มือบิดปากถ้วยเบาๆ และตกอยู่ในภวังค์
“ตี้จวินมีอะไรในใจหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“อืม...” เฟิงจิ้งอี้พยักหน้าเล็กน้อย เงยหน้ามองขึ้นไปเห็นว่าดวงจันทร์ถูกแบ่งครึ่งด้วยชายคาก็ถอนหายใจออกมา
“นี่เป็ครั้งแรกหลังจากเจิ้นขึ้นครองราชย์ที่ได้ทดสอบขุนนาง ครั้งแรกที่ได้เลื่อนขึ้นมาเป็เสาหลัก ในใจก็รู้สึกสับสนขึ้นมาเล็กน้อย”
ในปีแรกที่ได้ขึ้นครองราชย์ เนื่องจากความวุ่นวายในท้องพระโรง การทดสอบขุนนางของฮ่องเต้จึงถูกยกเลิกไป จวบจนบัดนี้ การทดสอบขุนนางของฮ่องเต้นี้ทำให้เขามีความรู้สึกว่านี่คือสิ่งที่เขาทำได้ด้วยมือของเขาเอง และในที่สุดเขาก็ไม่ใช่เพียงแค่นั่งลงแล้วจะสำเร็จ ความรู้สึกของความสำเร็จที่ไม่สามารถละเลยได้มันค่อนข้างละเอียดอ่อน ดูเหมือนว่าจากนี้ไปเขาจะครองโลกได้อย่างแท้จริง
อิ้งหลีเติมเหล้าให้เขาแล้วพูดว่า “กระหม่อมรู้สึกเป็เกียรติอย่างยิ่ง”
หลังจากเฟิงจิ้งอี้มองเขาอยู่พักหนึ่งก็ยิ้มออกมาโดยไม่พูดอะไร เหตุใดในใจจึงรู้สึกเป็เกียรติเช่นกันได้นะ? เป็เพราะตระกูลเหยียนหรือเพราะว่าอิ้งหลีที่มีจิตใจตรงกัน? หรือทั้งสองอย่าง?
มองไปยังฝั่งตรงข้าม อิ้งหลีรู้สึกเวียนหัว ดวงตาก็เริ่มมองเห็นได้ไม่ชัดเจน ปากของคนที่กำลังเมายกยิ้มกว้างขึ้นเป็อย่างมาก
ชายผู้นี้ดูดีมากจริงๆ... เฟิงจิ้งอี้ครุ่นคิดอย่างเงียบๆ เขาแตกต่างจากเหยียนชิงที่สง่างามและเข้มงวด ในเื่ของอารมณ์อิ้งหลีราวกับเกิดมาพร้อมกับความร่าเริง ซึ่งอาจเป็เพราะดวงตาดอกท้อคู่นั้น
หลังจากที่อิ้งหลีจ้องมองอยู่ครู่หนึ่งจึงมีปฏิกิริยาตอบสนอง เขาก้มศีรษะลงอย่างเร่งรีบ “แค่กๆ กระหม่อมเมาไปหน่อย เสียมารยาทแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เขารู้สึกว่าลิ้นคับปากขึ้น
“ไม่เป็ไร” เฟิงจิ้งอี้วางจอกเหล้าลง “นี่ก็ดึกมากแล้ว เจิ้นจะให้คนไปส่งเ้าออกจากวัง พรุ่งนี้เ้าก็สามารถออกเดินทางกลับเมืองฝูซังได้เลย”
“ขอบพระทัยตี้จวิน”
อิ้งหลียืนขึ้นหลังจากถวายบังคมแล้ว แต่ด้วยอาการวิงเวียนศีรษะ เขาจึงต้องยึดราวข้างตัวไว้ แล้วกะพริบตา ยังคงรู้สึกเหมือนมีพายุหมุน มันจบแล้ว เหล้าหมดเกลี้ยง คราวนี้เมาแล้วจริงๆ
“เป็อะไรหรือไม่?” เฟิงจิ้งอี้ถาม เดินวนรอบโต๊ะหินไปยังข้างกายเขาก่อนจะคว้าแขนของเขาเอาไว้ “เจิ้นให้เ้าจับมือ”
อิ้งหลีโบกมือปฏิเสธโดยไม่รู้ตัว “ไม่เป็ไร...”
“หรือเ้าอยากอยู่ในวัง?”
“กระหม่อมไม่บังอาจ เพียงแค่...”
“เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ”
เฟิงจิ้งอี้ขัดจังหวะการพูดของเขา พาเขาเดินออกมายังลานที่ว่างเปล่าก่อนออกคำสั่ง “หัวหน้าองครักษ์เซียวออกมา”
ในที่มืดมิดไร้ผู้คนมีคนตอบกลับมา อิ้งหลีรู้สึกว่ากำลังถูกทั้งจับทั้งดึงให้เดินไปอย่างวิงเวียน ฝีเท้าส่ายไปมา เดินไปได้ไม่ไกลดวงตาก็มืดมิดลงอย่างสมบูรณ์ ทำให้เขาขยับเข้าไปใกล้คนที่ดึงเขาโดยไม่รู้ตัว ดวงตาพร่ามัวเขาได้ยินเพียงเสียงรอบกาย ปลายจมูกได้กลิ่นเฉพาะที่คล้ายกับไม้จันทน์ซึ่งมาจากเฟิงจิ้งอี้
“ขึ้นรถม้าเองไหวไหม?”
ไม่นานหลังจากนั้น อิ้งหลีก็ได้ยินเสียงเฟิงจิ้งอี้ที่ถามเข้ามาในหูของเขา ลมหายใจที่ใกล้เพียงเอื้อมมือปัดผ่านใบหน้าและใบหู เขาหันศีรษะเข้าหาหน้าท้องโดยไม่รู้ตัว แต่กลับมีความรู้สึกราวกับน้ำกำลังท่วมครั้งใหญ่ เขายกมือขึ้นปิดปากและถ่มน้ำลายออกมาสองสามคำ
“เกรงว่าจะไม่ไหวแล้ว”
ผู้ที่ถามเขาไม่พูดสิ่งใดออกมาอีก ผ่านไปซักพักอิ้งหลีรู้สึกว่าร่างกายว่างเปล่า แต่เพียงไม่นานก็ถูกวางลงให้เอนพิงไปกับเบาะบนรถม้า เมื่อเขาลืมตาขึ้นก็เห็นเฟิงจิ้งอี้ที่เอนตัวลงเล็กน้อยกำลังจัดเสื้อผ้าที่ยุ่งเหยิงให้กับเขา ไม่รู้ว่าเหตุใดหัวใจของเขาถึงเต้นผิดไปหนึ่งจังหวะ
“ตี้จวิน...”
“กลับไปพักผ่อนให้เต็มที่”
เฟิงจิ้งอี้พูดออกมาอย่างสบายๆ แล้วหันหลังลงจากรถม้าไป สมองที่กำลังเฉื่อยของอิ้งหลียังไม่ทันตอบสนอง รถม้าก็เคลื่อนตัวออกไปแล้ว
