บทที่ 22 เผือกร้อน[1]
เมื่อเข้าฌานบ่มเพาะพลังปราณหนึ่งคืนเต็ม ขณะถึงเวลาขัดเกลาวิชากระบี่ ไป๋อวี้ก็เข้ามาแจ้งฉินชูว่ามีคนมาหาอยู่ด้านนอกลานหอศิษย์รับใช้
ช่างน่าแปลก หลังจากฉินชูเก็บกระบี่เข้าฝักเขาก็เดินทางมายังประตูเข้าลานหอศิษย์รับใช้
มีศิษย์สายนอกจากยอดเขาชิงจู๋จำนวนไม่น้อยที่นำโดยหลินเจิงมายืนอออยู่หน้าประตู
“ฉินชู พวกเรามาเพื่อขอโทษ ก่อนหน้านี้เป็เพราะพวกเราเหล่าศิษย์สายนอกปฏิบัติกับศิษย์รับใช้เกินกว่าเหตุ ซึ่งพวกเราขอยอมรับผิดในจุดนี้ ส่วนเื่การท้าสู้ พวกเราเข้าใจตรงกันว่าตอนนี้พวกเรายังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเ้า ขอเวลาพวกเราอีกสักหน่อย เอาไว้เ้าจัดการประเด็นขัดแย้งกับพวกยอดเขาหลักได้แล้ว พวกเราค่อยมาท้าสู้ใหม่” หลินเจิงประสานมือขอโทษฉินชู หลังจากนั้นศิษย์สายนอกคนอื่นๆ ก็ค้อมตัวลงเล็กน้อยตาม
“ไม่ต้องขอโทษอะไร เดิมทีก็ไม่ใช่เื่ใหญ่อะไรอยู่แล้ว ก็แค่ความเข้าใจไม่ตรงกัน หลังจากนี้ข้ายังต้อนรับพวกเ้ามาท้าสู้อยู่เหมือนเดิม แต่ก็ต้องขอชมเลยว่า การกระทำของพวกเ้าในวันนี้ทำให้ข้ามองพวกเ้าสูงขึ้นกว่าเมื่อวานมากนัก” การขอโทษของพวกหลินเจิงในวันนี้ค่อนข้างเหนือความคาดหมายของฉินชูยิ่งนัก เพราะมันเกี่ยวเนื่องกับศักดิ์ศรีลูกผู้ชาย
“แล้วพวกเราจะมาท้าสู้ใหม่แน่นอน ถึงจะเป็ฝ่ายถูกเล่นงาน พวกเราก็ไม่กลัว” หลินเจิงพยักหน้าอย่างนึกไม่ถึงว่าฉินชูจะมีท่าทีเช่นนี้เช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าคงถูกฉินชูพูดจาแทงใจดำกลับมา แต่อีกฝ่ายกลับให้เกียรติพวกเขาอย่างเหนือความคาดหมาย
เมื่อพวกหลินเจิงกลับไป ฉินชูก็กลับเข้ามาด้านในลานหอศิษย์รับใช้
“ลูกพี่ พวกเขายอมรับผิดและยอมสยบแล้ว!” เอ้อพั่งกับศิษย์รับใช้คนอื่นๆ พากันดีใจยิ่งนัก เมื่อครู่ พวกเขาได้ยินทุกคำพูดของหลินเจิง
ฉินชูมองเอ้อพั่งพลางส่ายหน้า “พวกเขาไม่ได้ยอมสยบ พวกเขาแค่คิดว่าตัวเองยังแข็งแกร่งไม่พอ อีกอย่างพวกเขารู้ว่าข้า้าท้าสู้กับพวกยอดเขาหลัก ดังนั้นจึงไม่อยากถ่วงแข้งถ่วงขาข้า แสดงว่าพวกเขาให้ความสำคัญกับศักดิ์ศรีของยอดเขาชิงจู๋เหนือสิ่งอื่นใด ขึ้นแล้วลงเป็ นี่คือการกระทำของลูกผู้ชายอย่างแท้จริง หลังจากนี้จงเคารพให้เกียรติพวกเขาด้วย เอ้อพั่ง แล้วก็พวกเ้าด้วย จงจำเอาไว้ว่าศักดิ์ศรีของพวกเราไม่ได้ต้อยต่ำไปกว่าใครทั้งนั้น แต่ก็ต้องประพฤติชอบอยู่ในสิ่งที่ถูกที่ควรและรู้จักหน้าที่ของตัวเอง ศิษย์รับใช้เป็ลูกศิษย์แห่งสำนักชิงหยุน แต่ก็มีศักดิ์เป็แค่ศิษย์รับใช้”
เอ้อพั่งและคนอื่นๆ พากันโค้งคำนับฉินชู พวกเขาเข้าใจที่ฉินชูพูดอย่างกระจ่าง ปัญญาชนเริ่มจากรู้สึกปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองให้ดีก่อน
หลังจากเสร็จธุระ ฉินชูก็กลับมาที่ผาหินตัดและขัดเกลาวิชากระบี่พื้นฐานต่อ ต่อให้จะเข้าถึงพลังในขั้นเจี้ยนหลิงหรือิญญากระบี่ได้แล้ว แต่ฉินชูก็ยังฝึกวิชากระบี่พื้นฐานจนถึงพลบค่ำถึงจะหยุดฝึก
ฉินชูเทของที่อยู่ในเข็มขัดเก็บของและกำไลช่องมิติออกมาเพื่อจัดระเบียบอยู่ข้างๆ กระท่อม
หลังจากจัดของเสร็จ ขณะที่เขากำลังจะถ่ายโอนของเข้าไปที่แหวนมิติ อยู่ๆ ก็รู้สึกแปลกใจขึ้นมาเล็กน้อย เป็แค่แหวนธรรมดาๆ แต่ทำไมถึงเก็บของไว้ด้านในได้เยอะขนาดนี้
ด้วยความสงสัย จึงถอดแหวนออกมาวิเคราะห์ดู
ทันใดนั้นก็ปรากฏเงาร่างสีดำขึ้นมา มันพุ่งมาจากด้านนอกสำนักชิงหยุนจนมาถึงยอดเขาชิงจู๋ภายในพริบตา
ในเวลาเดียวกัน โม่เต้าจื่อที่นั่งสมาธิเข้าฌานอยู่ที่หน้าประตูหอคัมภีร์ก็ลืมตาขึ้นมาและหายตัวไปทันที
“คาดการณ์ไม่ผิดจริงๆ ซากเศษเดนอยู่ละแวกนี้จริงๆ ด้วย แต่น่าเสียดายที่ไม่ใช่เป้าหมายหลัก” ชายในชุดนักรบสีดำคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นที่ผาหินตัด มือข้างหนึ่งถือจานเข็มทิศโหรา ส่วนอีกข้างแตะไปที่ด้ามดาบที่คาดอยู่ที่เอว
“ซากเศษเดน?...แกเป็ใคร” ขณะมองพินิจชายในชุดนักรบสีดำ ฉินชูััได้ถึงความอันตรายที่แผ่ซ่านออกมา
ชายในชุดนักรบสีดำไม่ตอบ มือขวาชักดาบออกมาและฟันใส่ฉินชูหมายจะตัดคอทันที
ทันทีทันใด กระบี่พลันชักออกจากฝัก ฉินชูถอยเท้าค้ำยันและสวนกระบี่กลับไปได้อย่างทันท่วงที
เคร้ง!
กระบี่ของฉินชูเข้ารับการโจมตีจากดาบของอีกฝ่ายและสามารถเบนวิถีโจมตีออกไปได้ ทว่าตัวเขากลับถูกคลื่นพลังที่ฟาดฟันออกมาจากดาบกระแทกใส่จนปลิวกระเด็น
ดวงตาของชายชุดดำฉายแววแปลกใจขึ้นมารำไร แต่กระนั้นก็โจมตีใส่เป็ครั้งที่สอง
ฉินชูสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งเฮือก แล้วตั้งสติตวัดกระบี่สวนกลับอีกครั้ง คราวนี้ก็ต้านทานดาบของชายชุดดำได้ แต่ก็ถูกคลื่นพลังกระแทกกระเด็นเหมือนเดิม เนื่องจากฉินชูเข้าถึงพลังขั้นเจี้ยนหลิง ทำให้เขาล่วงรู้จุดบอดของการโจมตีด้วยดาบของอีกฝ่ายได้ แต่กระนั้นพลังในการต่อสู้ของอีกฝ่ายก็อยู่สูงกว่าเขาอย่างลิบลับ ขืนเป็แบบนี้ต่อไปเขาไม่มีทางต้านทานได้แน่นอน
ใน่เวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน เงาร่างผู้เฒ่าในชุดสีเทาก็ปรากฏแทรกกลางระหว่างฉินชูกับชายชุดดำ จากนั้นผู้เฒ่าชุดเทาก็ชักกระบี่ออกจากฝักและเก็บใส่ฝักแทบจะภายในเวลาเดียวกัน สายตาของฉินชูมองทันเพียงเสี้ยวประกายแสงเท่านั้น
จากนั้นเืสดแดงฉานก็พุ่งกระเซ็นออกมาจากระหว่างคิ้วชายชุดดำและล้มตายในเวลาต่อมา
ผู้เฒ่าชุดเทาหันกลับมา เขาก็คือโม่เต้าจื่อ
“เ้าจำที่ข้ากำชับบอกเ้าไม่ได้หรือว่าห้ามถอดแหวนออกมา แล้วทำไมเ้าถึงถอดออกมา” โม่เต้าจื่อถลึงตาใส่ฉินชู
เมื่อเห็นท่าทางโมโหของโม่เต้าจื่อ ฉินชูก็รีบใส่แหวนกลับไปเหมือนเดิม จากนั้นก็ยกเก้าอี้มาให้ ภายในใจเกิดซาบซึ้งในการช่วยชีวิตของโม่เต้าจื่อ
“เ้าเข้าถึงพลังขั้นเจี้ยนหลิงแล้วหรือ” หลังจากนั่งลง โม่เต้าจื่อก็มองฉินชูพร้อมเอ่ยถาม
ฉินชูพยักหน้า เขารู้ว่าโม่เต้าจื่อเป็บุคคลที่สูงส่งปราดเปรื่องท่านหนึ่ง ดังนั้นเื่บางเื่ไม่สามารถปิดบังได้ อีกอย่างโม่เต้าจื่อก็เป็ผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตตนและเขายัง้าขอร้องให้โม่เต้าจื่อช่วยเขาเื่ชาติกำเนิดของตัวเองอีกด้วย
เมื่อได้ฟังคำอธิบายของฉินชู โม่เต้าจื่อก็ครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ก่อนเงยหน้าขึ้นมา
“เช่นนั้นข้าจะบอกกับเ้าแบบนี้แล้วกัน ไม่ว่าเ้าจะมาจากตระกูลผู้เืศักดิ์สิทธิ์ตระกูลไหน แต่เสี้ยวพริบตาที่พลังของเืศักดิ์สิทธิ์ตื่นขึ้นมา ทางต้นตระกูลของเ้าจะต้องรู้ตัว จากนั้นจะสามารถใช้พลังของจานเข็มทิศโหราระบุตำแหน่งและมาหาเ้าได้ทันที แหวนที่ข้ามอบให้เ้าไป มันสามารถช่วยกลบร่องรอยของเ้าได้ ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว ข้าสามารถยืนยันได้หนึ่งเื่ว่าชาติตระกูลของเ้าไม่ธรรมดา อีกทั้งคนในตระกูลเ้าเองก็้าฆ่าเ้าทิ้งเป็แน่” โม่เต้าจื่อพูดกับฉินชู
“ขอบพระคุณท่านผู้เฒ่าาุโเป็อย่างยิ่งขอรับ” ฉินชูเข้าใจเป็อย่างดีว่าโม่เต้าจื่อกำลังช่วยเหลือเขาอยู่
“ตอนนี้เ้ายังมีคุณสมบัติไม่พอที่ข้าจะใช้วิชาย้อนนิมิตถึงเหตุการณ์เมื่อสิบสี่ปีก่อนของเ้าได้ แต่ต่อให้เ้าพร้อมด้วยคุณสมบัตินั้นแล้ว ข้าก็ไม่สามารถใช้วิชานี้กับเ้าได้อยู่ เพราะระยะหลังๆ มานี้ ท้องฟ้าเกิดความโกลาหลจนไม่สามารถย้อนนิมิตเหตุการณ์ในอดีตได้ อีกอย่าง ใช่ว่าข้าอยากจะดูถูกเ้า แต่ด้วยพลังของเ้าในตอนนี้ หากรู้เื่ชาติกำเนิดของตัวเองแล้วจะทำอะไรได้ ตอนนั้นพวกนั้นก็แทงทะลุหน้าอกเ้าไปแล้วหนึ่งรอบ เมื่อครู่ก็เกือบจะเป็ครั้งที่สองของเ้าไปแล้ว” โม่เต้าจื่อพูดพลางมองศพชายชุดดำ
ฉินชูนิ่งเงียบ ถึงแม้จะอยากรู้เื่ชาติกำเนิดของตัวเอง แต่สิ่งที่โม่เต้าจื่อพูดมาล้วนถูกต้องทั้งหมด
“จงกลายเป็ลูกศิษย์อายุน้อยที่แข็งแกร่งที่สุดในสำนักให้ได้ก่อน เ้าถึงมีคุณสมบัติมากพอที่จะตามหาความจริง จงจำเอาไว้อีกเื่ ห้ามบอกใครว่าเ้าเข้าถึงพลังขั้นเจี้ยนหลิงได้แล้ว ต่อให้คนอื่นเดาได้ก็ห้ามพูด แม้คำพูดจากคนที่เดาได้กับคำพูดจากปากของเ้าจะเหมือนกัน แต่ต่างกันตรงที่ว่าใครเป็คนพูดและผลกระทบที่ตามมาก็ต่างกัน เฮ้อ... ช่างเป็เผือกร้อนเสียจริง” โม่เต้าจื่อมองฉินชูอย่างหงุดหงิด ก่อนหายตัวจากไป
หลังจากโม่เต้าจื่อจากไป ฉินชูก็มองแหวนมิติที่มือซ้ายของตัวเอง หลังจากนี้ห้ามถอดออกเด็ดขาด ไม่งั้นอันตรายถึงแก่ชีวิตระลอกต่อไปได้มาเยือนอีกเป็แน่
ฉินชูเดินมาสำรวจศพของชายชุดดำและทุบจานเข็มทิศโหราจนแหลกละเอียด เพราะเ้าสิ่งนี้ทำให้ศัตรูคู่แค้นตามหาเขาเจอ
หลังจากนั้นฉินชูก็ปลดสิ่งของมีค่าที่อยู่ในแหวนมิติของอีกฝ่ายออกมา ซึ่งมีเพียงเม็ดโอสถและเงินทองจำนวนหนึ่ง แต่ไม่มีอะไรที่บ่งบอกถึงสถานะตัวตนของอีกฝ่ายได้เลย
ครั้นจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้น ฉินชูก็โยนศพชายชุดดำทิ้งลงจากผาหินตัด
สงบอารมณ์ของตัวเองอยู่สักพัก ฉินชูจึงตัดสินใจกลับเข้าไปในกระท่อมและเข้าฌานเพื่อฝึกฝนพลังปราณต่อ เขาจำเป็ต้องกลายเป็ลูกศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดในสำนักให้เร็วที่สุด ไม่เช่นนั้นโม่เต้าจื่อไม่มีทางใช้วิชาย้อนนิมิตเพื่อช่วยเขาให้รู้ถึงชาติกำเนิดของตัวเองแน่นอน
[1] เผือกร้อน หมายถึงเื่ราวหรือปัญหาที่แก้ไขยาก รับมือยาก ประหนึ่งเผือกร้อนๆ ที่ถือเอาไว้ก็มีแต่จะลวกมือให้พองเสียเปล่า