ผู้คนต่างจ้องมองหลินเฟิงตาไม่กะพริบ และไม่มีใครกล้าเอ่ยอะไรออกมา
หลินเฟิงสามารถทำลายการบ่มเพาะของเฟิงเซียวที่อยู่ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 6 ด้วยเพียงดัชนีพิฆาต แน่นอนว่าความแข็งแกร่งนั้นไม่ต้องเอ่ยถึง นอกจากนี้เขายังใช้เจตจำนงการต่อสู้ที่น่าหวาดกลัวจนทำให้ผู้คนต่างตกตะลึง ทักษะการต่อสู้ของหลินเฟิงนั้นช่างอันตรายอย่างยิ่ง
ในขณะนั้นมีลมปราณพุ่งมาหาหลินเฟิง ทำให้หลินเฟิงประหลาดใจ จากนั้นเขาก็มองไปที่เยว่เทียนเฉิน
“เ้าอยากสู้?”
หลินเฟิงรู้สึกได้ถึงจิตสังหารของเยว่เทียนเฉิน จึงกล่าวถามอย่างเยือกเย็น
เยว่เทียนเฉินไม่ได้ตอบกลับ เพียงแต่จ้องเขม็งมาที่หลินเฟิง
แม้การบ่มเพาะของหลินเฟิงจะอยู่ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 6 แต่การท้าทายผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 7 นั้นไม่ใช่เื่ง่าย และการบ่มเพาะของเยว่เทียนเฉินก็ทะลวงเข้าสู่ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 7 แล้ว
หากพ่ายแพ้ในการต่อสู้คราวนี้หลินเฟิงคงไม่ปล่อยเขาไปแน่ ไม่อย่างนั้นแล้วเขาจะมีสภาพเช่นเดียวกับเฟิงเซียงและเิชงที่ถูกหลินเฟิงทำลายการบ่มเพาะ หากเป็เช่นนั้น อนาคตของเขาจะถูกทำลายอย่างสมบูรณ์ แม้ว่าหลังจากนี้จะแก้แค้นด้วยการเอาชีวิตของหลินเฟิง แต่มันก็ไม่คุ้มค่าพอที่จะเสี่ยง
ในสายตาของเยว่เทียนเฉิน ชีวิตของหลินเฟิงนั้นไร้ค่าและไม่อาจเทียบเคียงการบ่มเพาะพลังของเขาได้
ถ้าหากการต่อสู้ครั้งนี้แม้ว่าเขาจะชนะ ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่เื่ที่น่าโอ้อวด เพราะเขาเป็ถึงทายาทตระกูลเยว่ที่เป็หนึ่งในสามตระกูลใหญ่และมีสถานะสูงศักดิ์ ถึงได้ชัยชนะในการประลองครั้งนี้มามันก็เท่านั้น และดูเหมือนว่าในสายตาของหลายๆ คนนั้นมันไม่คุ้มค่าพอที่จะกล่าวถึง อีกทั้งหลินเฟิงนั้นไม่มีค่าพอที่จะสู้กับเขารวมไปถึงชื่อเสียงก็ไม่มี เยว่เทียนเฉินจึงไม่จำเป็ต้องเข้าไปเสี่ยง เมื่อคิดเกี่ยวกับเื่นี้แล้ว พลันเจตจำนงการต่อสู้ของเยว่เทียนเฉินก็จางหายไป แล้วเขาก็หันไปดื่มเหล้าต่อโดยไม่มองหลินเฟิงอีก
ผู้คนมองอย่างตกตะลึง เมื่อครู่พวกเขายังััได้ถึงเจตจำนงการต่อสู้ของเยว่เทียนเฉินได้ชัดเจน แต่ตอนนี้กลับจางหายไปแล้ว แม้แต่เยว่เทียนเฉินก็ไม่อยากเอาตัวเองไปเสี่ยงอันตราย แน่นอนว่าพวกเขาเองก็เช่นกัน เพราะมันไม่คุ้มค่าที่ต้องเอาชีวิตไปเสี่ยง
ตอนนี้บรรยากาศภายในศาลได้เปลี่ยนไปเป็อึมครึม ไม่มีเสียงใดๆ ออกมา
“ฮ่าๆๆ” องค์ชายรองต้วนหวู่หยาหัวเราะเบาๆ เขาได้ทำลายบรรยากาศอันเงียบสงัด และหันไปกล่าวกับต้วนซินเยี่ยที่อยู่ข้างๆ ด้วยเสียงต่ำว่า “ซินเยี่ย เ้าว่าหลินเฟิงเป็ยังไงบ้าง?”
ขณะนั้นสายตาของต้วนซินเยี่ยได้จ้องมองมาที่หลินเฟิง ภายในใจของนางรู้สึกประหลาดใจ แม้การแต่งกายของหลินเฟิงจะดูไม่ได้ แต่ไม่คิดเลยว่าเขาจะเย่อหยิ่งและก้าวร้าวเช่นนี้ จึงทำให้ความคิดของนางเปลี่ยนไป หลินเฟิงเป็ชายหนุ่มที่ทะนงและเย่อหยิ่งอย่างมาก
แต่ว่าชายหนุ่มที่ดูหยิ่งยโสเช่นนี้ มาสถานที่แบบนี้กลับแต่ไม่สนใจเครื่องแต่งกายของตัวเอง หรือที่จริงเขาอาจยอมรับความพ่ายแพ้ตอนที่เฟิงเซียวได้ท้าทายเขา ผู้คนจึงดูถูกและเหยียดหยาม แต่เดิมทีแล้วหลินเฟิงกลับไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านี้เลย
ต้วนซินเยี่ยประหลาดใจเมื่อได้ยินเสียงะโของต้วนหวู่หยา เมื่อนางหันไปก็เห็นรอยยิ้มเ้าเล่ห์บนใบหน้าของต้วนหวู่หยา นางอดไม่ได้ที่จะก้มศีรษะเล็กน้อยและกล่าวว่า “พี่รอง ท่านว่าอะไรนะ? ”
“ฮ่าๆๆ น้องข้าเป็อะไรไปหรือ คาดไม่ถึงเลยว่าใจเ้าจะไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จนหน้าเ้าแดงไปหมดแล้วเนี่ย”
ต้วนหวู่หยาเริ่มหัวเราะ ทำให้ต้วนซินเยี่ยเขินอายยิ่งกว่าเดิม ถึงแม้นางจะเป็องค์หญิงและมีทรัพย์สมบัติมหาศาล แต่นางก็เป็เพียงหญิงสาวคนหนึ่งเช่นกัน และหัวข้อสนทนาเช่นนี้มักจะทำให้ผู้คนล้วนลำบากใจ
ดวงตาของทุกคนฉายแววตกตะลึง แล้วเหลือบมองหลินเฟิงด้วยสายตาเย็นะเื
ในกลุ่มคนพวกเขานั้น มีหลายคนที่อยากได้ต้วนซินเยี่ยเป็ภรรยา แม้ว่านางจะไม่ได้ชอบพวกเขาก็ตาม แต่นั่นก็เป็ได้แค่ฝันลมๆ แล้งๆ ของพวกเขาเท่านั้น
ใครได้ต้วนซินเยี่ยเป็ภรรยาล่ะก็ อนาคตของพวกเขาจะราบรื่นและมีอำนาจมากขึ้น
เมื่อต้วนหวู่หยาได้ฟังต้วนซินเยี่ยกล่าวแล้ว ดูเหมือนนางจะมีความรู้สึกดีๆ ให้กับหลินเฟิง พวกเขาจึงจ้องหลินเฟิงเขม็งด้วยสายตาอันเยือกเย็น
หลินเฟิงขมวดคิ้ว ไม่เพียงแต่เขาจะไม่ดีใจเลยสักนิด แต่ภายในใจกลับแผ่กลิ่นอายอันหนาวเหน็บก่อนหันไปมองต้วนหวู่หยาด้วยสายตาทิ่มแทง
“เอาล่ะ วันนี้ที่ข้าเชิญทุกคนมา พวกท่านน่าจะเข้าใจดี และตอนนี้ก็ไม่มีอะไรแล้ว พวกท่านแยกย้ายกันกลับไปได้แล้ว”
ต้วนหวู่หยากล่าวกับฝูงชน คาดไม่ถึงว่าเขาจะออกคำสั่งกะทันหันเช่นนี้ ในเวลาเดียวกันสายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นร่างของเิชงและเฟิงเซียวบนพื้น และสั่งว่า “เอาพวกเขาทั้งสองไปด้วย”
“หลินเฟิง เ้าอย่าเพิ่งไป ข้ามีเื่จะคุยกับเ้า”
ต้วนหวู่หยากล่าวเช่นนั้นกับหลินเฟิงเป็คนสุดท้าย ซึ่งทำให้ผู้คนต้องตกตะลึงอีกครั้ง แล้วเหลือบมองหลินเฟิงด้วยสายตาริษยา
อย่างไรก็ตามในเวลานี้ต้วนหวู่หยาได้ออกคำสั่งให้ผู้คนกลับไปแล้ว และพวกเขาก็ทำได้เพียงออกไปตามคำสั่ง
เวิ่นอ้าวเสวี่ยเดินมาอยู่ข้างหลินเฟิงและเหลือบมองเขาเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ตบไหล่หลินเฟิงเบาๆ แล้วเดินออกจากศาลาไป
หลังจากนั้นไม่นานภายในศาลากลางทะเลสาบ บรรยากาศได้เปลี่ยนเป็เงียบสงัด ภายในศาลาเหลืออยู่เพียงสามคน นั่นก็คือต้วนหวู่หยา ต้วนซินเยี่ย และหลินเฟิง
“ฝ่าาให้หลินเฟิงอยู่ต่อ มีเื่อะไรที่อยากคุยงั้นหรือ?”
หลินเฟิงมองต้วนหวู่หยาพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยเมย
“ฮ่าๆๆ” ต้วนหวู่หยาหัวเราะเบาๆ ขณะมองไปที่หลินเฟิงและกล่าวว่า “ดูเหมือนเ้าจะไม่มีความสุขนะ”
“หรือองค์ชายรองคิดว่าข้าควรมีความสุขอย่างนั้นหรือ?” หลินเฟิงถามเสียงเรียบ แต่ต้วนหวู่หยากลับไม่ถือสาที่หลินเฟิงถามกลับเช่นนี้ ที่มุมปากยังคงประดับไว้ด้วยรอยยิ้ม
“พี่รอง พวกท่านคุยกันไปเถอะ ส่วนข้าขอตัวลา”
ต้วยซินเยี่ยลุกขึ้นยืนและกำลังจะออกไป แต่ต้วนหวู่หยากลับกล่าวรั้งนางไว้ “ซินเยี่ย ข้าไม่มีเื่อะไรต้องปิดบังเ้า เ้าอยู่ที่นี่ต่อเถิดไม่ต้องรีบร้อนกลับไป”
ั์ตาคู่งามสั่นไหวเล็กน้อย ต้วนซินเยี่ยพยักหน้าอย่างว่าง่ายแล้วค่อยๆ นั่งลงที่เดิมเงียบๆ เช่นนั้น
“หลินเฟิง เ้าว่ามาสิ ทำไมเ้าถึงไม่มีความสุข?”
รอยยิ้มอันอ่อนโยนปรากฏขึ้นบนใบหน้าของต้วนหวู่หยาขณะถามหลินเฟิง
หลินเฟิงมองต้วนหวู่หยาด้วยสายตาแน่วแน่ จากนั้นก็กล่าวว่า “ในเมื่อฝ่าา้าคำตอบ งั้นข้าก็จะบอก”
แน่นอนว่าหลินเฟิงเข้าใจดีว่าทำไมเขาถึงไม่มีความสุข และต้วนหวู่หยาก็รู้ดีอยู่แล้วแต่แสร้งทำเป็ไม่รู้
“ฝ่าา เมื่อครู่นี้ที่ท่านได้กล่าวประโยคนั่นกับองค์หญิงต่อหน้าผู้คน ถามองค์หญิงว่าคิดยังไงกับข้า? นี่ไม่ใช่ว่าท่านตั้งใจดึงความสนใจของผู้คนมาที่ข้า? และดูเหมือนว่าฝ่าาจะยังไม่พอใจ ในตอนท้ายยังจงใจทิ้งข้าให้อยู่กับองค์หญิง เกรงว่าตอนนี้ทุกคนคงคิดกันไปแล้วว่าฝ่าาให้ข้าจับคู่กับองค์หญิง ตอนนี้คนเ่าั้คงพากันเกลียดข้ากันไปแล้ว”
หลินเฟิงกล่าวอย่างเ็า คนอื่นๆ ต่างคิดว่าเขามีความสุขแต่หลินเฟิงนั้นเข้าใจในสถานการณ์ของตัวเองดี สถานะของเขาไม่ได้พิเศษและไม่มีอำนาจมดๆ นอกจากนี้พวกเขาต่างสนใจองค์หญิงต้วนซินเยี่ย แม้กระทั่งมีบางคนที่อยากครองใจนางเช่นเยว่เทียนเฉิน
ต้วนหวู่หยาจงใจทำเช่นนี้ต่อหน้าพวกเขา สร้างเื่หลอกลวงที่ว่าองค์หญิงต้วนซินเยี่ยสนใจหลินเฟิง นอกจากนี้ต้วนหวู่หยาก็ยัง้าสร้างเื่หลอกลวงอีก จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมหลินเฟิงจึงกลายเป็เป้าหมายของใครหลายคน
บรรดาลูกหลานของชนชั้นสูง พวกเขาต่างมีนิสัยเหี้ยมโหดและโลภมาก ชื่อของหลินเฟิงจะถูกพวกเขาจดจำไว้ไม่เลือนหาย อาจส่งผลให้หลินเฟิงเข้าไปในเมืองหลวงแค่ก้าวเดียวก็ลำบากแล้ว
ต้วนหวู่หยายังคง้าชนะคนอย่างหลินเฟิงให้ได้
“หลินเฟิง เ้าช่างเฉลียวฉลาดอย่างที่ข้าคิดไว้” ต้วนหวู่หยาหัวเราะ เขาพอใจในคำตอบของหลินเฟิง เมื่อครู่ที่เขากล่าวประโยคนั้นไป จึงสร้างความสนใจให้กับหลินเฟิง หากเป็คนทั่วไปได้ยินว่าองค์หญิงชอบตัวเองก็คงยินดีมาก แต่กับหลินเฟิงนั้นไม่ใช่ ครั้งแรกที่ได้ยินสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็เ็า และแววตาของหลินเฟิงก็ยังดูเป็ปกติ
หลินเฟิงขมวดคิ้ว เพราะไม่เข้าใจว่าต้วนหวู่หยา้าจะสื่ออะไรกันแน่
“หลินเฟิง เ้าว่าศัตรูของเ้าในเมืองหลวงมีมากแค่ไหนกัน” ต้วนหวู่หยาค่อยๆ กล่าวออกมา
หลินเฟิงครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ จากนั้นส่ายหน้าเล็กน้อยและกล่าวว่า “มีเยอะมาก”
ตระกูลยอวี่ ตระกูลไป๋ ลูกชายต้วนเทียนหลาง และตระกูลเิเป็ต้น คนที่หลินเฟิงได้ขัดใจไว้มีมากเกินไปจนเขาไม่สามารถนับได้หมด
“งั้นความแข็งแกร่งของพวกเขาเป็อย่างไร?” ต้วนหวู่หยาถามอีกครั้ง
“ร้ายกาจและแข็งแกร่งมาก” หลินเฟิงกล่าวอย่างซื่อตรง
“ในเมื่อเ้ารู้ดีอยู่แล้ว และข้าก็ได้สร้างศัตรูเพิ่มให้กับเ้า แล้วเ้าคิดว่ามันแตกต่างอะไรไหม?” ต้วนหวู่หยาหัวเราะ จึงทำให้หลินเฟิงประหลาดใจ
“ฮ่าๆๆ” ต้วนหวู่หยามองหลินเฟิงที่นิ่งเงียบ จึงหัวเราะออกมาและกล่าวต่อว่า “หลินเฟิง ที่ข้าเชิญเ้ามาแน่นอนว่าเป็แผนของข้า และข้าก็มีน้องสาวเพียงคนเดียว หากนางสนใจเ้า ข้าก็จะไม่ไปแทรงแซงความสัมพันธ์ระหว่างเ้ากับนาง เมื่อถึงตอนนั้น เ้าก็จะเป็สามีขององค์หญิงแห่งตระกูลต้วน หากใครกล้าแตะต้องเ้า คนผู้นั้นก็ถือว่าเป็ศัตรูกับข้า”
ต้วนซินเยี่ยและหลินเฟิงต่างตกตะลึง จากนั้นทั้งสองได้สบตากันแวบหนึ่งแล้วหันไปทางอื่นทันที อย่างไรก็ตามใบหน้าของต้วนซินเยี่ยในตอนนี้เต็มไปด้วยความเขินอาย
“หากใครได้ผู้หญิงเช่นนี้เป็ภรรยา นั่นถือว่าโชคดีอย่างยิ่ง”
หลินเฟิงคิดในใจ เขาแปลกใจว่าทำไมต้วนหวู่หยาถึงได้ทำดีกับเขาเช่นนี้ แม้กระทั่งแนะนำองค์หญิงให้เขา
แน่นอนว่าหลินเฟิงเข้าใจดีถึงเจตนาของตัวเอง ต้วนซินเยี่ยก็เช่นกัน อีกทั้งในตอนนี้เขาก็ไม่มีใครคอยหนุนหลัง แค่เขาต้องรับองค์หญิงเป็ภรรยาเท่านั้นก็จะไม่มีใครทำอะไรเขาได้ และที่ต้วนหวู่หยาได้กล่าวมานั้นมันง่ายขนาดนั้นเลยหรือ?
ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเห็นได้ชัดว่ามันไม่มีทางเป็ไปได้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้